เชียงราย ผลตรวจน้ำกกพบสารหนูปนเปื้อนเกินมาตรฐานกว่าเท่าตัว

เชียงราย ผลตรวจน้ำกกพบสารหนูปนเปื้อนเกินมาตรฐานกว่าเท่าตัว

วันที่ 4 เมษายน 2568 นายอาวีระ ภัคมาตร์ ผู้อำนวยการสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษ(สคพ.)ที่ 1 เชียงใหม่ ได้เปิดเผยถึงผลการตรวจคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก โดยผลการตรวจไม่พบไซยาไนด์ เพราะปกติออกมาตามธรรมชาติเมื่อเจอแดดและความร้อนก็จะสลายตัว แต่ตรวจพบสารหนู ซึ่งปกติอยู่กับแร่ทองคำ โดยได้เก็บตัวอย่างน้ำที่ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ จุดแรกห่างจากชายแดนพม่า ที่บ้านแก่งทรายมูล ต.ท่าตอน เพียง 500 เมตร โดยพบสารหนูเกินค่ามาตรฐาน 2 เท่า ซึ่งปกติค่ามาตรฐานอยู่ที่ 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร แต่พบค่าสารหนู มากถึง 0.026 มิลลิกรัมต่อลิตร

นายอาวีระ กล่าวว่า จุดตรวจถัดมาอยู่บริเวณแถวสะพานท่าตอน และอีกจุดท้ายน้ำลงไป ก็พบว่ามีสารหนูเกินค่ามาตรฐานทั้ง 3 จุด หากเราสัมผัสน้ำที่มีสารหนู เช่น เมื่อก่อนทางใต้เป็นมีโรคไข้ดำ หากมีการสัมผัสต่อเนื่องอาจเกิดความเปลี่ยนแปลง ก่อให้เกิดมะเร็งได้ หากกินเข้าไปอาจก่อให้เกิดอาหารเป็นพิษ และร่างกายผิดปกติ

นายอาวีระ กล่าวว่า เมื่อช่วงเช้าได้เชิญผู้บริหารมาร่วมประชุมเพื่อแจ้งเตือน และสื่อสารไปยังผู้นำชุมชน สำหรับประชาชนที่จะลงเล่นน้ำในแม่น้ำกก หากหลีกเลี่ยงได้ควรรีบลงรีบขึ้น หากใครมีบาดแผลก็ต้องระวังมากกว่าปกติ สำหรับประปาหมู่บ้าน หรือการนำน้ำกกเข้าไปใช้ในพื้นที่การเกษตร ต้องระมัดระวัง โดยทางการประปา ต้องดูกระบวนการผลิตให้เข้มข้นเนื่องจากสารเหล่านี้อยู่ในอาหารจำพวกสัตว์น้ำได้ คงต้องมีมาตรการตรวจสอบว่าเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อาหารหรือไม่ อย่างไร

สำหรับความกังวลในเมืองเชียงราย ซึ่งใช้แม่น้ำกกเป็นแหล่งน้ำดิบในการผลิตน้ำประปา นายอาวีระกล่าวว่าได้เก็บตัวอย่างน้ำของเชียงรายเมื่อวันที่ 24 มีนาคม ผลตรวจน่าจะออกมาภายใน 1-2 วันนี้ แต่ตัวสารหนูมีน้ำหนัก สามารถตกตะกอนและจมลงได้ หากมีผลกระทบที่เชียงรายก็อาจน้อย แต่เพื่อเป็นการไม่ประมาท หากคนลงเล่นน้ำก็พยายามหลีกเลี่ยงการกลืนหรือกิน หากรู้สึกว่ามีอาการแสบก็รีบไปพบแพทย์

ด้าน น.ส.สมพร เพ็งค่ำ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภายโดยชุมชน ( Community Health Impact Assessment Platform หรือ CHIA Platform) ผู้เชี่ยวชาญด้านมลพิษข้ามพรมแดน กล่าวว่าจากการติดตามข้อมูลการทำเหมืองทองที่ต้นแม่น้ำกก การตรวจพบสารหนูในแม่น้ำกกครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องเกินคาด ที่สำคัญหลังจากนี้ต้องตรวจสารปรอท โดยจับปลานักล่าในแม่น้ำกกมาตรวจการสะสมของสารปรอท ซึ่งหากมีการตรวจพบก็ต้องมีการสื่อสารความเสี่ยงแก่ประชาชน เพื่อให้ประชาชนระมัดระวังตัว

สารปรอทจะพัดพาไปได้ไกลขนาดไหน ต้องดูระบบนิเวศลำน้ำกก ซึ่งควรเก็บตัวอย่างตะกอนดินในลำน้ำกกตลอดลำน้ำจนถึงเมืองเชียงราย และดูความเข้มข้นในพื้นที่ต่างๆ “ในขณะที่เรายังจัดการแหล่งกำเนินมลพิษไม่ได้ เราก็ต้องแจ้งให้ประชาชนทราบและป้องกัน” น.ส.สมพร กล่าว

นายสมเกียรติ เขื่อนเชียงสา นายกสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ได้กล่าวถึงกรณีนี้ว่า จากผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำที่มีสารหนูปนเปื้อนเป็นจำนวนมากเกินกว่ามาตราฐานนั้น ทางฝ่ายบริหหารส่วนท้องถิ่น ระหว่างรัฐต่อรัฐควรจะต้องมีการพูดคุยเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจจะต้องเชิญฝ่ายบริหารของรัฐว้าที่เป็นเจ้าของพื้นที่เหมืองทอง ที่อยู่ต้นแม่น้ำกก และอาจจะต้องขอให้กระทรวงการต่างประเทศเข้ามาเป็นตัวแทนในการพูดคุย เพื่อหาทางออก โดยใช้แผนการปฏิบัติของกรมประมงของไทยเป็นต้นแบบในการแก้ไขปัญหา ซึ่งเราก็เข้าใจว่ารัฐว้าอยู่นอกเหนือกฎหมายของไทย แต่การใช้หลักการของกรมประมงในไทยอาจจะเป็นต้นแกบบแล้วนำมาแก้ไขให้เหมาะกับทั้ง 2 ประเทศ เพื่อให้แม่น้ำกกกลับมามีสภาพที่ปลอดภัยกับคลลุ่มแม่น้ำ

