สสส.- พม. สานพลังจัดงาน “วันสร้างสุข” สร้างสุขภาวะคนพิการ “เชียงใหม่”

สสส.– พม. สานพลังจัดงาน “วันสร้างสุข” สร้างสุขภาวะคนพิการ “เชียงใหม่” คัดชุดความรู้สุขภาพ เป็นกิจกรรมสร้างทักษะชีวิตให้คนพิการมีสุขภาวะครบทุกมิติ สร้างความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ ตามแนวทางทุกคนบนแผ่นดินมีสุขภาวะที่ดี

เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2566 ที่ อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นายชัชวาลย์ ปัญญา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วย นางภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และนางจิราพร เชาวน์ประยูร ยามาโมโต้ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) เชียงใหม่ ร่วมกันเปิดงาน “วันสร้างสุข เสริมสร้างสุขภาวะสำหรับคนพิการ เชียงใหม่” ภายใต้โครงการการพัฒนาทักษะชีวิตสำหรับคนพิการผ่านกระบวนการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า จ.เชียงใหม่ มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โดยเพิ่มโอกาส พัฒนาศักยภาพ สร้างความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ เพื่อให้คนพิการได้รับการดูแลจากครอบครัว ชุมชน หน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ผ่านการดำเนินงานหลักของ พมจ.เชียงใหม่ ทั้งนี้ การสนับสนุนกิจกรรมให้คนพิการมีโอกาส และมีส่วนร่วมทางสังคม ผ่านกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ “วันสร้างสุข เสริมสร้างสุขภาวะสำหรับคนพิการ เชียงใหม่” ภายใต้การสนับสนุนของ สสส. จะช่วยให้คนพิการเข้าถึงองค์ความรู้ในการสร้างทักษะชีวิต (Life Skill) นำไปสู่การพัฒนาศักยภาพตนเองของคนพิการ สร้างแรงบันดาลใจ และส่งเสริมแนวคิดการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาวะในมิติต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับการดำเนินชีวิตประจำวันของคนพิการ

นางภรณี ภู่ประเสริฐ ผอ.สำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่ม สสส. กล่าวว่า สสส. ให้ความสำคัญกับคนพิการอย่างต่อเนื่อง มุ่งสนับสนุน และส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตทุกมิติ ตั้งแต่ทักษะการทำงาน การดูแลสุขภาพตนเอง การบริหารด้านการเงิน จนเป็นที่ยอมรับจากหน่วยงานระดับพื้นที่ กิจกรรมงาน “วันสร้างสุข เสริมสร้างสุขภาวะสำหรับคนพิการ” ครั้งนี้เกิดขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้คนพิการมีกิจกรรมพัฒนาทักษะชีวิตเพิ่มขึ้น มีคนพิการเข้าร่วมกว่า 250 คน เป็นส่วนหนึ่งภายใต้โครงการการพัฒนาทักษะชีวิตสำหรับคนพิการผ่านกระบวนการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ พัฒนาศักยภาพในการดำเนินชีวิตในทุกมิติ นำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ มีทักษะการรู้เท่าทัน ยกสถานะทางสังคมของคนพิการ และได้แนวคิดแรงบันดาลใจในการปรับทัศนคติ เปลี่ยนพฤติกรรมด้านสุขภาวะแก่คนพิการ และสังคมรอบข้างต่อไป

“สสส.ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้คนพิการมีกิจกรรมทางกายอย่างต่อเนื่องผ่านรูปแบบต่าง ๆ อาทิกิจกรรมส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพ 70 วันมหัศจรรย์ของฉัน ผู้เข้าร่วมสะสมกิจกรรม 5,476 คน งานวิ่งด้วยกันกว่า มีคนพิการ และคนไม่พิการเข้าร่วมกว่า 3,000 คน เกิดเครือข่ายวิ่งด้วยกันในต่างประเทศ อาทิ ฮ่องกง และสิงคโปร์ สำหรับกิจกรรมในวันนี้ ภาคีฯ และ สสส.ได้ร่วมออกแบบ นำชุดความรู้เชิงประเด็นสุขภาพต่าง ๆ ของ สสส. มาเชื่อมโยงกิจกรรมที่สอดคล้อง กับความต้องการ และสภาพข้อจำกัดต่างๆ กลุ่มคนพิการ มุ่งสู่การสร้างทักษะชีวิต เช่น กิจกรรมค้นหาตัวตน โดยใช้กระบวนการศิลปะบำบัด (Art Therapy Workshop)  การใช้สมาร์ตโฟนสร้างอาชีพ โปรโมทสินค้าออนไลน์ ถ่ายภาพ พัฒนาทักษะการประกอบอาชีพ เพิ่มโอกาสให้คนพิการเข้าถึงความรู้ได้อย่างเท่าเทียมในทุกพื้นที่ ซึ่งที่ผ่านมามีการจัดกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาวะประจำเดือน เพื่อให้คนพิการ และครอบครัวสามารถร่วมเรียนรู้ ร่วมปฏิบัติ สามารถนำไปต่อยอดปรับใช้ในชีวิตของตัวเองได้ โดยจัดไปแล้วรวม 20 ครั้ง มีจำนวนคนพิการ และครอบครัวเข้าร่วมประมาณ 817 คน” นางภรณี กล่าว

นางจิราพร เชาวน์ประยูร ยามาโมโต้ กล่าวว่า ปัจจุบัน จ.เชียงใหม่มีคนพิการที่ขึ้นทะเบียนและได้รับบัตรคนพิการแล้ว จำนวน 56,339 คน คิดเป็น 3.14% ของประชากรทั้งหมดในจังหวัด มากเป็นอันดับ 1 ของภาคเหนือ สำหรับกิจกรรมในวันนี้ เป็นการเปิดพื้นที่ให้คนพิการเข้าถึงกิจกรรมการเรียนรู้ที่สร้างเสริมสุขภาวะในทุกมิติ สื่อสารงานเชิงประเด็นต่าง ๆ ของ สสส. ด้วยการแปลงความรู้ ให้สามารถเข้าถึงได้ง่าย ผสมผสานรูปแบบกิจกรรมที่หลากหลาย นำไปปฏิบัติได้จริงในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นไปตามภารกิจของ พมจ.เชียงใหม่ ที่มุ่งสร้างสังคมแห่งความสุขร่วมกัน ปรับเจตคติเปลี่ยนความเชื่อจาก “คนพิการเป็นภาระ สู่การเป็นพลัง” พัฒนารูปแบบการดำเนินงานให้คนพิการ และครอบครัวเข้าถึงบริการสวัสดิการที่เป็นประโยชน์ สร้างการมีส่วนร่วมกับหน่วยงาน องค์กรต่าง ๆ ในพื้นที่ เพื่อให้ผู้พิการได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียม

เปิดตัวเทศกาลละครเวที Drama On Stage 6 โดยนักศึกษาคณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

