บางกอกแอร์เวย์สนำเยาวชนจากเกาะสมุย สุโขทัย ตราด ร่วมกิจกรรม “ติดปีกเติมฝัน ปันความรู้ สู่อาชีพการบิน ปี 2”

 กรุงเทพฯ – เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส โดยส่วนรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) นำโดยกัปตัน พุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ จัดกิจกรรม “ติดปีกเติมฝัน ปันความรู้ สู่อาชีพการบิน ปี 2” โดยนำคณะเยาวชนระดับชั้นมัธยมศึกษาจาก 3 จังหวัด ได้แก่ สุโขทัย ตราด และเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมอาจารย์ที่ปรึกษา รวม 56 คน เดินทางโดยเที่ยวบินของสายการบินบางกอกแอร์เวยส์ มาร่วมทำกิจกรรมการเรียนรู้ ณ ศูนย์ปฏิบัติการการบินบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จังหวัดสมุทรปราการ เป็นระยะเวลา 3 วัน

เพื่อรับฟังการบรรยายให้ความรู้และแบ่งปันประสบการณ์ทางด้านธุรกิจการบินจากพนักงานและผู้บริหารของสายการบินฯ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมกิจกรรม

กิจกรรม “ติดปีกเติมฝัน ปันความรู้ สู่อาชีพการบิน ปี 2” เป็นหนึ่งกิจกรรมที่อยู่ภายใต้โครงการรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ของสายการบินบางกอกแอร์เวย์สในส่วนของการสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนท้องถิ่นได้มีโอกาสเข้ามาศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจการบิน จากผู้บรรยายที่มีประสบการณ์ในสายงานโดยตรง อาทิ นักบิน พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน พนักงานต้อนรับผู้โดยสารภาคพื้นดิน พนักงานสำรองที่นั่งและออกบัตรโดยสาร และฝ่ายช่าง เป็นต้น เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการค้นหาตนเอง และอาชีพที่เหมาะสมในอนาคต

ซึ่งเยาวชนได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมทดลองขับเครื่องบินในห้องจำลองการบิน (Flight Simulator) โดยมีกัปตัน พุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ให้เกียรติเป็นผู้ให้คำแนะนำและบรรยาย นอกจากนี้เยาวชนยังได้เข้าเยี่ยมชมกระบวนการผลิตอาหารเพื่อเสิร์ฟบนเครื่องบินจาก บริษัท ครัวการบินกรุงเทพ จำกัด (Bangkok Air Catering) อีกด้วย

กิจกรรม “ติดปีกเติมฝัน ปันความรู้ สู่อาชีพการบิน ปี 2” บริษัทฯ ได้คัดเลือกเยาวชนระดับชั้นมัธยมศึกษาที่มีอายุระหว่าง 14-17 ปี จาก 7 โรงเรียนใน 3 จังหวัด พร้อมครูที่ปรึกษาโรงเรียนละ 1 คน รวมทั้งสิ้น 56 คน ได้แก่ โรงเรียนเกาะสมุย โรงเรียนทีปราฏร์พิทยา จากเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี โรงเรียนสุโขทัยวิทยาคม โรงเรียนสวรรค์อนันต์วิทยา จากจังหวัดสุโขทัย โรงเรียนคีรีเวสรัตนเพียรอุปถัมภ์ โรงเรียนคลองใหญ่วิทยาคม และโรงเรียนตราษตระการคุณ จากจังหวัดตราด ซึ่งในปีนี้ได้เปิดโอกาสให้บุตรหลานของบริษัทฯ ที่มีอายุระหว่าง 14-17 ปี เข้าร่วมโครงการเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับเยาวชนในชุมชนด้วย

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยวิทยาเขตล้านนา จัดสัมนาเชิงวิชาการขึ้น ในหัวข้อเรื่อง “ทิศทางการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่การเมืองของความหวังหรือจุดเริ่มต้นของวิกฤตครั้งใหม่”

นักศึกษาระดับปริญญาตรีคณะสังคมศาสตร์สาขาวิชาการปกครองมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยวิทยาเขตล้านนา ได้มีการจัดกิจกรรมโครงการสัมมนาเชิงวิชาการ ของ ณ หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ จัดโครงการสัมมนาเชิงวิชาการขึ้น ในหัวข้อเรื่อง “ทิศทางการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่การเมืองของความหวังหรือจุดเริ่มต้นของวิกฤตครั้งใหม่” และสัมมนาทางวิชาการเรื่อง “คุณธรรม จริยธรรม กับการก้าวสู่การเมืองท้องถิ่น”