“ในส่วนของการแจ้งเตือนเครือข่ายลุ่มแม่น้ำกก ที่มีทั้งชาวประมงท้องถิ่น กลุ่มเกษตรริมแม่น้ำ ที่อาศัยแม่น้ำกก ในการหาเลี้ยงชีพ ก็มีการพูดคุยและกำลังหาแนวทางในการปรับตัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น” นายกสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต กล่าว

Cr. ณัฐวัตร จ.เชียงราย

กรมทหารพรานที่ 36 จัดกิจกรรมวันสถาปนา ครบรอบปีที่ 41

กรมทหารพรานที่ 36 จัดกิจกรรมวันสถาปนา ครบรอบปีที่ 41

วันที่ 3 เมษายน 2568 ณ หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 36 ค่ายเทพสิงห์ ต.บ้านกาศ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน พล.ท.องอาจ ชูตินันทน์ อดีตผู้บังคับการกรมทหารพรานที่ 36 (คนแรก) ได้เดินทางเป็นประธานในพิธีบำเพ็ญกุศล เนื่องในวันสถาปนา ครบรอบปีที่ 41 โดยมี อดีตผู้บังคับการฯ ได้เดินทางมาร่วมในกิจกรรมวันสถานปนาในครั้งนี้ อาทิเช่น พล.ท.การุณ ขุนสูงเนิน อดีตผู้บังคับการ ลำดับที่ 6 พล.ต.ศุภชัย พรหมรุ่งเรือง อดีตผู้บังคับการ ลำดับที่ 7 พล.อ.อภิเชษฐ์ ซื่อสัตย์ อดีตผู้บังคับการ ลำดับที่ 9 พล.อ.บุญยืน อินกว่าง อดีตผู้บังคับการ ลำดับที่ 10 พันเอกสมรรถชัย แปงสาย อดีตผู้การ ลำดับที่ 16

โดยพันเอก ต่อพงษ์ ชำนาญอาสา ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 36 คนที่ 18 ได้นำกำลังพลเข้าร่วมพิธี และให้การต้อนรับ นายวรศักดิ์ พานทอง นายอำเภอแม่สะเรียง นายวิทยา โปทาสี นายอำเภอแม่ลาน้อย และ หัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานต่างๆ เดินทางมาร่วมพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับกำลังพลที่ล่วงลับเนื่องในวันสถาปนา ในครั้งนี้

กรมทหารพรานที่ 36 จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2527 ตามคำสั่งกองทัพภาคที่ 3 และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาคที่ 3 กรมทหารพรานที่ 36 ปฏิบัติภารกิจตามพันธกิจที่รับมอบหมายจากกองทัพบก กองทัพภาคที่ 3 และกองกำลังนเรศวร ตลอดจนตามนโยบายของผู้บังคับบัญชา ในการปฏิบัติงานด้านยุทธการและการข่าว อาทิ การรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดน การปราบปราบยาเสพติด การป้องกันการบุกรุกทำลายทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น อีกทั้งยังมีการปฏิบัติงานด้านกิจการพลเรือน อาทิ การช่วยเหลือเกษตรกร การช่วยเหลือชุมชนด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การป้องกันภัยแล้ง และการป้องกันแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า เพื่อดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ ให้ปลอดภัยและมีความสุข โดยรับผิดชอบพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอแม่สะเรียง, อำเภอแม่ลาน้อย, อำเภอสบเมย และ อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน

Cr. สุกัลยา / แม่ฮ่องสอน

นายอำเภอขุนยวมพร้อมด้วย รองนายก อบต.ขุนยวม ป่าไม้ นักธรณีวิทยา ร่วมตรวจหลุมยุบบ้านแม่สุริน ตรวจพบข้างล่างเป็นโพรงเกิดการเปลี่ยนแปลงจากน้ำใต้ดิน

นายอำเภอขุนยวมพร้อมด้วย รองนายก อบต.ขุนยวม ป่าไม้ นักธรณีวิทยา ร่วมตรวจหลุมยุบบ้านแม่สุริน ตรวจพบข้างล่างเป็นโพรงเกิดการเปลี่ยนแปลงจากน้ำใต้ดิน

นายอำเภอขุนยวมพร้อมด้วย รองนายกอบต.ขุนยวม เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าไม้ที่ มส. 3 อ.ขุนยวม ราษฎรเจ้าของที่นา บ้านแม่สุริน และ นักธรณีวิทยาชำนาญการพิเศษ ร่วมกันลงพื้นที่บ้านแม่สุรินตรวจสอบหลุมยุบขนาดใหญ่ พบสาเหตุเกิดจาก ข้างล่างเป็นโพรง และอาจจะมีน้ำเป็นตัวพยุงไว้ แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำใต้ดิน ซึ่งอาจจะมาจากสาเหตุของแผ่นดินไหว ก็จะทำให้ระบบน้ำใต้ดินเปลี่ยนแปลง ทำให้ลดระดับลง ตัวโพรงก็จะมีช่องว่าง ตะกอนที่อยู่ด้านบนก็จะทรงตัวลง ทำให้เกิดดิบยุบอย่างที่เห็น อย่างไรก็ตามจะให้นักธรณีฟิสิกส์มาตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าวอีกครั้ง

เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 2 เม.ย.68 นายณรงค์พัชญ์ นาคทรัพย์ นายอำเภอขุนยวม พร้อมด้วย ดร.น้ำฝน คำพิลัง นักวิชาการชำนาญการ กรมธรณีวิทยา นายสาคร ทานา รองนายก อบต.ขุนยวม นายขจร วัฒนมาลา เจ้าพนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบต.ขุนยวม นายอัศราวุธ สิทธิดวง ผู้ช่วยช่างนายช่างโยธา อบต.ขุนยวม เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าไม้ที่ มส. 3 อ.ขุนยวม นายกอฉวี มหาชัย เจ้าของที่นา นายพิเดช ช้างลี้ เจ้าของที่นา และนายธวัช คำฟู ผญบ.บ้านแม่สุริน หมู่ 3 ต.ขุนยวม เจ้าของที่นา ได้เดินทางไปสำรวจหลุมยุบ ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2568 หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวในประเทศเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา

จากการสำรวจพบหลุมขนาดใหญ่ 1 หลุม เป็นรูปวงรี ขนาดกว้าง 22 เมตร ยาว 27 เมตร และหลุมย่อยอื่น ๆ ในพื้นที่ใกล้เคียงรวมทั้งหมด 6 หลุม สำหรับหลุมขนาดใหญ่ ใต้หลุมมีน้ำขัง ไม่สามารถวัดความลึกก้นหลุมได้ โดยหลุมยุบที่เกิดขึ้นกระจายในพื้นที่นาของราษฎรบ้านแม่สุริน หมู่ 3 ต.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน ในเนื้อที่ประมาณ 2 งาน ซึ่งมีเจ้าของที่ดิน 3 ราย ที่ประสบเหตุหลุมยุบในที่นาของตนเองจำนวน 3 ราย ได้แก่ นายกอฉวี มหาชัย , นายพิเดช ช้างลี้ และ นายธวัช คำฟู ผญบ.บ้านแม่สุริน หมู่ 3 ต.ขุนยวม เจ้าของที่นา

ดร.น้ำฝน คำพิลัง นักวิชาการชำนาญการ กรมธรณีวิทยา กล่าวกับผู้สื่อข่าวภายหลังเดินทางลงพื้นที่สำรวจดินยุบกลางไร่ถั่วเหลืองของชาวบ้าน บ้านแม่สุริน ต.ขุนยวม อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน ว่า สาเหตุ ดินยุบ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นหินปูน ซึ่งหินปูนมีลักษณะพิเศษ สามารถละลายน้ำที่เป็นกรดอ่อน ๆ ได้ ซึ่งน้ำที่เป็นกรดอ่อน ๆ เมื่อไหลลงไปตามพื้นรอยแตกรอยแยกใต้ดิน และไปกัดเซาะหินปูนที่อยู่ด้านล่าง ทำให้ข้างล่างเป็นโพรง และอาจจะมีน้ำเป็นตัวพยุงไว้ แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำใต้ดิน ซึ่งอาจจะมาจากสาเหตุของแผ่นดินไหว ก็จะทำให้ระบบน้ำใต้ดินเปลี่ยนแปลง ทำให้ลดระดับลง ตัวโพรงก็จะมีช่องว่าง ตะกอนที่อยู่ด้านบนก็จะทรุดตัวลง ทำให้เกิดหลุมยุบอย่างที่เห็น อย่างไรก็ตามทราบมาว่าทางอำเภอขุนยวมจะทำหนังสือร้องขอไปยังกรมธรณีวิทยา เพื่อส่งเจ้าหน้าที่นักธรณีวิทยาฟิสิกส์ นำเครื่องมือที่ทันสมัยมาตรวจหาโพลงใต้ดินในพื้นที่ดังกล่าว

นายศรีมูล ฟูเฟื่อง อายุ 63 บ้านเลขที่ 100 หมู่ 3 ต.ขุนยวม อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่าตนเองมีที่ดินที่ติดกับ หลุมยุบ ซึ่งเหตุการณ์ประหลาดดังกล่าว ส่งผลให้ราษฎรในหมู่บ้านพากันหวาดกลัว เนื่องจากยังคงมีมีดินทรุด อย่างต่อเนื่อง จนถึงวันที่ 1 เม.ย.68 ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่กล้าเข้าใกล้หลุม โดยตนได้เดินทางไปดูหลุมยุบพบว่าน้ำก้นหลุมยังมีการกระเพื่อมเป็นระยะ และมีรอยแตกของดินขอบหลุมขยายออกไปเรื่อย ๆ ซึ่งตอนนี้ราษฎรเจ้าของสวนถั่วเหลืองรวมไปถึงตน ไม่กล้าที่จะให้น้ำแก่ต้นพืชที่ปลูกไว้เนื่องจากเกรงว่าน้ำที่เพิ่มลงไปจะทำให้เกิดหลุมใหญ่มากกว่าเดิม ซึ่งหากไม่ได้ให้น้ำแก่ถั่วเหลือง ต้นถั่วที่ใกล้จะถึงเวลาเก็บเกี่ยวในปลายเดือนนี้ก็ต้องตายลง ส่งผลกระทบต่อเกษตรโดยตรง

Cr. ฉลอง หมั่นสกุล จ.แม่ฮ่องสอน

เชียงราย ปะทะเดือดใกล้ดอยช้างมูบ ยึดยาบ้ากว่าล้านเม็ด

เชียงราย ปะทะเดือดใกล้ดอยช้างมูบ ยึดยาบ้ากว่าล้านเม็ด

เวลา 09.30 น.วันที่ 3 เม.ย. 68 พลตรี กิดากร จันทรา ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง มอบหมายให้ พันเอก อนุวัช ปัญญานันท์ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่ฟ้าหลวง ฝ่ายปกครองอำเภอแม่ฟ้าหลวง และเจ้าหน้าที่่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ ตรวจนับของกลาง และแถลงข่าวการตรวจยึดยาเสพติดกับสื่อมวลชน ที่บริเวณทางเข้าหมู่บ้าน บ้านป่าซางแสนสุดแดน ต.แม่ฟ้าหลวง อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย

โดยการตรวจสอบยาเสพติดครั้งนี้กองกำลังผาเมืองสืบทราบว่าจะมีการลำเลียงยาเสพติดล็อตใหญ่ จากประเทศเพื่อนบ้านผ่านเข้ามาในประเทศ ผ่านชายแดนทางด้าน อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย จึงมอบหมายให้หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก จัดกำลังพลออกไปลาดตระเวณชายแดนในพื้นที่รับผิดชอบอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเวลา 19.30 น. วันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา ขณะกำลังพล กองร้อยทหารม้าที่ 2 หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก ลาดตระเวณเฝ้าตรวจบริเวณทางเข้าหมู่บ้าน บ้านป่าซางแสนสุดแดน ต.แม่ฟ้าหลวง อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย เจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบกลุ่มผู้ต้องสงสัยคาดว่าเป็นกลุ่มผู้ลำเลียงยาเสพติดจำนวน 5-10 คน เดินเท้าสะพายเป้เข้ามาในจุดที่เจ้าหน้าที่วางกำลังไว้