เปิดตัวเทศกาลละครเวที Drama On Stage 6 โดยนักศึกษาคณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

Drama On Stage 6 เทศกาลละครเวทีครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี กลับมาอีกครั้งในคอนเซ็ปต์ “Dramatic Life” ชีวิตที่ครบรส เร้าใจ จนน่าอัศจรรย์ โดยถูกถ่ายทอดออกมาผ่านละครเวที 4 เรื่อง 4 รสชาติ หลากหลายรูปแบบ จัดแสดงตั้งแต่ในช่วงเดือนกันยายน – ตุลาคม ณ คณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ ไลฟ์สไตล์ ฮับ เชียงใหม่

การกลับมาของเทศกาลละครเวที Drama On Stage 6 มาพร้อมกับละครเวทีทั้งหมด 4 เรื่อง ได้แก่

  1. ประสาทแตก Terrorism ละครเวทีสาย Dark Comedy ถ่ายทอดผ่านเหตุการณ์เรื่องราวของผู้โดยสารที่กำลังเดินทางไปประชุมงานสำคัญ แต่เกิดเหตุที่คาดว่าเป็นการก่อการร้ายในสนามบิน ทำให้สนามบินต้องปิดฉุกเฉิน เขาจะตัดสินใจทำอย่างไร และสิ่งที่เขาตัดสินใจนั้นจะนำพาไปสู่อะไรบ้าง จัดแสดงในวันที่ 15 – 17 กันยายน เวลา 13:00 น. และ 19:00 น. (5 รอบการแสดง)  ณ คณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

  1. De Kelas Immersive Experience Theatre ละครเวทีที่จะพาผู้ชมไปสัมผัสประสบการณ์รูปแบบใหม่ เหมือนคุณได้เข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในเนื้อเรื่อง ได้เห็นมุมมองที่แตกต่างจากการชมละครเวทีทั่วไป ได้มีโอกาสพูดคุยกับตัวละครอย่างใกล้ชิด เลือกเส้นทางได้ตามใจ และทุกการตัดสินใจจะมีผลในตอนจบของเนื้อเรื่อง จัดแสดงในวันที่ 23 – 24 กันยายน เวลา 13:00 น. และ 19:00 น. (4 รอบการแสดง)  ณ อารีนาฮอลล์ชั้น 3 ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ ไลพ์สไตล์ ฮับ เชียงใหม่

  1. สามคู่ชู้ทั้งน้าน…น ละครเวทีแนว Comedy สุดฮาที่จะพาทุกคนร่วมลุ้นไปกับความสัมพันธ์แบบ “ชู้” ของทั้งสามคู่ ที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน จัดแสดงในวันที่ 30 กันยายน – 1 ตุลาคม เวลา 13:00 น. และ 18:00 น. (4 รอบการแสดง)  ณ อารีนาฮอลล์ ชั้น 3 ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ ไลพ์สไตล์ ฮับเชียงใหม่

  1. สายัณห์สนธยา เดอะมิวสิคัล เมื่อเสียงเพลงเป็นตัวแทนในการสื่อสารความรู้สึกอันเปี่ยมล้นในจิตใจ นำเสนอผ่านเรื่องราวของ ทิวสน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่อยู่มาวันหนึ่งเขาได้เห็นเหตุการณ์ อันน่าสะพรึงกลัวผ่านความฝัน หลังจากวันนั้นก็เกิดเรื่องราวแสนแปลกประหลาด และชวนขนหัวลุก ภายในบ้านอย่างต่อเนื่อง รวมถึงท่าทีของคนในบ้านที่ต่างออกไป จัดแสดงในวันที่ 7 – 8 ตุลาคม เวลา 14:00 น. และ 19:00 น. (4 รอบการแสดง)  ณ อารีนาฮอลล์ ชั้น 3 ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ ไลพ์สไตล์ ฮับ เชียงใหม่

รายละเอียดการจำหน่ายบัตร โปรโมชั่น และข่าวสารต่าง ๆ เพิ่มเติม สามารถติดตามได้ที่

Facebook Fanpage : Drama On Stage ละครเวทีแมสคอม มช.

Instagram : @dramaonstage.mc และ Tiktok : @drama.on.stage.mc  

ช่องทางติดต่อ : 09-0275-9405 (โจอี้)

ปิดโครงการเป็นที่เรียบร้อย กับงานฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ โครงการ “การพัฒนาระบบควบคุมฟาร์ม อัจฉริยะในโรงเรือน โดยใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่แบบยั่งยืน ในภาคเหนือตอนบน 1”

ปิดโครงการเป็นที่เรียบร้อย กับงานฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ โครงการ “การพัฒนาระบบควบคุมฟาร์ม อัจฉริยะในโรงเรือน โดยใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่แบบยั่งยืน ในภาคเหนือตอนบน 1” ที่จัดโดยศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ศวฮ.) สำนักงานเชียงใหม่ เปิดหลักสูตรการอบรมเชิงปฏิบัติการให้กับเกษตรกร เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กลุ่มเกษตรกรภาคเหนือตอนบน 1 (เชียงใหม่, ลำพูน, ลำปาง, แม่ฮ่องสอน) ที่ได้รับความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา อาทิ สำนักงานเกษตรจังหวัด, สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล สาขาภาคเหนือตอนบน, หอการค้าจังหวัดเชียงใหม่, กลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่ (Young Smart Farmer), สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยแม่โจ้, มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และมหาวิทยาลัยพะเยา

โดยมุ่งเน้นให้โครงการฯ นี้สามารถสร้างความยั่งยืน และเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์เกษตรอย่างมีคุณภาพ และเน้นการพัฒนาพืชสมุนไพรมูลค่าสูงผ่านห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ด้วยแนวคิด BCG (Bio-Circular-Green Economy) และเศรษฐกิจฮาลาล (Halal Economy) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับพืช และสมุนไพรไทย ตลอดจนการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่สร้างความอัจฉริยะในการเกษตร สำหรับพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ที่จะช่วยแก้ปัญหา และลดความเสี่ยงด้านการจัดการปลูกพืชสมุนไพรในโรงเรือนอัจฉริยะ และเพื่อพัฒนาระบบการบริหาร จัดการการปลูกพืชสมุนไพรด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่ ให้เป็นโรงเรือนต้นแบบ เพื่อใช้และต่อยอดในอนาคตอย่างยั่งยืน รวมไปถึงเพื่อนำผลผลิตทางการเกษตรในฟาร์มให้เป็นพืชปลอดภัยตามมาตรฐาน GAP และได้รับความรู้เกี่ยวกับมาตรฐาน Halal ตามหลักศาสนบัญญัติอิสลาม และเพื่อให้ได้รับความรู้ด้านเกษตรอัจฉริยะ และเทคโนโลยีสำหรับสมาร์ทฟาร์ม และสามารถนำองค์ความรู้ไปถ่ายทอดต่อไป โดยใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีที่มีในพื้นที่มาช่วยแก้ปัญหา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมการเกษตรฮาลาล, ลดความเสี่ยงด้านการจัดการ, ลดต้นทุน, ลดการใช้แรงงาน และเพิ่มผลผลิตให้มากยิ่งขึ้น