โดยมีนายเกียรติสุรินทร์ กู่แดง ประธานในการเปิดโครงการดังกล่าว ซึ่งภายในงานได้มีการเชิญนักการเมืองที่มีชื่อเสียง อาทิ นายชำนาญ จันทร์เรือง รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ได้บรรยายหัว รวมไปถึงนายไพรัช ใหม่ชมภู รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ นายณัฐชูเดช วิริยดิลกธรรม รองนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ พระวีรพงษ์ วรีภททโร, นายธนันต์ เอี่ยมวิจารย์, นางสาวอุไรวรรณ กะพอ นักศึกษาจาก มมร.ลน. ร่วมเสวนาในครั้งนี้

โดยทางด้านพระมหาวีรศักดิ์ สุรเมธี ผอ. วิทยาลัยศาสนศาสตร์ อาจารย์ประจำภาควิชาฯ ได้เปิดเผยว่า ในปัจจุบันนักศึกษามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยเป็นอย่างมาก โดยการเรียนการสอนมุ่งเน้นให้นักศึกษาทุกคนมีความรู้และความเข้าใจในระบอบการเมืองไทยที่มหาวิทยาลัยได้มุ่งเน้นหลักสูตรการเรียนการสอน ควบคู่ไปกับหลักพุทธศาสนา คือให้ทุกคนไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นจริยธรรมของนักการเมืองการปกครองและข้าราชการทุกระดับ

หากทุกคนนำไปปฏิบัติและสืบทอดตามหลักสูตร การคอรัปชั่นก็จะหมดไปทีละนิด ซึ่งจะให้หมดไปเลยคงไม่ได้เพราะคนทุกคนไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับการประพฤติปฏิบัติและสภาพแวดล้อมขององค์การนั้นๆ ว่าต้นแบบมันเป็นอย่างไรหากดีก็ดีไปหากต้นแบบไม่ดีก็เละเทะ เกิดการคอรัปชั่นทุกๆรุ่นตามมา พระมหาวีระศักดิ์ฯ กล่าวทิ้งท้าย

ชูชัย เลิศพงศ์อดิศร เปิดตัวทีมผู้สมัครลงสู้ศึก อบจ.เชียงใหม่ ในนามพรรคเพื่อไทย

ที่สำนักงานพรรคเพื่อไทยเชียงใหม่ นายชูชัย เลิศพงศ์อดิศร อดีตสามาชิกวุฒิสภา ว่าที่ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดยเปิดตัวฝ่ายบริหาร ซึ่งประกอบไปด้วย นายถาวร เกียรติไชยากร อดีต ส.ว.จังหวัดเชียงใหม่ และอดีตผู้สมัคร นายก อบจ.เชียงใหม่ ปี 2555 กลุ่มเพื่อไทยเชียงใหม่, นายโสภณ โกชุม อดีต ส.ส.เชียงใหม่ และอดีตรองนายก อบจ.เชียงใหม่, พล.ต.ต.กริช กิติลือ อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ และนางวิภาวัลย์ วรพุฒิพงศ์ ประธานหอการค้า กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1

นายชูชัย เลิศพงศ์อดิศร อดีตสามาชิกวุฒิสภา ว่าที่ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ผมมีความตั้งใจและเตรียมตัวที่จะลงสมัครเลือกตั้งเป็นเวลา 4-5 ปีแล้ว และพรรคเพื่อไทยได้ทาบทามให้ลงสมัครในนามพรรคฯ ซึ่งผมเห็นว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่มีคะแนนเสียงเป็นอันดับ 1 ของประเทศและมีบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถในด้านต่างๆ ทั้งด้านการเมือง การพัฒนา การบริหาร เศรษฐกิจ ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์ต่อการบริหารงานใน อบจ.เชียงใหม่ เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มี ส.ส.เชียงใหม่ ถึง 8 คน ผมจึงได้ตอบตกลงและพรรคเพื่อไทยได้มีการแถลงเปิดตัวพรรคเพื่อไทยที่กรุงเทพฯ เมื่อเดือนมิถุนายน 2562 ที่ผ่านมา