เจ้าหน้าที่ส่งสัญญาณแสดงตนเพื่อขอตรวจค้น กลุ่มผู้ลำเลียงยาเสพติดจำนวนดังกล่าว ได้ใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาด ยิงใส่เจ้าหน้าที่เพื่อเปิดทางหนี ทำให้เกิดการยิงปะทะตอบโต้กันนานราว 10 นาที หลังเสียงปืนสงบพบว่าเจ้าหน้าที่ทุกนายปลอดภัย ส่วนกลุ่มผู้ลำเลียงยาเสพติดคาดว่าได้ทิ้งเป้สิ่งของแล้วอาศัยความชำนาญพื้นที่ล่าถอยหลบหนีเข้าในเขตประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากตะเข็บชายแดนไทยเมียนมา อยู่ห่างจากจุดปะทะเป็นระยะทางเพียงแค่ประมาณ 2 กิโลเมตร

เนื่องจากขณะเกิดเหตุเป็นยามวิกาล เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จึงได้เรียกกำลังเสริมเพื่อให้มาร่วมควบคุมพื้นที่โดยรอบบริเวณจุดปะทะเอาไว้ก่อน รอจนกระทั่งตอนเช้าของวันนี้ เวลาประมาณ 06.30 น. เจ้าหน้าที่จึงได้จัดกำลังเข้าไปตรวจพิสูจน์พื้นที่ทั้งหมด จึงพบเป้สะพายหลังตกอยู่เป็นจำนวน 6 เป้ ข้างในเป็นยาเสพติดประเภทยาบ้า มีตราสัญลักษณ์เป็นตัวเลข 999 จำนวนเป้ละประมาณ 200,000 เม็ด รวมยาบ้าที่ตรวจยึดได้มีจำนวนทั้งสิ้น 1,2000,000 เม็ด

หลังจากการตรวจพิสูจน์ของกลางเสร็จแล้ว หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก กองกำลังผาเมือง ได้ส่งมอบยาบ้าของกลางทั้งหมดให้กับพนักงานสอบสวน สภ.แม่ฟ้าหลวง เพื่อไปดำเนินการตามขั้นตอนของกฏหมาย ทั้งนี้หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก จะยังคงลาดตระเวณเฝ้าตรวจชายแดนอย่างเข้มข้น เพื่อสกัดกั้นยาเสพติดไม่ให้ทะลักเข้ามาภายในประเทศต่อไป

Cr. ณัฐวัตร จ.เชียงราย

แหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตน้ำพุร้อนเหมืองแร่ปาย อาจจะกลายเป็นตำนาน ส่วนถ้ำปลาอาจมีความหวัง หลังแผ่นดินไหว

แหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตน้ำพุร้อนเหมืองแร่ปาย อาจจะกลายเป็นตำนาน ส่วนถ้ำปลาอาจมีความหวัง หลังแผ่นดินไหว

หลังจากเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 68 ที่ผ่านมา หลายจังหวัดได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า สำหรับจังหวัดแม่ฮ่องสอน นอกจากอาคารส่วนราชการหน่วยงานและบ้านเรือนประชาชนบางแห่งจะมีรอยร้าวแล้ว แหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปเที่ยวเป็นจำนวนมาก เช่น น้ำพุร้อนเหมืองแร่ อ.ปาย และถ้ำปลา อ.เมืองแม่ฮ่องสอน

ก่อนหน้านี้น้ำพุร้อนเหมืองแร่ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวอำเภอปาย จ.แม่ฮ่องสอน ที่ได้รับความนิยมของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง น้ำพุร้อนที่เคยส่องประกายพวยพุ่งสูงกระจายฝอยน้ำอุ่นและน้ำแร่ สร้างความสวยงามดึงดูดหนังท่องเที่ยวให้มาเยือน หลังแผ่นดินไหวในประเทศเมียนมาที่ผ่านมา กับเงียบสนิทนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงกลายเป็นตำนาน สร้างความแตกตื่นให้กับชาวบ้านและนักท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวหลายคนที่เคยมายลโฉมน้ำพุร้อนเหมืองแร่ที่พุ่งขึ้นสวยงามตามธรรมชาติเมื่อรู้ข่าวต่างพากันเสียใจไปตามๆกัน แต่อย่างไรก็ตามเวลาอาจจะเป็นเครื่องพิสูจน์ น้ำพุร้อนเหมืองแร่อาจจะพวยพุ่งกลับมาเหมือนเดิมก็เป็นไปได้ รอดู

วันที่ 2 เมษายน 2568 นายภานุเดช ไชยสกูล นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวแม่ฮ่องสอน กล่าวว่า เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2564 ตนพร้อมด้วย ว่าที่ร้อยตรีภาณุวัฒน์ ขัดนาค ผอ.ททท.สำนักงานแม่ฮ่องสอน นายอำเภอปาย ผู้กำกับ สภ.ปาย ตลอดจนสารวัตรตำรวจท่องเที่ยว ได้ร่วมลงพื้นที่บ่อน้ำพุร้อน “บ้านเหมืองแร่” หมู่ 4 บ้านสบสา ต.เมืองแปง อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ภายหลังมีนักท่องเที่ยวเด็กรัสเซีย ตกบ่อจนถูกน้ำร้อนลวกบาดเจ็บสาหัส มีแผนพัฒนาเพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวในอนาคต และจะทำการเสนอเรื่องไปยัง คณะกรรมการระดับจังหวัด ในการหาแนวทางพัฒนาพื้นที่ต่อไป แต่มาเจอกับเหตุการณ์ทางธรรมชาติทำให้น้ำพุร้อนหยุดนิ่ง

ว่าที่ร้อยตรี ภาณุวัฒน์ ขัดนาค กล่าวว่า บ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ มีความสูงของการประทุ ประมาณ 1.5 เมตร ถูกสำรวจครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2536 โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ความลึกประมาณ 100 เมตร แต่น้ำร้อนเพิ่งปะทุขึ้นมาเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2556 ซึ่งถูกพบโดยบังเอิญ จากชาวบ้านในพื้นที่ น้ำพุร้อนบ้านเหมืองแร่ แห่งนี้ มีอุณหภูมิ ประมาณ 94 – 96.4 องศาเซลเซียส โดยมีกลิ่นกำมะถันน้อยกว่าแหล่งอื่น ซึ่งอยู่ติดกับทางทางหลวงหมายเลข 1265 (แยกแม่ปิง อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน – บ้านวัดจันทร์ อ.กลัยานิวัฒนา จ.เชียงใหม่) ห่างจากแยกแม่ปิงประมาณ 13 กิโลเมตร น้ำพุไหลพุ่งออกสู่พื้นผิวรอบข้าง ไม่ได้มีลักษณะเป็นบ่อ แต่เกิดเป็นแอ่งน้ำลึกประมาณ 15 – 20 เซนติเมตร มีอาณาบริเวณ 20 ตารางเมตร สามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพแห่งใหม่ได้ในอนาคต ซึ่งจะทำให้ชุมชนมีรายได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว แต่ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากแผ่นดินไหว ทำให้น้ำพุร้อนหยุดไหลไม่พุ่งขึ้นเหมือนเมื่อก่อน