ซึ่งการประยุกต์เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อการปลูกพืชสมุนไพรในรูปแบบเกษตรอัจฉริยะ เป็นการนำเอาระบบเฝ้าระวัง (monitoring) และระบบควบคุม (control) ปัจจัยต่างๆ ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช เช่น การใช้น้ำ, อุณหภูมิ และความชื้น เป็นต้น ด้วยการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ loT (Internet of Things) โดยการติดตั้งอุปกรณ์เซ็นเซอร์ (senser) และอุปกรณ์ควบคุม (controller) ภายในโรงเรือน และส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ โดยเกษตรกรหรือผู้ใช้งานสามารถสั่งการ และเรียกดูการรายงานผลในรูปแบบข้อมูล และกราฟ ผ่านทางหน้าเว็ปไซต์ (Website) ทำให้สามารถลดต้นทุนการผลิต ในกระบวนการเพาะปลูก และเพิ่มผลผลิตให้สามารถส่งออกไปสู่ตลาดได้อย่างเพียงพอ ด้วยในปัจจุบันชุมชนมีตลาดรองรับเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังลดการใช้เวลา และการพึ่งพาแรงงานอีกด้วย

ทั้งนี้ได้จัดให้มีการอบรมเชิงปฏิบัติการครั้งที่ 1 มีทั้งหมด 28 รุ่น ตั้งแต่เดือน มกราคม – สิงหาคม 2566 มีผู้เข้าร่วมอบรม กว่า 1,050 คน ซึ่งมีการแบ่งหัวข้ออบรมเป็น 6 ข้อใหญ่ๆ อาทิ Sustainable Agriculture, Sustainable Branding, Sustainable Farming  Sustainable Marketing, Sustainable Packaging และ Halal Forensic Science ซึ่งมีเนื้อหาครอบคลุม และให้ความรู้สำหรับผู้เข้าอบรมเป็นอย่างมาก โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรที่มีความรู้สับเปลี่ยนหมุนเวียนมาให้บรรยาย และจัด workshop มากมาย อาทิ

  • Sustainable Agriculture
    • การบรรยายหัวข้อ “พัฒนาการขยายพันธุ์สับปะรด สู่เกษตรชั้นนำ” โดย รศ.ดร.ชิติ ศรีตนทิทย์ อาจารย์สถาบันวิจัยเทคโนโลยีเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จ.ลำปาง
    • การบรรยายหัวข้อ “Smart Farm เกษตรอัจฉริยะทางเลือกเกษตรกรยุคไอที และการจัดการฟาร์มสมัยใหม่ พลิกวงการเกษตรไทยให้ยั่งยืน” โดยคุณพีรภัฒน์ วุฒิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟาร์ม (ไทยแลนด์) จำกัด
    • การบรรยายหัวข้อ “Farm To Face Workshop” Hydrosol, Infused Oil, Natural Lotion โดย คุณวรินทร์ดา ศรีเจริญ, คุณมัลลิกา สุทธิประภา เฮอบัล-สตูดิโอ และคุณผดุงพงศ์ สิทธิธัญญ์ จาก SunSpace
    • การบรรยาย และ Workshop หัวข้อ “การทดสอบการระคายเคืองผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเบื้องต้นด้วยตนเอง” โดย คุณธรรมนูญ รุ่งสังข์, ผศ.ดร. ลภัสรดา มุ่งหมาย
    • การบรรยาย และปฏิบัติการ หัวข้อ “การเลือกสารและส่วนประกอบในการทำผลิตภัณฑ์ในช่องปาก และผลิตภัณฑ์กันแดด” โดย คุณฐิติพงษ์ เอี่ยมวรพันธุ์, คุณบศราวดี อมรโชติพันธุ์, คุณภัสสรณ์ กองเงิน, คุณเบญจพร คำยอง จาก บริษัท Jebsen & Jessen Ingredients
    • การบรรยายหัวข้อ “Farm Zoning Management จัดสรรพื้นที่ใช้สวนอย่างไรให้ลงตัว และ Workshop – Microbial Pesticide สาธิตการผลิตเชื้อจุลินทรีย์ชีวภัณฑ์ ตัวช่วยเกษตรกรในการควบคุมและกำจัดศัตรูพืช” โดย คุณบุญอนันต์ เหล่อโพ ประธาน Young Smart Farmer จ.แม่ฮ่องสอน

  • Sustainable Branding
    • การบรรยายหัวข้อ “คอนเท้นต์ คอนใจ เกษตรกรยุคใหม่สร้างสรรค์อย่างไร ให้ยั่งยืน Smart Content for Sustainable” โดย คุณณัฐนันท์ อินแถลง Marketing Director Blackcat Agency
  • Sustainable Farming
    • การบรรยายหัวข้อ “Design Thinking กับการพัฒนาชุมชนเกษตรเข้าสู่ฟาร์มอัจฉริยะในโรงเรือน” โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มณิษวาส จินตพิทักษ์ จาก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
    • การอบรมเชิงปฏิบัติการ “Data Visualization for Smart Farm” โดย คุณกมลาภรณ์ กุมมาลือ จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
    • การบรรยายหัวข้อ “Metaverse for Agriculture การประยุกต์การทำการเกษตรในโลกเสมือนจริง”

โดยคุณผดุงพงศ์ สิทธิธัญญ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซันสเปซ ฟาร์ม จำกัด

  • การบรรยายหัวข้อ “กว่าจะเป็นเกษตรกรที่เรียกตนเองว่า Young Smart Farmer”

โดย คุณนพนคร งามปฏิรูป ประธานกลุ่ม Young Smart Farmer จ.เชียงใหม่ปี 64

  • การฝึกปฏิบัติการหัวข้อ “loT Voice Control for Smart Farming การควบคุมระบบการเกษตรอัตโนมัติ ด้วยเสียงผ่าน loT” โดยคุณผดุงพงศ์ สิทธิธัญญ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซันสเปซ ฟาร์ม จำกัด
  • Sustainable Marketing
    • การบรรยายหัวข้อ “การสร้างร้านค้าออนไลน์บนช่องทางโซเชียลมีเดีย” (Social Media) โดย คุณทิพวรรณ ประทุมทา จาก บริษัท O2O Commerce
    • การบรรยายหัวข้อ “Gets more Short VDO Commerce เทคนิคการนำเสนอขายสินค้าผ่านคลิปสั้นด้วยตัวเอง” โดย คุณณัฐนันท์ อินแถลง จาก Blackcat Agency
    • การบรรยาย และWorkshop หัวข้อ “Right Content, Right Person สร้างคอนเทนต์ที่ “ใช่” มัดใจลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้อย่างแท้จริง”
  • Sustainable Packaging
    • การบรรยายหัวข้อ “เพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ ด้วย Smart Packaging Design”