จากนั้นผมได้เปิดที่ทำการสำนักงานพรรคเพื่อไทยเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2562 ขณะนี้ผมได้วางทีมผู้สมัครสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลืออยู่ในขั้นตอนคัดเลือก เนื่องจากมีผู้เสนอตัวเข้าร่วมทีมงานพรรคเพื่อไทยเชียงใหม่ 1 เขตมากกว่า 1 คน แต่ก็คาดว่าจะใช้เวลาอีกไม่นานจะได้ทีมงานครบทั้ง 42 เขต

วันนี้ผมดีใจที่บุคคลผู้มีความรู้ ความสามารถเช่น ท่านถาวร ท่านโสภณ ท่าน พล.ต.ต.กริช และคุณวิภาวัลย์ ได้ยืนยันมาร่วมเป็นทีมงานบริหาร ในการที่จะเสนอตัวต่อพี่น้องประชาชน เราจะลงสู้ศึกเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงใหม่ ในนามพรรคเพื่อไทยเชียงใหม่ การเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงใหม่ ที่จะมีขึ้นในเร็วๆ นี้ นายชูชัย กล่าว

สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท ท่าอากาศยานไทย แถลงชี้แจงยืนยันพร้อมทำตามคำสั่งศาล

สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (สร.ทอท.) แถลงชี้แจงยืนยันพร้อมทำตามคำสั่งศาลทุกประเด็น

ด้วยกระผม นายณัฐวุฒิ ทาอินต๊ะ ประธาน สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (สร.ทอท) ขอชี้แจงให้สมาชิก สร.ทอท. และพี่น้องชาว ทอท. รวมทั้งประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ดังนี้

1. สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (สร.ทอท.) ขอน้อมรับตามคำสั่งศาลปกครองทุก ๆ ประเด็น

2. สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (สร.ทอท.) รับทราบและพร้อมปฏิบัติตามมติที่ประชุม เมื่อวันที่ 30 ส.ค.62 ซึ่งมีหน่วยงานภาครัฐเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมหารือ โดย พณฯ ท่านศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน ทุกประการ

3. สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (สร.ทอท.) รู้สึกดีใจที่มีผู้บริหารระดับสูงรัฐบาลไทย ลงมาหาทางออกแก้ไขปัญหาเรื่องความปลอดภัยทางการบินกับธุรกิจเอกชนจบลงด้วยดี จากความคลาดเคลื่อน ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานและทำให้ประชาชนคนไทยเข้าใจถึงถานการณ์ที่เกิดขึ้นและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขต่อไป

เครดิต : สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)(สร.ทอท.)

ภาควิชาพืชศาสตร์ มช. นำดอกปทุมมาผสมกับกระเจียว จนได้สายพันธุ์ใหม่ ดอกมีขนาดใหญ่กว่า สวยงามกว่าเดิม

ที่ศูนย์บริการการพัฒนาขยายพันธุ์ไม้ดอกไม้ผลบ้านไร่อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ภาควิชาพืชศาสตร์และปฐพีศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้นำดอกปทุมมา ผสมกับดอกกระเจียว จนได้สายพันธุ์ใหม่ ที่ทำให้คงทนมากกว่าสายพันธุ์เดิมเกือบ 3 เท่า คงทนต่อสภาพแวดล้อม ขนาดดอกใหญ่ ซึ่งยังไม่มีที่ไหนมาก่อนในประเทศไทย

ด้าน ศาตราจารย์ ดร.โสระยา ร่วมรังษี ผู้อำนวยการ ศูนย์บริการการพัฒนาขยายพันธุ์ไม้ดอกไม้ผลบ้านไร่อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ภาควิชาพืชศาสตร์และปฐพีศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า พืชกลุ่มปทุมมา และกระเจียว เป็นพืชที่ชอบน้ำฝน มีความหลากหลายของชนิด (species) มาก ในประเทศไทยพบประมาณ 38 ชนิด แต่สิ่งที่มักจะพบในพันธุ์ป่าคือ บางชนิดมีอายุปักแจกันสั้น ดอกมีขนาดเล็ก หรือบางดอกใหญ่แต่ไม่สวย บางดอกก้านเล็ก หากมีก้านก็อาจจะสั้นเกินไป