นอกจากน้ำพุร้อนเหมืองแร่อำเภอปายแล้ว ถ้ำปลาซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอีกแห่งหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เดินทางเข้าไปเที่ยวชมปลามุงที่แวกว่ายไปมาภายในถ้ำ และ ลำแม่น้ำที่ใสสะอาด ให้นักท่องเที่ยวนำอาหารมาโยนให้และยลโฉม แต่หลังแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค.68 ที่ผ่านมา น้ำในถ้ำปลาขุ่นมัว แทบมองไม่เห็นตัวปลา

นายศรุฒ ทัดวงศ์ หัวหน้าฝ่ายวิชาการและจัดการพื้นที่อุทยานแห่งชาติถ้ำปลาน้ำตกผาเสื่อ กล่าวว่า แต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาชมถ้ำปลาจำนวนมา โดยมี 2567 มีนักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวถ้ำปลามากกว่า 1 แสนคน สร้างรายได้มากกว่า 3 ล้านบาท ส่วนปี 68 มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวถ้ำปลาแล้ว 86,441 คน สร้างรายได้มากกว่า 2 ล้านบาท หลังจากเกิดแผ่นดินไหวในประเทศเมียนมาถ้ำปลาก็ได้รับผลกระทบ จึงส่งเจ้าหน้าที่เข้าสำรวจน้ำภายในถ้ำพบว่าลำน้ำบริเวนปากถ้ำมีสีขุ่นมัว มีตะกอนดินภายในน้ำ และพบว่าปลาที่แวกว่ายอยู่ในลำน้ำด้านนอกได้หลบเข้าไปอยู่ในถ้ำ ขณะนี้ประมาณเกือบ 1 สัปดาห์หลังแผ่นดินไหว สีของน้ำที่ขุ่นมัวมีตะกอนดินก็เริ่มจะใสเล็กน้ำ คงต้องใช้เวลากว่าน้ำจะใสเป็นปกติ

Cr. ฉลอง หมั่นสกุล จ.แม่ฮ่องสอน

ผอ.สบอ.16 แม่สะเรียง กำชับแผนสกัดดับไฟป่าสาละวิน ควบคู่ การสร้างความเข้าใจ

ผอ.สบอ.16 แม่สะเรียง กำชับแผนสกัดดับไฟป่าสาละวิน ควบคู่ การสร้างความเข้าใจ เคาะประตูบ้านแบบเข้มข้นเข้าถึงกลุ่มที่มีความเสี่ยง

วันที่ 2 เมษายน 2568 จากสถานการณ์ จุดความร้อนขึ้น 130 จุด ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติสาละวิน เมื่อวันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมา นายพรเทพ เจริญสืบสกุล ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 สาขาแม่สะเรียง /หัวหน้าศูนย์สั่งการและติดตามสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควัน สบอ.16 สาขาแม่สะเรียง / หัวหน้ากลุ่มป่าที่ 4 ร่วมกับ นายสุทิน พรหมปลัด เลขานุการกลุ่มป่า หัวหน้าป่าอนุรักษ์ในพื้นที่กลุ่มป่า ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่งคง อำเภอแม่สะเรียง นายกอบต.ในพื้นที่ ร่วมประชุมหารือแนวทางในการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ในพื้นที่กลุ่มป่าที่ 4 กลุ่มป่าสาละวิน

โดยหัวหน้ากลุ่มป่าได้มีแผนในการเข้าพื้นที่สกัดดับไฟในพื้นที่ป่าสาละวิน พื้นที่แนวไฟเดิม จนท.กำลังทำงานในพื้นที่ต่อเนื่อง พยายามดับไฟเร็วขึ้น ในส่วน แนวไฟใหม่ต้องบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนเข้ามาช่วยสนับสนุนเพิ่มและสลับสับเปลี่ยนในการเข้าพื้นที่ดับไฟ โดยเฉพาะการเผาในพื้นที่การเกษตร และเพิ่มชุดเสือไฟเข้าสนับสนุนภารกิจ กำชับชุดลาดตระเวนเชิงคุณภาพลาดตระเวนตรึงพื้นที่ โดยให้ฝั่งตัวอยู่ในพื้นที่ หากพบการลักลอบเผาให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างจริงจัง สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ภายในสัปดาห์นี้จะมีการเผาในพื้นที่ไร่หมุนเวียน ที่กระจายทั่วพื้นที่ป่า จึงต้องเฝ้าระวังไม่ให้ไฟข้ามเข้าป่า

การควบคุมป้องกันปัญหาไฟป่า ยังคงดำเนินการควบคู่กับการ สร้างความเข้าใจให้กับชุมชนในพื้นที่ป่า ที่มีความต้องการเผาไร่หมุนเวียน ต้องมีการขออนุญาตใระบบ fireD และเน้นย้ำเรื่องเวลาเผาให้ตรงกับนโยบายจังหวัด โดยให้เริ่มเวลา 14.30 – 18.30น. โดยต้องมีการควบคุมไม่ให้มีการลุกลามเข้าป่า สำหรับในพื้นที่แปลงขนาดเล็ก ที่มีความจำเป็นให้เผาได้ในห้วงเวลา 7.30-10.30น. และต้องควบคุมให้ได้ โดบ ยกระดับการประชาสัมพันธ์แบบ “เคาะประตูบ้าน” แบบเข้มข้นให้เข้าถึงกลุ่มที่มีความเสี่ยงในการเข้าไปจุดไฟเผาป่า ซึ่งขอให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ และขอให้ดำเนินการอย่างระมัดระวังด้วยความปลอดภัย

Cr. สุกัลยา / แม่ฮ่องสอน

กรมโยธาธิการและผังเมือง เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นต่อร่างผังนโยบายระดับประเทศ ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนของภาคเหนือ

กรมโยธาธิการและผังเมือง เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นต่อร่างผังนโยบายระดับประเทศ ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนของภาคเหนือ

วันที่ 2 เมษายน 2568 เวลา 09.00 น. นายขจร ศรีชวโนทัย รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดการประชุม โดยมีนางสาวจริยาพร จิตต์ใจมั่น รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง เป็นผู้กล่าวรายงาน การประชุมรับฟังความคิดเห็นต่อร่างผังนโยบายระดับประเทศของภาคเหนือ

กรมโยธาธิการและผังเมืองได้ดำเนินการวางผังนโยบายระดับประเทศ ตามพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562 เพื่อใช้เป็นกรอบนโยบาย และยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศในด้านการใช้พื้นที่ การพัฒนาเมืองและชนบท การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งการพัฒนาพื้นที่พิเศษ ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตลอดจนสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป กรมโยธาธิการและผังเมืองจึงได้ดำเนินการจัดประชุมขึ้นทั้งในรูปแบบการประชุมแบบ On-Site และการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (VDO Conference) ระบบ Zoom Webinar เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมแสดงข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อร่างผังนโยบายระดับประเทศอย่างทั่วถึง

ภายในงานจะมีการนำเสนอข้อมูลสำคัญในช่วงแรก ได้แก่ การนำเสนอภาพรวมของโครงการ และกรอบนโยบายการใช้พื้นที่ของประเทศและภาค โดย คุณมนต์ชัย วงษ์กิตติไกรวัล และคุณทวีรัตน์ จิรดิลก ซึ่งได้นำเสนอถึง “การพัฒนาประเทศไทยผ่านผังนโยบายระดับประเทศ” ในฐานะแผนระดับที่ 3 ของชาติ ที่พร้อมขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติโดยอาศัยการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานของภาครัฐ นอกจากนี้ ในช่วงเวลาดังกล่าวยังได้นำเสนอถึงข้อมูลสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงในระดับโลก หรือ Megatrends ประกอบด้วย การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ภาวะสงครามทางการค้าและการแบ่งขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจโลก แนวโน้มของความเป็นเมืองที่เพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและสังคมยุคดิจิทัล และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จากนั้นได้นำเสนอประเด็นการพัฒนาสำคัญของประเทศไทยที่ต้องตระหนักถึงและให้ความสำคัญอย่างยิ่งปัจจุบัน ได้แก่

  • การวางแผนรับมือกับวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  • การเตรียมความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างประชากรจากการก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ พร้อมกับภาวะการขาดแคลนแรงงานที่จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
  • การจัดเตรียมที่อยู่อาศัยในเขตเมืองอย่างเพียงพอรองรับการเพิ่มขึ้นของประชากรเมืองของประเทศ
  • การสร้างศักยภาพการแข่งขันของประเทศด้วยการพัฒนาเกษตรสร้างมูลค่า อุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต ท่องเที่ยวคุณค่าสูง และการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษให้เป็นศูนย์ด้านการลงทุนในระดับภูมิภาค
  • การกำหนดการใช้ประโยชน์พื้นที่ให้เกิดความสมดุลระหว่างการพัฒนาและการอนุรักษ์มากขึ้น เนื่องจากสถานการณ์การลดลงอย่างต่อเนื่องของพื้นที่ป่าไม้ของประเทศไทยที่ต้องเร่งสร้างความยั่งยืนโดยเพิ่มพื้นที่
    ป่าไม้ให้ได้ร้อยละ 35 ของพื้นที่ประเทศ พร้อมทั้งเร่งแก้ปัญหาการขยายตัวของพื้นที่เมืองอย่างไร้ทิศทาง (Urban Sprawl) สร้างผลกระทบต่อการลดลงของพื้นที่เกษตรกรรม พื้นที่แหล่งน้ำ และพื้นที่ป่าไม้
  • การกำหนดแนวทางการตั้งถิ่นฐานปลอดภัย พร้อมทั้งการแก้ปัญหาความไม่สมดุลของโครงสร้างระบบเมืองจากการที่ประเทศไทยมีเมืองขนาดใหญ่และขนาดกลางจำนวนน้อยไม่เพียงพอต่อการกระจายโอกาส
    การพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะได้อย่างเพียงพอ โดยการสร้างสมดุลของระบบเมืองเป็นลำดับศักดิ์และยกระดับการพัฒนาเมืองรองให้เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค
  • การผลักดันการพัฒนาประเทศไทยสู่การแข่งขันในระดับสากลในด้าน Global Aviation Hub, Digital Hub และ Medical Hub
  • การสร้างความมั่นคงทางพลังงาน และส่งเสริมให้ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาด

ผังนโยบายระดับประเทศจึงเป็นแผนนโยบายด้านกายภาพที่จะช่วยแก้ปัญหาและพร้อมขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่ของประเทศอย่างเป็นองค์รวม สร้างโอกาสการมีงานทำ และกระจายโอกาสการพัฒนาอย่างทั่วถึง เพื่อให้ประเทศไทยเป็น “ประเทศที่น่าอยู่สำหรับทุกคน เชื่อมโยงภูมิภาค ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม พร้อมรับการเติบโตอย่างยั่งยืน” ตามวิสัยทัศน์ ปี พ.ศ. 2580 ของโครงการ นอกจากนี้ จากการเห็นพ้องร่วมกันของทุกภาคส่วนในเวทีการประชุมรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 3 ที่ผ่านมา จึงได้กำหนดแนวทางการพัฒนาประเทศไทยภายใต้กรอบนโยบายการใช้พื้นที่ของประเทศและภาค พ.ศ. 2580 ไว้ดังนี้

  • การเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมขนส่ง โครงข่ายสื่อสาร และโครงข่ายพลังงานทั้งในและระหว่างประเทศ
  • การพัฒนาเศรษฐกิจฐานนวัตกรรมมูลค่าสูงแห่งอนาคต
  • การพัฒนาศูนย์กลางความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคมในทุกภูมิภาคของประเทศเพื่อการเติบโตอย่างทั่วถึงและลดความเหลื่อมล้ำ
  • การพัฒนาพื้นที่เมืองและชนบทให้เติบโตอย่างสมดุล น่าอยู่
  • การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึงให้ครอบคลุมทุกภูมิภาค
  • การอนุรักษ์และฟื้นฟูฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • การสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