โดย คุณ คุณโสภิณ หาญเตชะ Art Director Minterax Studio

  • การบรรยายและ Workshop หัวข้อ “Advanced Packaging Design & Development ออกแบบแพคเกจจิ้งอย่างมืออาชีพ สู่การสร้างแบรนด์อย่างยั่งยืน” โดย คุณโสภิณ หาญเตชะ ตำแหน่ง Art Director บริษัท มินเทอแร็คซ์ สตูดิโอ จำกัด
  • การบรรยาย และWorkshop หัวข้อ “การเลือกสารและส่วนประกอบในการทำผลิตภัณฑ์ในช่องปาก

และผลิตภัณฑ์กันแดด” โดย คุณฐิติพงษ์ เอี่ยมวรพันธุ์, คุณบศราวดี อมรโชติพันธุ์, คุณภัสสรณ์ กองเงิน, คุณเบญจพร คำยอง จาก Jebsen & Jessen Ingredients (T) Ltd และคุณวรินทร์ดา ศรีเจริญ จาก เฮอบัล-สตูดิโอ จำกัด

  • การฝึกปฏิบัติการหัวข้อ “Packaging Design 4.0 for Sustainable Agriculture: ออกแบบแพคเกจจิ้ง อย่างมืออาชีพเพื่อสร้างธุรกิจเกษตรที่ยั่งยืน” โดย คุณโสภิณ หาญเตชะ Art Director บ. มินเทอแร็คซ์ สตูดิโอ จำกัด
  • Halal Forensic Science
    • การบรรยายหัวข้อ “วัตถุดิบที่ต้องสงสัย และการตรวจสอบทางห้องปฏิบัติการนิติวิทยาศาสตร์ฮาลาล” โดย คุณสุลัยญา เปี่ยมชัยวัฒน์ Scienctise, The Halal Science Center Chulalongkorn University
    • การบรรยายและ Workshop “การพิจารณาและคัดเลือกวัตถุดิบ เพื่อการตรวจสอบทางห้องปฏิบัติการนิติวิทยาศาสตร์ฮาลาล” โดย คุณชิตาพร ประทาน Scienctist The Halal Science Center Chulalongkorn University
    • การบรรยาย บรรยายหัวข้อ ระเบียบและข้อบังคับคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยว่าด้วยการดำเนินการตรวจรับรองฮาลาลสถานประกอบการ โดย คุณนิรันดร์บินประทาน สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงใหม่/ร.ต.ต.ทัศน์ ดำรงเมือง สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงราย
    • บรรยายหัวข้อ “ข้อกำหนดแนวทางปฏิบัติการขอใช้เครื่องหมายรับรองฮาลาล และการใช้เครื่องหมายรับรองฮาลาลบนผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์” และWorkshop “ขั้นตอนการเตรียมข้อมูลสำหรับการขอรับรองฮาลาลออนไลน์” โดย คุณวุฒิชัย วีระมาชา สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงใหม่
    • บรรยายหัวข้อ อบรมเชิงปฏิบัติการ “การพัฒนาคุณภาพและความรู้ด้านเทคโนโลยีเกี่ยวกับวัตถุดิบของกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ฮาลาล” โดย อ.สมศักดิ์ ซูโอ๊ะ หัวหน้างานวิชาการ ฝ่ายกิจการฮาลาล สกอท.

ทั้งนี้ในการจัดอบรมนอกจากจะมีการฝึกอบรม ฝึกปฏิบัติการ ยังได้จัดให้มีกิจกรรมกว่า 5 กิจกรรมอีกด้วย อาทิ

  • กิจกรรมที่ 1 : การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ
    • การร่างมาตรฐาน HAL-GAP และพัฒนาแพลตฟอร์ม เพื่อบูรณาการมาตรฐานการผลิตสินค้าฮาลาล (HAL-Q) ร่วมกับมาตรฐาน GAP ในด้านการเกษตร เพื่อเพิ่มโอกาสและคุณค่าของสินค้าเกษตรสู่เกษตรกรไทย
    • การพัฒนาอุปกรณ์ฝึกอบรม Halal Smart Farm Training Unit สำหรับการอบรมเกษตรกรในพื้นที่ต่างๆ
    • การพัฒนาแพลตฟอร์มการเฝ้าระวังและการบริหารจัดการฟาร์มอัจฉริยะ เพื่อให้เกษตรกรไทยสามารถใช้ข้อมูลในการเพาะปลูกอย่างชาญฉลาด
    • การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์สำหรับการบริหารจัดการฟาร์มอัจฉริยะ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตสินค้าเกษตร
  • กิจกรรมที่ 2 : การพัฒนาหน่วยฝึกอบรมและ Train-The-Trainer จำนวน 5 คน ที่ช่วยให้เกษตรกรที่เป็นเครือข่ายสามารถใช้เครื่องมือในการอบรมเกษตรกรรายอื่นๆในท้องถิ่นได้ 500 คน
    • ร่วมมือกับกลุ่ม Young Smart Farmer จำนวน 5 แห่ง ในจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และแม่ฮ่องสอน ที่เป็นแปลงสาธิตต้นแบบ โดยการสนับสนุน Halal Smart Farm Training Unit ซึ่งประกอบไปด้วยระบบหลัก 5 ระบบ ได้แก่
      • ระบบบริหารจัดการพลังงาน
      • ระบบบริหารจัดการน้ำ
      • ระบบการติดตามและเฝ้าระวังโดยใช้เทคโนโลยี IoT (Internet of Things)
      • ระบบบริหารจัดการเครือข่ายภายในฟาร์ม
      • แพลตฟอร์มในการบริหารจัดการข้อมูลในฟาร์มแบบครบวงจร
  •  กิจกรรมที่ 3 : การส่งเสริมและการขยายผลเกษตรกรอัจฉริยะ
    • โครงการนี้ได้พัฒนาหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับเกษตรอัจฉริยะจำนวน 22 หลักสูตรในรูปแบบการเรียนรู้ตลอดชีวิตแบบออนไลน์ ซึ่งเริ่มตั้งแต่องค์ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับด้านการเกษตรอัจฉริยะ การมาตรฐานฮาลาล การใช้เทคโนโลยีเพื่อการเกษตร และการทำธุรกิจเกษตร เป็นต้น
    • ฝึกอบรมเกษตรกรและผู้ประกอบการแปรรูปสินค้าเกษตรกว่า 1,200 ราย