ต่อมาทางศูนย์บ้านไร่ฯ คณะเกษตรศาสตร์ มช. จึงได้พัฒนาสายพันธุ์จากพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่พบทั่วประเทศ เลือกลักษณะทางกายภาพที่โดดเด่น มาทำการผสมกัน จากนั้นก็คัดเลือกลูกผสมที่ดีที่สุด การพัฒนาสายพันธุ์ต้องยอมรับว่าใช้เวลานานมากอย่างน้อย 5 ปีกว่าจะประสบความสำเร็จ ได้ลูกผสมที่สวยงามออกมา ที่ผ่านมาได้ลูกผสมกระเจียวและปทุมมาหลายพันธุ์ เช่น

พันธุ์เกรท เรน (ดอกมีขนาดใหญ่ สะดุดตา สีสดใส สวยงาม เป็นที่ชื่นชอบของผู้พบเห็นทั้งชาวไทยและต่างประเทศ) และเกรท คิง ซึ่งพันธุ์ เกรท คิง จะมีดอกขนาดใหญ่คล้ายกับดอกกระเจียว ส่วนใบจะมีลักษณะคล้ายใบปทุมมา ลักษณะกลีบประดับส่วนบนมีสีแดงเข้ม กลีบประดับล่างสีเขียว หรือเหลืออมเขียว ขอบกลีบสีแดงเข้ม

การคัดเลือกลักษณะเด่นของลูกผสมที่พัฒนาขึ้นมา โดยดูตามการใช้ประโยชน์ เช่น หากนำมาเป็นไม้ตัดดอก จะคัดเลือกลูกผสมที่มีอายุปักแจกันประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ หากเป็นสายพันธุ์เดิมจะอยู่ได้ประมาณ 3 วัน ส่วนลักษณะดอกของลูกผสมที่พัฒนาได้ ดอกมีขนาดใหญ่กว่าเดิม ใบมีขนาดเล็ก ก้านดอกยาวแข็งแรง ทนทานโรค หากเป็นไม้กระถาง จะคัดเลือกลักษณะที่ต้นมีขนาดกะทัดรัด ไม่สูง ก้านดอกสั้น ช่อดอกสูงเหนือใบ มีการแตกกอดี ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีการส่งออกหัวพันธุ์จำนวนมาก และปัจจุบันมีการส่งไม้ตัดดอกไปจำหน่ายต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ทางคณะเกษตรศาสตร์ มช. ร่วมกับ ศูนย์บริการการพัฒนาขยายพันธุ์ไม้ดอกไม้ผลบ้านไร่อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้นำพันธุ์ไม้ดอกปทุมมาและกระเจียวไปทดสอบในพื้นที่ภาคใต้ อ.เบตง และ อ.ธารโต จ.ยะลา แล้วได้ผลเป็นอย่างดี เกษตรกรภาคใต้ขายได้ราคาสูงกว่าทางภาคเหนือ เนื่องจากพื้นที่ผลิตไม้ดอกมีน้อย จึงนับว่าเป็นดอกไม้ที่ปรับสภาพตามภูมิประเทศได้ดีมาก ซึ่งดอกไม้ที่จำหน่ายในพื้นที่ภาคใต้ส่วนใหญ่เป็นดอกไม้ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ทำให้ต้องสูญเสียเม็ดเงินไปต่างประเทศไม่น้อย

ดังนั้น ศูนย์บ้านไร่ฯ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงเป็นหน่วยงานแรกที่เข้าไปส่งเสริมให้เกษตรกรที่มีใจรักในการปลูกดอกไม้มาอบรม ถ่ายทอดความรู้ สร้างแรงบันดาลใจ และแนะนำด้านการตลาด โดยทำงานร่วมกับสำนักงานจังหวัดยะลา ในปัจจุบันมีเกษตรกรให้ความสนใจปลูกดอกไม้จำนวน 6 กลุ่ม ทำให้ราษฎรในพื้นที่มีรายได้ในครอบครัวที่ดีขึ้น ส่วนด้านการตลาดยังคงไปได้ไกล ลดการนำเข้าดอกไม้จากแหล่งต่างๆ ได้ รวมถึงเตรียมต่อยอดไปที่ จ.นราธิวาส และที่จังหวัดอื่นๆ ด้วย สำหรับผู้ที่สนใจก็สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ภาควิชาพืชศาสตร์และปฐพีศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