ช่วงเวลาสำคัญถัดมาของการประชุมคือ การนำเสนอ “ร่างผังนโยบายรายสาขา” ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์หลักของงานประชุมในครั้งนี้ นำเสนอโดย รศ.ดร.พนิต ภู่จินดา ผู้เชี่ยวชาญการวางแผนภาคและเมือง ร่วมกับ ผศ.ดร.ศิรดล ศิริธร ผู้เชี่ยวชาญด้านการคมนาคมและการขนส่ง และ ผศ.ดร.ไชยาพงศ์ เทพประสิทธิ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการน้ำ เพื่อบรรยายให้ผู้เข้าร่วมประชุมทุกท่านทราบถึงนโยบายการพัฒนาพื้นที่ประเทศไทย ปี พ.ศ. 2580 ในด้านต่าง ๆ ทั้งหมด 14 สาขาได้แก่

  • นโยบายการใช้ประโยชน์พื้นที่
  • นโยบายทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศ
  • นโยบายการตั้งถิ่นฐานและระบบชุมชน
  • นโยบายการพัฒนาเมืองและชนบท
  • นโยบายโครงสร้างพื้นฐานการท่องเที่ยว
  • นโยบายศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
  • นโยบายพื้นที่พัฒนาพิเศษ
  • นโยบายโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมและการขนส่ง
  • นโยบายการเชื่อมโยงกับประเทศในภูมิภาค
  • นโยบายโครงสร้างพื้นฐานการพลังงาน
  • นโยบายโครงสร้างพื้นฐานการจัดการน้ำ
  • นโยบายโครงสร้างพื้นฐานระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
  • นโยบายโครงสร้างพื้นฐานการสาธารณสุข
  • นโยบายโครงสร้างพื้นฐานการศึกษา

และทั้งหมดนี้คือ ภาพรวมของทิศทางการพัฒนาพื้นที่ประเทศไทยในอนาคต ที่จะเกิดขึ้นจาก
กรอบนโยบายการพัฒนาพื้นที่ที่ผังนโยบายระดับประเทศกำหนด เพื่อให้การพัฒนาประเทศไทยเป็นไปในทิศทางเดียวกันและเกิดความยั่งยืน

จากนั้นเข้าสู่ขั้นตอนการระดมความคิดเห็นต่อ “ร่างผังนโยบายระดับประเทศ” ของภาคตะวันออก โดยมีผู้เข้าร่วมการประชุมจำนวนกว่า 700 คน ประกอบด้วย หัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนองค์กรพัฒนาเอกชน ผู้ทรงคุณวุฒิ ภาคเอกชน ประชาชน สื่อมวลชน เข้าร่วมประชุมทั้งในรูปแบบ On-Site และ Online ณ โรงแรมวินทรี ซิตี้ รีสอร์ท จังหวัดเชียงใหม่ ทั้งนี้ ทางกรมโยธาธิการและผังเมืองได้รับความร่วมมือจากผู้เข้าร่วมประชุมเป็นอย่างดียิ่ง และจะนำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะในที่ประชุมมาใช้ปรับปรุงผังนโยบายระดับประเทศต่อไป

จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประกอบพิธีมอบเกียรติบัตรแก่ผู้เข้ารับการพิจารณาคัดเลือกเป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่น

จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประกอบพิธีมอบเกียรติบัตรแก่ผู้เข้ารับการพิจารณาคัดเลือกเป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่น

วันที่ 1 เมษายน 2568 ที่ ศาลาประชาคมจังหวัดแม่ฮ่องสอน อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน นายเอกวิทย์ มีเพียร ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นประธานในพิธีมอบเกียรติบัตรแก่ผู้เข้ารับการพิจารณาคัดเลือกเป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี 2567 จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมี นายอุดมศักดิ์ ขาวหนูนา รองผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน นายบุญลือ ธรรมธรานุรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ ร่วมพิธีฯ

โดย จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีจำนวนข้าราชการและลูกจ้างประจำ ที่เสนอผลงานเข้ารับการคัดเลือกเป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี พ.ศ.2567 ทั้งหมด 11 คน โดยคณะกรรมการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2567 จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้พิจารณาคัดเลือกข้าราชการและลูกจ้างประจำ เป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี พ.ศ.2567 ระดับประเทศ จำนวน 3 คน และข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี พ.ศ.2567 ระดับจังหวัด จำนวน 8 คน โดยข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี พ.ศ.2567 ระดับประเทศ เข้ารับเข็มเชิดชูเกียรติ (ครุฑทองคำ) และเกียรติบัตรจากนายกรัฐมนตรี ณ ห้องประชุมกรมประชาสัมพันธ์ กรุงเทพมหานคร จำนวน 3 ราย ดังนี้ 1.นายอำพร วายลม ตำแหน่ง พลังงานจังหวัดแม่ฮ่องสอน สำนักงานพลังงานจังหวัดแม่ฮ่องสอน 2.นายธนวัฒน์ คงธรรม ตำแหน่ง นายแพทย์เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลปางมะผ้า อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดแม่ฮ่องสอน 3.นายสุทัศน์ เอี่ยมแสง ตำแหน่ง ผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษ โรงเรียนสบเมยวิทยาคม อำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน สังกัดสำนงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาแม่ฮ่องสอน

ในโอกาสนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน มอบเกียรติบัตรแก่ข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี พ.ศ.2567 ระดับจังหวัด จำนวน 8 คน ดังนี้ 1.นางสาวสุพรรณษา อินทพงค์ ตำแหน่ง ครูเชี่ยวชาญ โรงเรียนแม่สะเรียงบริพัตรศึกษา อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาแม่ฮ่องสอน 2.นางมาลี เชยชุ่ม ตำแหน่ง นักวิชาการพัฒนาชุมชนชำนาญการพิเศษ สังกัดสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดแม่ฮ่องสอน 3.นางภมรรัตน์ แก้วโมรา ตำแหน่ง พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลปางมะผ้า อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดแม่ฮ่องสอน 4. นายพักตร์ภูมิ ปัญญาไชยพัฒน์ ตำแหน่ง นายช่างไฟฟ้าชำนาญงาน สังกัดสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดแม่ฮ่องสอน 5.นางละออ บุญมาดำ ตำแหน่ง พนักงานซักฟอก ระดับ บ2 โรงพยาบาลปางมะผ้า อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดแม่ฮ่องสอน