  • กิจกรรมที่ 4 : การเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิตสินค้าเกษตรแปรรูปทั้งด้านอาหารและเครื่องสำอาง โดยเน้นการตอบสนองต่อความต้องการของตลาด (demand-driven) โครงการได้ร่วมมือกับผู้ซื้อทั้งในและต่างประเทศเพื่อศึกษาความต้องการของกลุ่มลูกค้าและเชื่อมโยงกับผู้ผลิตและแปรรูปสินค้าเกษตรที่มีมาตรฐานและคุณภาพ โดยเชื่อมต่อกับเกษตรกรผู้ปลูกโดยตรง ซึ่งได้ยกระดับสินค้าเกษตรไทย โดยแบ่งกลุ่มสินค้าที่พัฒนาเป็น 3 ระดับได้แก่
    • ระดับนวัตกรรม: เน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มไม่น้อยกว่า 200% โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง เช่น
      • สีธรรมชาติ (Plant-based Color) สำหรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องสำอางจากพืช เช่น ไม้ฝาง ใบมะม่วง ดอกอัญชัน ใบเตย แครอท ฟักทอง ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มมูลค่าจากกิโลกรัมละ 100 บาท ไปเป็นสีธรรมชาติ ขั้นต่ำกิโลกรัมละ 1,800 บาท
      • Probiotic Skincare ด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ จาก ลิ้นจี่ สัปปะรด และข้าว ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มมูลค่าได้กว่า 800 %
      • เซรั่มบำรุงผม จากพืช โรสแมรี่, ขิง, และมะกรูด ด้วยเทคโนโลยี Encapsulation ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มมูลค่าจากกิโลกรัมละ 50 บาท ไปเป็นวัตถุดิบ กิโลกรัมละ 2,000 บาท
      • Quranic Energy Bar โดยการรวบรวมพืชและผลไม้ที่ได้กล่าวถึงในพระคัมภีร์อัลกุรอาน ได้แก่ อินทผลัม องุ่น มะกอก มะเดื่อ ทับทิม กล้วย และเทียนดำมาเพิ่มมูลค่าได้ถึง 200%
      • น้ำมันหอมระเหย (Essential Oil) จากสมุนไพรไทย เช่น ขิง ข่า กระเพรา ตะไคร้หอม ด้วยเทคโนโลยีการสกัดน้ำมันด้วยคลื่นไมโครเวฟ ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการสกัดได้มากกว่า 205% และเพิ่มมูลค่าได้ 350% เทียบกับการขายพืชสด
    • ระดับต้นแบบ: เน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มไม่น้อยกว่า 30% โดยใช้เทคโนโลยีการแปรรูปสินค้าเกษตรขั้นต้น ด้วยการปรับเปลี่ยนรูปแบบหรือฟังก์ชันการบริโภค เช่น
      • การพัฒนา Hydrosol Drinking Water หรือเครื่องดื่มจากน้ำที่ได้จากการกลั่นดอกไม้หรือพืช ร่วมกับ ร้านเฮิร์บ เบสิคส์ โดยใช้ผลิตภัณฑ์จาก กุหลาบ มิ้นท์ และข้าวหอมมะลิ เป็นต้น
      • การพัฒนาโลชั่น และ แฮนด์ครีม ร่วมกับ บริษัท สุวิรุฬห์ ชาไทย จำกัด จากชาออแกนิคชนิดต่างๆ เช่น ชาเขียว ชาดำ ชากุหลาบ ชาตะไคร้ ชาอูหลง และ ชามะลิ เป็นต้น
      • การพัฒนา Refill Station ร่วมกับร้าน Good Health เพื่อลดการใช้ packaging โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ จาก ส้ม มะลิ ตะไคร้หอม และ โรสแมรี่
      • การพัฒนา Hemp Protein Bar จากเมล็ดกัญชง (hemp heart) ร่วมกับ แบรนด์ Hmong Hemp Valley ของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวม้ง จากอำเภอกัลยานิวัฒนา
      • เส้นพาสต้าจากผล butternut squash ที่เป็น Gluten Free ร่วมกับผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม Young Smart Farmer เชียงใหม่
    • ระดับสร้างยอดขาย: เน้นการสร้างยอดขายสินค้าเกษตรแปรรูป โดยการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานทั้งในและต่างประเทศ ตั้งแต่ปลายน้ำ (ผู้จำหน่ายสินค้า), กลางน้ำ (ผู้แปรรูป), และต้นน้ำ (ผู้ปลูก) เช่น
      • ผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัว (personal care) สำหรับตลาดสีเขียว (green market) ในประเทศ จาก ผลิตภัณฑ์แปรรูป เช่น Nail Serum ใช้ข้าวหอมมะลิออแกนิค จากอำเภอพร้าว, Shower Gel ใช้ มิ้นท์จากอำเภอเมืองเชียงใหม่, Hemp Oil โดยใช้ กัญชง จากอำเภอกัลยานิวัฒนา โดยคาดว่าจะมียอดขายรวม 1 ล้านบาท
      • ผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวจากดอกไม้ สำหรับตลาดเวียดนาม โดยใช้ ดอกอัญชันอบแห้ง จากจังหวัดลำพูน โดยมียอดสั่งซื้อแล้ว 3 ล้านบาท
      • ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและขนมเพื่อสุขภาพ สำหรับตลาดสิงคโปร์ โดยใช้ ชามะลิออแกนิคจากจังหวัดเชียงราย โดยใช้ กล้วยและมะม่วงอบพลังงานแสงอาทิตย์จากจังหวัดพิษณุโลก โดยมียอดสั่งซื้อแล้ว 5 ล้านบาท
  • กิจกรรมที่ 5 : การพัฒนาช่องทางการตลาดของสินค้าเกษตรมูลค่าสูง โครงการได้เชื่อมโยงแพลตฟอร์มการตลาดในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคชาวมุสลิมและกลุ่มผู้บริโภคชาวจีน ที่ชื่นชมสินค้าสมุนไพรและผลิตภัณฑ์สปาของไทย
    • จัดตั้ง Pop Up Store ที่ One Nimman จังหวัดเชียงใหม่ และการขายสินค้าจากธรรมชาติ ได้แก่ ห้างริมปิง ซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้าน Good Health เพื่อทดสอบตลาดของสินค้านวัตกรรมใหม่ เพื่อสร้างให้เกิดยอดขายจริงในโครงการ รวมถึงการประชาสัมพันธ์โครงการและผลลัพธ์ของโครงการในงานหอการค้าแฟร์ ร่วมกับหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่อีกด้วย
    • ในช่วงโครงการได้สร้างยอดขายมูลค่ากว่า 5 ล้านบาท จากในประเทศ และต่างประเทศ
    • คาดว่า 1 ปีหลังจากเสร็จสิ้นโครงการจะก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ ไม่น้อยกว่า 12 ล้านบาท

ทั้งนี้ทางผู้จัดโครงการ  “การพัฒนาระบบควบคุมฟาร์มอัจฉริยะในโรงเรือน โดยใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่แบบยั่งยืน ในภาคเหนือ” นี้ต้องการยกระดับเกษตรกรไทย และสินค้าเกษตรของไทยให้มีมูลค่าสูงเพิ่มขึ้นมากกว่า 30% และพัฒนาเกษตรกรมากกว่า 1,200 คนตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยจะมีการจัดตั้งหน่วยถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเกษตรฮาลาลอัจฉริยะอีก 5 แห่ง ให้ทั่วประเทศในอนาคต รวมไปถึงการมีต้นแบบผลิตภัณฑ์เกษตรที่มีมูลค่า จำนวน 52 ชิ้น จาก 22 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ที่ ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในระยะ 5 ปี ได้ไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท ในอนาคต