Facebook ประเทศไทย เปิดตัวโปรแกรม “Boost with Facebook” เป็นทางการที่จังหวัดเชียงใหม่ (คลิป)

Facebook ประเทศไทย เปิดตัวโปรแกรม “Boost with Facebook” เป็นทางการที่จังหวัดเชียงใหม่ เสริมศักยภาพให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เติบโตทางด้านธุรกิจ

ที่ห้องประชุม 2 และ 3 ชั้น 5 ยู นิมมานคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ คุณสาริตา ซิงห์ ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจระดับนานาชาติ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้และกลุ่มตลาดเกิดใหม่ Facebook ได้เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรม “Boost with Facebook” โดยมีนายชูชีพ พงษ์ไชย หัวหน้าสำนักงานจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวต้อนรับ โดยมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอี นักธุรกิจ รวมถึงผู้ที่สนใจในด้านสื่อดิจิทัล เข้าร่วมโครงการจำนวนมาก

คุณสาริตา ซิงห์ ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจระดับนานาชาติ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้และกลุ่มตลาดเกิดใหม่ Facebook กล่าวว่า การเปิดโครงการ “Boost with Facebook” เป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการและเป็นครั้งแรกที่จัดขึ้น และเลือกจังหวัดเชียงใหม่ โดยเล็งเห็นความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการผลักดันศักยภาพของประเทศไทยสู่ยุคดิจิทัล พร้อมช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีท้องถิ่นในการเพิ่มศักยภาพ ส่งเสริมการเติบโตทางธุรกิจและสร้างความสำเร็จจากการขายผ่านช่องทางออนไลน์บนแพลตฟอร์ม C-Commerce หรือ Conversational Commerce ที่ผู้ขายและผู้ซื้อสามารถพูดคุยกันผ่านการส่งข้อความ

กิจกรรมนี้เป็นครั้งแรกที่เปิดให้สาธารณชนได้เข้าร่วมเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล โดยได้รับผลตอบรับจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีท้องถิ่นในเชียงใหม่ราว 700 ราย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจ และระดับผู้จัดการ ผู้เข้าร่วมโปรแกรมดังกล่าวยังได้ฝึกฝนทักษะแบบตัวต่อตัว และรับฟังการบรรยายข้อมูลที่ครอบคลุมหัวข้อหลักต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการสร้าง Faceboob Page และบัญชี Instagram วิธีการใช้งานเครื่องมือเพื่อการสร้างสรรค์คอนเทนต์ และเคล็ดลับในการขยายกลุ่มลูกค้าโดยอาศัยข้อมูลเชิงลึก เป็นต้น

ในประเทศไทยมีกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรวมแล้วเกือบ 300,000 ราย และเฉพาะแค่จังหวัดเชียงใหม่ มีจำนวนถึง 95,912 ราย ในวันนี้เรายินดีที่ได้ขยายโปรแกรมนี้มายังจังหวัดเชียงใหม่ ที่เป็นศูนย์กลางอันดับต้นๆ ของโลกที่รวมผู้ประกอบการอิสระที่ใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือดิจิทัลในการสร้างธุรกิจหรือที่เรียกว่า “ดิจิทัล โนแมด” ไว้มากมาย คุณสาริตา ซิงห์ กล่าว

คุณประณีต เชิดจารีวัฒนานันท์ คุณแม่วัย 61 ปี แอดมิน Facebook Page กล่าวว่า ตนเปิดร้านเบเกอรี่ชื่อ Forest Bake เริ่มต้นจากการมีร้านอาหารเล็กและพี่สาว รวมถึงคนในครอบครัวชอบทำเค้ก เมื่อก่อนหากไม่มีการโฆษณาคนก็จะรู้จักน้อย แต่เมื่อมีเฟสบุ๊ค ก็มีการถ่ายภาพ ถ่ายคลิป vdo โพสต์ลงไปพร้อมข้อความ ต่อมาก็มีคนแชร์ภาพ แชร์คลิปไปมากมาย ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้คือยอดขายที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 90 จากช่องทาง Facebook Messenger ที่มีลูกค้าติดต่อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และไม่ใช่เฉพาะลูกค้าคนไทย แต่รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศด้วย ถือว่าช่องทางของ Facebook ช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไว้มากมาย