สำหรับข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี พ.ศ.2567 ระดับจังหวัด อีก 3 คน ติดภารกิจ ไม่สามารถเข้าร่วมพิธีมอบเกียรติบัตรได้ในวันนี้ มีรายชื่อดังต่อไปนี้ 1.นางสาววรินทร ปัดทอง ตำแหน่ง รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาแม่ฮ่องสอน สังกัดสำนงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาแม่ฮ่องสอน 2.นางนุชจรี อานัย ตำแหน่ง ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนขุนยวม สังกัดสำนงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาแม่ฮ่องสอน 3.นางสาวกฤษญา ตันนุกูล ตำแหน่ง นักผังเมืองชำนาญการ สำนักงานโยธาและผังเมืองจังหวัดแม่ฮ่องสอน

Cr. ฉลอง จ.แม่ฮ่องสอน

เชียงราย ตำรวจ – ทหาร สกัดยาบ้าเตรียมส่งพัสดุ กว่า 1 ล้านเม็ด

เชียงราย ตำรวจ – ทหาร สกัดยาบ้าเตรียมส่งพัสดุ กว่า 1 ล้านเม็ด

เวลา 08.30 น. วันที่ 1 เม.ย. 68 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เทิง ร่วมกับ ร้อย.ทพ.3105 ฉก.ทพ.31 กองกำลังผาเมือง ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ผบก.ภ.จว.เชียงราย พล.ต.กิดากร จันทรา ผบ.กองกำลังผาเมือง พ.ต.อ.เจษฎา จุโฑปะมา ผกก.สภ.เทิง พ.อ.ไพรัช ศรีไชยวาล ผบ.ฉก.ทพ.31 ได้ร่วมกันจับกุม ผู้ต้องหา 2 คน พร้อมยาบ้าจำนวน 1,011,000 เม็ด

โดยการจับกุมครั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เทิง ได้สืบทราบว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ชายแดนมาพักคอย บริเวณ โรงแรมแห่งหนึ่งพื้นที่ ม.7 ต.หงาว อ.เทิง จ.เชียงราย เพื่อส่งต่อไปยังพื้นที่ตอนใน

ต่อมาเมื่อเวลา 10.00 น. ทางเจ้าหน้าที่จึงได้นำกำลังเข้าตรวจค้นร่วมกับ ทหารพราพ ทพ.3105 ตาม พ.ร.บ. ประมวลกฎหมายยาเสพติด สามารถจับกุมผู้ต้องหา จำนวน 2 ราย เป็นชาย 1 คน หญิง 1 คน และตรวจยึดรถยนต์ จำนวน 2 คัน พร้อมตรวจยพบของกลางยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) บรรจุอยู่ในกระสอบฟาง จำนวน 3 กระสอบๆ ละ 250,000 เม็ด จำนวน 2 กระสอบ และกระสอบละ 200,000 เม็ด จำนวน 1 กระสอบ และตรวจพบกล่องพัสดุ บริษัทเอกชน จำนวน 10 กล่อง ผลการตรวจสอบ พบเป็นกล่องบรรจุถุงข้าวสาร จำนวน 6 กล่อง และกล่องบรรจุยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ซุกซ่อนอำพราง กับถุงข้าวสาร จำนวน 4 กล่องๆ ละ 80,000 เม็ด จำนวน 3 กล่อง และกล่องละ 71,000 เม็ด จำนวน 1 กล่อง รวมตรวจยึดของกลางยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน 1,011,000 เม็ด ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหามาสอบสวน เพื่อขยายผลที่ สภ.เทิง จ.เชียงราย

Cr. ณัฐวัตร จ.เชียงราย

รองเจ้าคณะฯ แม่ฮ่องสอน ร่วมกับเจ้าคณะอำเภอปาย ตร. สุ่มตรวจปัสสาวะตรวจปัสสาวะพระสงฆ์ และสามเณร สร้างพื้นที่วัดสีขาว

รองเจ้าคณะจังหวัดแม่ฮ่องสอน พร้อมเจ้าคณะอำเภอปายร่วมกับ ตำรวจภูธรปาย ร่วมกับผู้นำชุมชน ลงพื้นที่สุ่มตรวจปัสสาวะพระสงฆ์ และสามเณร สร้างพื้นที่วัดสีขาว ปลอดยาเสพติดและบุหรี่ไฟฟ้า

1 เม.ย.68 พระมหาสมศักดิ์ สุภเมธี รองเจ้าคณะจังหวัดแม่ฮ่องสอน เจ้าอาวาสวัดทรายขาว อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน และพระครูอนุสารปุญญาคม เจ้าคณะอำเภอปาย ร่วมกับตำรวจภูธรอำเภอปาย โดยการอำนวยการของ พ.ต.อ.ภาสวินท์ แก้วต่าย ผกก.สภ.ปาย ,พ.ต.ท. วีรภัทร คำลาพิช รอง ผกก.ป.สภ.ปาย มอบหมายให้ พ.ต.ต.เกรียงไกร แสนสลี สวป.(ชส.) สภ.ปาย ,ร.ต.อ.ประเสริฐ เขตกัน รอง สวป.สภ.ปาย ,ร.ต.อ.หญิง อรวี เกตุจันทึก รอง สว.อก.สภ.ปาย ,ร.ต.ต.ศิริวัฒน์ ตุ่นวิชัย รอง สว.(ป.) สภ.ปาย พร้อมข้าราชการตำรวจ สภ.ปาย บูรณาการร่วม ผู้นำชุมชน ลงพื้นที่ วัดแม่นาเติงใน ,วัดหัวนา ,วัดหลวง ,วัดทรายขาว โดยได้ทำการ สุ่มตรวจปัสสาวะ พระสงฆ์ สามเณร และเจ้าหน้าที่ประจำวัด เพื่อป้องกันการมั่วสุม อบายมุขต่างๆ รวมถึงป้องกันการแพร่ระบาดของยาเสพติดและบุหรี่ไฟฟ้าภายในวัด อีกทั้งเพื่อเป็นการกวดขันดูแล ไม่ให้เกิดความเสื่อมเสียในวงการพระพุทธศาสนา หรือก่อให้เกิดความเสื่อมศรัทธาต่อประชาชนในพื้นที่ ซึ่งเจ้าอาวาสและพระลูกวัดให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

ผลการตรวจ ไม่พบพระสงฆ์ สามเณร ผู้ประจำวัด ที่มีสารเสพติดในร่างกายแต่อย่างใด

Cr. ฉลอง หมั่นสกุล จ.แม่ฮ่องสอน