สำหรับเกษตรกร และประชาชนทั่วไป ที่ต้องการข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ “การพัฒนาระบบควบคุมฟาร์มอัจฉริยะในโรงเรือนโดยใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่แบบยั่งยืน ภาคเหนือตอนบน 1” สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

https://sites.google.com/view/halal-smart-farm

https://www.facebook.com/HSC.CU.CM?mibextid=ZbWKwL

https://www.facebook.com/HalalSmartFarm?mibextid=LQQJ4d

#HalalSmartFarm #HSCCM

เครือข่ายงดเหล้า 8 จังหวัดภาคเหนือบน ร้อง!! หน่วยงานภาครัฐใส่ใจ ผลักดันนโยบายอย่างจริงใจ เน้นปกป้อง ลดผลกระทบ หวัง เยาวชนรู้เท่าทันสื่อไม่ตกเป็นเหยื่อโฆษณา

เครือข่ายงดเหล้า 8 จังหวัดภาคเหนือบน ร้อง!! หน่วยงานภาครัฐใส่ใจ ผลักดันนโยบายอย่างจริงใจ เน้นปกป้อง ลดผลกระทบ หวัง เยาวชนรู้เท่าทันสื่อโฆษณา ไม่ตกเป็นเหยื่อ ก่อปัญหาสังคมจากภัยน้ำเมา

วันที่ 25 มิถุนายน 2566 นายชาตรี กิตติธนดิตถ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน เป็นประธานมอบโล่เกียรติคุณรางวัลนักสร้างเสริมสุขภาวะล้านนา ปี 2566 สำหรับภาคีเครือข่ายงดเหล้าภาคเหนือตอนบน 8 จังหวัด(เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง แพร่ และน่าน) จำนวน 16 รางวัล เพื่อยกย่องเชิดชูผู้ที่ร่วมขับเคลื่อนผลักดันให้เกิดนโยบายการป้องกันปัญหาจากและผลกระทบเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระดับจังหวัดตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ทั้งนี้ นายมานพ แย้มอุทัย ผู้ทรงคุณวุฒิ สสส. ได้มอบโล่เกียรติคุณให้กับ นายชาตรี กิตติธนดิตถ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน ซึ่งที่ผ่านมาได้เชิญชวนให้ประชาชนปฏิญาณงดเหล้าเข้าพรรษา ตลอด 10 ปี ยังเป็นอดีตนายอำเภอนักรณรงค์ 2 ปี ซ้อน ในกิจกรรมมีเวทีแลกเปลี่ยนการเสวนาสุขภาวะล้านนาเรื่อง “ผลกระทบและการปรับตัวจากสถานการณ์ปัญหาสุราในเขตภาคเหนือตอนบน” ซึ่งจัดขึ้น ณ ห้างแจ่มฟ้า พลาซ่าลำพูน

นายชาตรี กิตติธนดิตถ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน กล่าวในเวทีครั้งนี้ว่า ขอบคุณเครือข่ายงดเหล้าที่ให้เกียรติมอบโล่เกียรติคุณรางวัลนักสร้างเสริมสุขภาวะ และขอแสดงความยินดีกับ 16 ท่านที่ได้รับโล่รางวัลฯ และขอบคุณ 8 หน่วยงานที่มีจิตใจสาธารณะและให้การสนับสนุนการทำงานขับเคลื่อนงานรณรงค์เกิดเป็นคุณประโยชน์ต่อสังคม ในฐานะของการเป็นเจ้าหน้าที่ปกครองในจังหวัดลำพูน ด้วยมีความตั้งใจและพร้อมให้ความร่วมมือ รณรงค์สร้างให้เกิดความตระหนัก เกิดเป็นความร่วมมือทั้งหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนต่างๆ ออกมาร่วมกันสร้างสรรค์สนับสนุนกิจกรรมต่างๆ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการปกป้องเยาวชน ให้ออกห่างจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้

จากข้อมูลการสำรวจของสำนักงานสถิติปี 2564 เมื่อพิจารณารายจังหวัดพบว่า จังหวัดในภาคเหนือจะเป็นจังหวัดที่มีความชุกของผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากที่สุดในประเทศ หรือเป็นจังหวัดที่มีขี้เหล้าหลวงมากกว่าจังหวัดอื่นๆ เช่น อันดับหนึ่งของประเทศคือจังหวัดน่าน (ร้อยละ 43.3 เป็นผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์) อันดันสองคือจังหวัดแพร่ (ร้อยละ 42.9) อันดับสามคือจังหวัดเชียงราย (ร้อยละ 41.4) นอกจากนี้จังหวัดพะเยาอยู่อันดับที่ 5 คิดเป็นร้อยละ 40

จากข้อมูลของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และศูนย์วิจัยปัญหาสุรา โดยอาจารย์กนิษฐา ไทยกล้า นำเสนอว่าประเด็นที่น่าเป็นห่วงของภาคเหนือคือมีการดื่มสุราเถื่อน เหล้าต้ม เหล้าชุมชนและเหล้าที่ไม่เสียภาษีจำนวนมาก โดยแพร่เป็นลำดับที่ 1 ของประเทศคิดเป็นร้อยละ 43.2 รองลงมาคือน่าน (ร้อยละ 35.5) ลำปาง (ร้อยละ 34.3) เชียงราย (ร้อยละ 28.2) นอกจากนี้ภาคเหนือยังมีสัดส่วนของนักดื่มที่มีพฤติกรรมดื่มแล้วขับคิดเป็นร้อยละ 45.89 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศที่คิดเป็นร้อยละ 31.6 โดยจังหวัดเชียงรายมีสัดส่วนที่สูงที่สุดในประเทศคิดเป็นร้อยละ 67.50

ตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปี 2565 มีมูลค่า 490,680 ล้านบาท ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นจากนโยบายสุราเสรี และการทำการตลาดของบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ง่าย รวมถึงมีรสชาด และผลิตภัณฑ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เลือกมากขึ้น นอกจากนี้จะมีการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทางออนไลน์มากขึ้น โดยเฉพาะ social media ต่างๆ แม้ว่าจะมีนโยบายของเจ้าของ social media ที่ห้ามการจำหน่ายแต่ก็ไม่ได้ผล มากกว่าร้อยละ 70 ของผู้ขายผ่าน social media เป็นผู้ขายรายเดิม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นร้านอาหาร และรายขายส่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19

 