คุณชวดี วงศ์พยัต หัวหน้าฝ่ายธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม Facebook ประเทศไทย กล่าวว่า ธุรกิจเอสเอ็มอีของไทยถือเป็นผู้ที่ช่วยนำทางนวัตกรรมระดับโลก พร้อมทั้งลงทุนเพื่อสรรหาวิธีการใหม่ๆ ที่จะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ยุค 4.0 ไปด้วยกัน เรายังคงมุ่งมั่นสร้างสรรค์ช่องทางต่างๆ เพื่อช่วยให้นักธุรกิจทั้งหลายในไทยเติบโตบนแพลตฟอร์มของเรา และยังสนับสนุนให้ความสำเร็จของพวกเขาเป็นจริงผ่านการจัดอบรมต่างๆ เช่น โปรแกรม “Boost with Facebook” ในครั้งนี้

สหภาพแรงงาน ทอท. แสดงจุดยืน กรณีพิพาทเรื่องบุกรุกที่ดิน

 

สหภาพแรงงาน บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ และพพนักงานบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) จำนวน 6 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงราย ท่าอากาศยานหาดใหญ่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานดอนเมือง ได้ร่วมกันแสดงจุดยืนเพื่อปกป้องผลประโยชน์องค์กร หลังได้มี กรณีพิพาทเรื่องบุกรุกที่ดินในพื้นที่ ที่ทอท.กำกับดูแล พร้อมเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการตรวจสอบ

 

 

รัฐบาลญี่ปุ่นให้การสนับสนุนศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดน่านเป็นงบประมาณมูลค่า 1,639,400 บาท

นายฮิโรชิ มัทสึโมะโตะ กงสุลใหญ่ญี่ปุ่น ณ นครเชียงใหม่ เปิดเผยว่า รัฐบาลญี่ปุ่นมีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการจัดการกับความมั่นคงของมนุษย์โดยผ่านโครงการความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจแบบให้เปล่าเพื่อพื้นฐานและความมั่นคงของมนุษย์ (คุซะโนะเนะ)

โดยได้มีการจัดหารถตู้พร้อมลิฟท์ยกรถเข็นวีลแชร์ ให้แก่ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดน่านเป็นงบประมาณมูลค่า 1,639,400 บาท โดยมีนายสมชาย ชนันชนะ ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดน่าน เป็นผู้รับมอบ

สำหรับศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดน่านได้เปิดทำการเมื่อปี พ.ศ. 2543 เพื่อคุ้มครองสิทธิและโอกาสทางการศึกษาของเด็กพิการในจังหวัดน่าน โดยเป็นศูนย์ฯที่มีบุคลากร พร้อมทั้งอุปกรณ์ทางการศึกษาด้านวิชาชีพและการฟื้นฟูสมรรถภาพสำหรับเด็กพิการที่มีประสิทธิภาพอย่างมาก

แต่มีเด็กหลายสิบคนที่ไม่สามารถเดินทางได้ เนื่องด้วยปัญหาด้านที่อยู่อาศัย ปัญหาการเดินทาง และภาวะพิการอย่างหนัก ดังนั้นทางศูนย์ฯจึงต้องส่งครู เจ้าหน้าที่ดูแลเด็กและนักกายภาพบำบัดไปยังครอบครัวแต่ละแห่ง ซึ่งการให้การศึกษาและการฟื้นฟูสมรรถภาพนอกศูนย์ฯนั้นมีข้อจำกัด

ด้วยเหตุนี้ การพัฒนาระบบขนส่งเด็กๆ มายังศูนย์ จึงเป็นประเด็นปัญหาที่ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ทางรัฐบาลญี่ปุ่นจึงได้ให้การสนับสนุนโครงการ ซึ่งการจัดหารถและติดตั้งลิฟท์ได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว

รัฐบาลญี่ปุ่นหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการสนับสนุนในครั้งนี้ จะมีส่วนช่วยให้เด็กพิการจำนวนมากขึ้นสามารถที่จะเข้ารับการศึกษาและการฟื้นฟูสมรรถภาพเฉพาะทางอย่างเป็นประจำ อีกทั้งยังเป็นการแบ่งเบาภาระของครอบครัวในการเดินทางมาส่งเด็กที่ศูนย์ฯ

โอกาสดีสำหรับชาวเชียงใหม่ กลับมาอีกครั้ง สำหรับงานแนะแนวการศึกษาต่อประเทศญี่ปุ่น 24 ส.ค.นี้

กลับมาอีกครั้ง สำหรับงานแนะแนวการศึกษาต่อประเทศญี่ปุ่น งานเดียวที่รวบรวมสถานศึกษาจากประเทศญี่ปุ่นไว้มากที่สุด (JASSO Study in Japan Fair 2019) จัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม 2562

กลับมาอีกครั้ง สำหรับงานแนะแนวการศึกษาต่อประเทศญี่ปุ่น งานเดียวที่รวบรวมสถานศึกษาจากประเทศญี่ปุ่นไว้มากที่สุด ซึ่งเป็นการร่วมมือกันขององค์การสนับสนุนนักศึกษาแห่งประเทศญี่ปุ่น(JASSO) และสมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่นแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้รับการสนับสนุนการจัดงานโดยสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทยและสถานกงสุลใหญ่ญี่ปุ่น ณ นครเชียงใหม่

ภายในงาน พบกับสถาบันการศึกษาจากญี่ปุ่นมากกว่า 40 แห่ง ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลการศึกษาโดยตรงได้กับสถาบันการศึกษาทั้งในระดับมหาวิทยาลัย วิทยาลัย สถาบันสอนภาษาญี่ปุ่น และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจากประเทศญี่ปุ่น

นอกจากนี้ภายในงานยังมีสัมมนาการเตรียมตัวเรียนต่อประเทศญี่ปุ่น ประสบการณ์เรียนและการใช้ชีวิตในประเทศญี่ปุ่นจากรุ่นพี่ศิษย์เก่า และการพูดคุยเกี่ยวกับทุนรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นต้น ผู้เข้าร่วมงานสามารถเข้างาน ฟรี ได้ตลอดทั้งงาน

สำหรับกำหนดการณ์จัดงาน จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม 2562 ตั้งแต่เวลา 09.00 – 16.30 น. ที่ @Nimman Convention Centre สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียด ข่าวสารได้ทาง Facebook: JASSO.Thailand

คณะวิทย์ มช. แถลงการค้นพบพืชชนิดใหม่ของโลก ได้รับพระราชทานนาม “พรหมจุฬาภรณ์”

ที่โถงชั้น 1 อาคาร 40 ปี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่รองศาสตราจารย์ ดร.สัมพันธ์ สิงหราชวราพันธ์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รองศาสตราจารย์ ดร.คมกฤต เล็กสกุล รองผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ศาสตราจารย์ ดร.ธรณินทร์ ไชยเรืองศรี คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมด้วยคณะนักวิจัย

นำโดย อาจารย์ ดร.ธนวัฒน์ เชาวสกู ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ ร่วมด้วยนางสาวอานิสรา ดำทองดี นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา สาขาวิชาความหลากหลายทางชีวภาพและชีววิทยาชาติพันธุ์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และนายกิติศักดิ์ อ๋องย่อง นักวิจัยอิสระ ร่วมแถลงข่าวการค้นพบพืชชนิดใหม่ของโลก ได้รับพระราชทานนาม “พรหมจุฬาภรณ์”

ในการค้นพบครั้งนี้คณะทำงานได้ค้นพบพืชชนิดใหม่ของโลก (new species) ในสกุลมหาพรหม (Mitrephora (Blume) Hook.f. & Thomson) จากป่าบนเขาหินปูนในจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งพืชชนิดนี้มีลักษณะเด่นคือ เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก สูงไม่เกิน 2 เมตร มีดอกขนาดเล็กที่สุดในสกุล ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 1 เซนติเมตร สีขาวเด่น และเปลี่ยนเป็นสีครีมเมื่อดอกมีอายุมากขึ้น มีกลิ่นหอมปานกลางคล้ายกลิ่นดอกโมก กลีบดอกชั้นในประกบกันเป็นรูปโดม โคนกลีบคอด เผยให้เห็นช่องว่างระหว่างกลีบ ผลเมื่อสุกสีแดงอมส้ม

 

ด้วยสำนึกในพระกรุณาธิคุณ ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ที่ทรงสนพระทัยการศึกษาวิจัยในสาขาวิทยาศาสตร์เคมี วิทยาศาสตร์ชีวภาพและการแพทย์ และวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะสหสาขาวิทยาศาสตร์ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ โดยทรงริเริ่มการก่อตั้งสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ เพื่อสนับสนุนการศึกษาวิจัยวิทยาศาสตร์ในสาขาดังกล่าว อันมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษยชาติ

กอปรกับเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เนื่องในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมายุครบ 5 รอบ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จึงได้กราบทูลขอพระราชทานนามไทย “พรหมจุฬาภรณ์” สำหรับพืชชนิดใหม่ของโลกชนิดนี้ และกราบทูลขอพระราชทานนามระบุชนิด “chulabhorniana” เพื่อเป็นชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mitrephora chulabhorniana Damth., Aongyong & Chaowasku และได้รับพระราชทานนามทั้งสอง อันเป็นเกียรติแก่คณะผู้วิจัยและมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นอย่างยิ่ง

พรหมจุฬาภรณ์ หรือ Mitrephora chulabhorniana Damth., Aongyong & Chaowasku ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ Brittonia เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เป็นพันธุ์ไม้ที่ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่งยวด (critically endangered) พบเพียงไม่กี่ต้น บริเวณป่าดิบแล้งบนเขาหินปูนขนาดเล็กในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งอยู่นอกเขตอนุรักษ์ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ระบบนิเวศเขาหินปูนนั้นเป็นระบบนิเวศที่เปราะบาง และมักพบสิ่งมีชีวิตที่จำเพาะ กล่าวคือ ไม่พบที่อื่นใดอีก เมื่อถูกคุกคามมีโอกาสสูญพันธุ์สูง เขาหินปูนลูกที่พบต้นพรหมจุฬาภรณ์นี้มีโอกาสถูกคุกคามในอนาคตอันใกล้

เนื่องจากการขยายตัวของสวนยางพาราและสวนปาล์มน้ำมัน หรือแม้กระทั่งการระเบิดหินปูนเพื่อการใช้ประโยชน์ จึงสมควรอย่างยิ่งที่หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งประชาชนคนไทยทุกคน จักต้องช่วยกันหวงแหนเขาหินปูนในประเทศไทย เพื่ออนุรักษ์ไม่ให้สิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่นสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทยและจากโลก นอกจากนี้ ยังสามารถใช้เทคโนโลยีชีวภาพ โดยเฉพาะการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช เพื่อช่วยขยายพันธุ์ต้นพรหมจุฬาภรณ์ให้มีจำนวนมากขึ้น และนำไปปลูกอนุรักษ์ไว้ในสวนพฤกษศาสตร์ หรือสถานที่ราชการต่าง ๆ เป็นการลดโอกาสการสูญพันธุ์ของต้นพรหมจุฬาภรณ์

การค้นพบ “พรหมจุฬาภรณ์” นี้ จัดได้ว่าเป็นงานวิจัยพื้นฐานที่สำคัญยิ่งต่อการพัฒนาต่อยอดในสาขาต่าง ๆ เปรียบเสมือนกับต้นน้ำที่ค่อย ๆ ไหลไปยังกลางน้ำและปลายน้ำ ซึ่งก็คือการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ถ้าขาดพื้นฐาน ประเทศชาติย่อมขาดโอกาสในการพัฒนาต่อยอด การพัฒนายารักษาโรคจากพืชสมุนไพร ก็เป็นหนึ่งในแนวทางการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน พบว่าพืชสกุลมหาพรหมหลายชนิดมีสารเคมีทุติยภูมิที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง จึงเป็นที่น่าสนใจว่าต้นพรหมจุฬาภรณ์ก็อาจจะมีสารเคมีทุติยภูมิที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งและอาจพัฒนาเป็นยาต้านมะเร็งได้ในอนาคต

การรักษาโรคมะเร็งและพัฒนายาต้านมะเร็งเป็นหนึ่งในพระปณิธานของ ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เจ้าฟ้านักวิทยาศาสตร์อันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย

เครดิตภาพ : ฝ่ายประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่