นอกจากนี้มีแนวโน้มว่าจะมี influencer ทั้ง influencer ที่รีวิวเหล้าโดยตรง และ influencer ด้านท่องเที่ยว อาหาร แค้มปิ้ง ฯลฯ ที่มารีวิวเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น Influencer ที่โพสต์เรื่องเหล้าส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์เพื่อ ให้ทราบว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นี้มีตัวตนอยู่ สื่อสารเพื่อสร้างค่านิยมดื่มใหม่ๆ รวมถึงสื่อสารการตลาดเช่น โปรต่างๆ เช่น ซื้อยกลัง หรือ บุฟเฟ่ต์ ต่างๆ ความง่ายในการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผ่าน social media จะทำให้มีนักดื่มหน้าใหม่เพิ่มมากขึ้น

อาจารย์ประเสริฐ ประดิษฐ์ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า ปัจจุบันพบว่าเด็กเยาวชนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีอายุที่น้อยลงอายุเฉลี่ย10 -12 ปี ซึ่งเยาวชนมีการรวมกลุ่มกันตามความชอบ กินดื่มกันอย่างสนุกสนาน จนอาจทำให้ขาดการยั้งคิด ซึ่งเป็นปัญหาหนึ่ง เนื่องจากการบังคับใช้กฎหมายของบ้านเรายังไม่เต็มที่ ไม่ค่อยเด็ดขาดมากนัก จึงทำให้เกิดปัญหาที่ตามมา เช่น ทะเลาะวิวาท หรืออุบัติเหตุ ก่อให้เกิดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินได้ง่าย

นางสาววีรญา ร้องคำ เครือข่ายเด็กและเยาวชนเชียงราย กล่าวว่า เยาวชนเป็นช่วงชีวิตที่อ่อนไหวง่าย ส่วนหนึ่งมาจากการเลี้ยงดูที่ทำให้เยาวชนรู้สึกหว้าเหว่ ซึ่งทำให้เยาวชนเล่น Social Media มากขึ้น ส่งผลต่อการใช้เวลาว่างที่ไม่เกิดประโยชน์ รวมถึงการขาดทักษะชีวิต การหาที่พึงทางใจที่ทำให้เยาวชนถูกหลอกและหลงทางได้ง่าย เด็กๆ มีแนวโน้มถูกหลอก รวมถึงเชื่อและซื้อเครื่งดื่มแอลกอฮอล์ทางonline ได้ง่ายขึ้น ซึ่งควรให้ความรู้แก่เด็กๆ และเฝ้าระวังการหลอกลวงเด็กๆ รวมถึงเข้าใจและทำให้เด็กเติบโตอย่างมีคุณภาพ จึงขอร้องให้หน่วยงานและผู้มีอำนาจ หรือกลุ่มทุนต่างๆใส่ใจ ห่วงใยเยาวชน

สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหาอาจารย์ประเสริฐกล่าวว่า จังหวัดแม่ฮ่องสอนได้นำจุดเด่นด้านวัฒนธรรมมาเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนการทำงานรณรงค์ให้เกิดการลด ละ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์นับว่าได้ผล วิถีทางวัฒนธรรมทางการดื่มก็ต่างกันด้วย เราได้มีความพยายามนำนำจุดดีจุดอ่อนออกมาแก้ไข แยกเป็นแต่ละเผ่าพันธุ์ ชาติพันธุ์ ซึ่งที่ผ่านมาเห็นถึงผลลัพธ์ที่น่าพอใจ ต่อมาเราได้นำการทำงานเรื่องพื้นที่สร้างสรรค์มาช่วยในการทำงานรณณงค์ไม่ว่าจะเป็นด้านดนตรี กีฬา และอื่นๆ ตามความชอบสำหรับเยาวชน ซึ่งจังหวัดต่างๆ ในพื้นที่การทำงานภาคหนือก็นำมาใช้เพื่อส่งเสริม สนับสนุนเพื่อป้องกันนักดื่มหน้าใหม่

อาจารย์นพพร.นิลณรงค์ นักวิชาการอิสระ นำเสนอว่าภาครัฐควรมีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาเช่นการส่งเสริมให้มีการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาจนำมาซึ่งผลกระทบทางสังคมอื่นๆ ซึ่งภาคส่วนต่างๆ ควรร่วมมือกันแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะครอบครัวที่ควรให้ความรู้เรื่องกาละ เทศะ และสถานการณ์ในการดื่มที่เหมาะสมเช่น ควรดื่มเท่าไร และดื่มแล้วไม่ควรขับเป็นต้น

กงสุลใหญ่จีนประจำเชียงใหม่ขอบคุณไมตรีชาวเหนือ ก่อนเข้ารับตำแหน่งที่สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย

กงสุลใหญ่จีนประจำเชียงใหม่ขอบคุณไมตรีชาวเหนือ ก่อนเข้ารับตำแหน่งที่สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย พร้อมส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างประเทศจีนและ ภาคเหนือของไทยอย่างต่อเนื่อง

ต่อจากนั้นมา ได้มีโอกาสเดินทางมาเยือนเชียงใหม่และได้เชยชมความงดงามของ “กุหลาบแห่งภาคเหนือ”นี้บ่อยครั้ง แต่ตอนที่เดินทางมารับตำแหน่งกงสุลใหญ่จีนประจำเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2563 รู้สึกไม่คุ้นเคยกับถนนที่เงียบเหงาและรถราที่บางตา แม้รู้อยู่ในใจว่ามันเป็นเพราะผลกระทบของโควิด จนกระทั่งได้เห็นป้ายคำขวัญของเทศบาลนครเชียงใหม่ที่เขียนว่า “จีนไทยครอบครัวเดียวกัน ผ่านอุปสรรคไปด้วยกัน” “ไทยจีนสองแผ่นดิน หัวใจเดียวกัน” ข้อความสั้นๆ ที่จับใจเหล่านี้ บอกกับตนเองว่า ได้มาพำนักอยู่ที่บ้านญาติแล้ว มีพี่น้องอยู่รอบข้าง

ที่ผ่านมาแม้จะมีการแพร่ระบาดของโควิด แต่กิจการงานของเราไม่ได้หยุดยั้ง เราได้เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ในเขตอาณาอย่างแข็งขัน ร่วมมือกับองค์กรและสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงต่างๆ เพื่อริเริ่มจัดการแข่งขันทักษะทางด้านภาษาและวัฒนธรรมจีน หลากหลายรายการ ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี

ที่สำคัญได้มีโอกาสในการร่วมกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ของ ท้องถิ่นด้วยความกระตือรือร้นและร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ที่ชอบด้วยกฎหมายของพลเมือง ชาวจีน ซึ่งเรายังได้ฉลองครบรอบ 30 ปี ของการจัดตั้งสถานกงสุลใหญ่จีนประจำเชียงใหม่ เพื่อย้อนมองอดีต มุ่งสู่อนาคต ขณะที่ตนเองยังได้รับเกียรติได้เป็นคณบดีของคณะกงสุลประจำ เชียงใหม่อีกด้วย

หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดคลี่คลาย ตนเองและคณะได้ลงพื้นที่เยือนทั้ง 12 จังหวัดในเขตอาณา ถึงแม้ว่าจะเป็นการเดินทางที่เร่งรีบ แต่ล้วนแต่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง ทำให้สัมผัสได้ถึงความประสงค์อย่างแรงกล้าจากภาคส่วนต่างๆ ในการพัฒนาความสัมพันธ์และความร่วมมือกับประเทศจีน ซึ่งทำให้มีแรงจูงใจในการปฏิบัติภารกิจของตนเองให้ดียิ่งขึ้น

ในครั้งนี้ ขอขอบคุณสำหรับมิตรภาพที่อบอุ่นและความช่วยเหลืออันล้ำค่าของทุกท่านในจังหวัดเชียงใหม่และภาคเหนือ ช่วงเวลา 2 ปี 10 เดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่นานพอที่จะจารึกความทรงจำที่สวยงามและสร้างความผูกพันที่เหนียวแน่น แม้ตนเองจะอำลาตำแหน่งไป จะยังคงส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างประเทศจีนและภาคเหนือของไทยต่อไปอย่างไม่ลดละ

ผาเมือง ร่วมภาครัฐ ดำเนินการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านให้กับกลุ่มผู้เปราะบางในพื้นที่ชายแดน อ.แม่สาย

ผาเมือง ร่วมภาครัฐ ดำเนินการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านให้กับกลุ่มผู้เปราะบางในพื้นที่ชายแดน อ.แม่สาย

เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 66 หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก จัดกำลังพลจิตอาสา ร่วมกับ อบต.ศรีเมืองชุม,ผู้นำหมู่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ ดำเนินการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านให้กับกลุ่มผู้เปราะบาง โดยได้ปรับปรุงห้องครัว และประตูทางเข้าหน้าบ้าน ให้กับ นาง จุม ปินทรายมูล อายุ 71 ปี ณ บ้านเลขที่ 113 บ้านทุ่งเกลี้ยง หมู่ 6 ต.ศรีเมืองชุม อ.แม่สาย จ.เชียงราย ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย ตามโครงการปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยสำหรับคนพิการในการช่วยผาเมือง ร่วมภาครัฐ ดำเนินการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านให้กับกลุ่มผู้เปราะบางในพื้นที่ชายแดน อ.แม่สาย

เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 66 หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก จัดกำลังพลจิตอาสา ร่วมกับ อบต.ศรีเมืองชุม,ผู้นำหมู่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ ดำเนินการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านให้กับกลุ่มผู้เปราะบาง โดยได้ปรับปรุงห้องครัว และประตูทางเข้าหน้าบ้าน ให้กับ นาง จุม ปินทรายมูล อายุ 71 ปี ณ บ้านเลขที่ 113 บ้านทุ่งเกลี้ยง หมู่ 6 ต.ศรีเมืองชุม อ.แม่สาย จ.เชียงราย ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย ตามโครงการปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยสำหรับคนพิการในการช่วยเหลือครอบครัวที่ยากไร้ ขาดแคลนที่อยู่อาศัย และที่อยู่อาศัยทรุดโทรม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างสุขอนามัย มีที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม ได้มาตรฐาน เป็นของตนเองต่อไปเหลือครอบครัวที่ยากไร้ ขาดแคลนที่อยู่อาศัย และที่อยู่อาศัยทรุดโทรม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างสุขอนามัย มีที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม ได้มาตรฐาน เป็นของตนเองต่อไป

ยูโอบี ประเทศไทย สนับสนุนศิลปินไทยสู่เวทีศิลปะระดับภูมิภาค ผ่านการประกวดจิตรกรรมยูโอบี ครั้งที่ 14

ยูโอบี ประเทศไทย สนับสนุนศิลปินไทยสู่เวทีศิลปะระดับภูมิภาค ผ่านการประกวดจิตรกรรมยูโอบี ครั้งที่ 14

กรุงเทพฯ 9 พฤษภาคม 2566 – ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เชิญชวนศิลปินมืออาชีพและศิลปินใหม่หรือสมัครเล่น ส่งผลงานเข้าร่วมการประกวดจิตรกรรมยูโอบี ครั้งที่ 14 ประจำปี 2566 เวทีการประกวดงานจิตรกรรมเพียงหนึ่งเดียวในประเทศไทยที่ต่อยอดสู่การประกวดระดับภูมิภาค โดยมุ่งสนับสนุนชุมชนศิลปินและศิลปินรุ่นเยาว์ที่มีความคิดสร้างสรรค์ในประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักในเวทีศิลปะระดับภูมิภาค และปีนี้ยูโอบีได้ขยายการประกวดจิตรกรรมยูโอบี ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเวทีการประกวดจิตรกรรมที่ทรงเกียรติที่สุดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สู่เวียดนามเป็นประเทศที่ห้า

สำหรับงานเปิดตัวในวันนี้ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ได้จัดให้มีการเสวนาแบ่งปันประสบการณ์ เกี่ยวกับความท้าทายและโอกาสของศิลปินไทยในการมุ่งสู่เส้นทางการเป็นศิลปินในเวทีศิลปะระดับสากล พร้อมบอกเล่าปัจจัยสำคัญที่เอื้อประโยชน์แก่ศิลปินในการเติบโตและประสบความสำเร็จในแวดวงศิลปินระดับโลก อันได้แก่ การสร้าง อัตลักษณ์ทางศิลปะ เทคนิค ความหลงใหล และความมุ่งมั่นอันแรงกล้า นอกจากนี้ งานเสวนายังแบ่งปันวิธีที่ศิลปินใหม่หรือสมัครเล่นจะเรียนรู้จากข้อมูลเชิงลึกและประสบการณ์ของศิลปินอาชีพและผู้เชี่ยวชาญในวงการศิลปะ ซึ่งจะช่วยชี้แนะให้ประสบความสำเร็จในวงการศิลปะที่แข่งขันสูง การเสวนาครั้งนี้นำโดยอาจารย์ อำมฤทธิ์ ชูสุวรรณ ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (สื่อผสม) ปี 2563 และรองอธิบดีฝ่ายศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร ประธานคณะกรรมการตัดสิน การประกวดจิตรกรรมยูโอบี ประเทศไทย คุณชมรวี สุขโสม ผู้ชนะการประกวดจิตรกรรมยูโอบีระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำปี 2565 และคุณนริศรา เพียรวิมังสา ศิลปินชื่อก้องผู้สร้างสรรค์ผลงานสีอะคริลิกและผ้า ที่มีประสบการณ์เข้าร่วมโครงการศิลปินในพำนักในประเทศญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และอเมริกา

การออกแบบโลโก้การประกวดจิตรกรรมยูโอบี ครั้งที่ 14

การออกแบบโลโก้การประกวดจิตรกรรมยูโอบี ประจำปี 2566 ได้รับแรงบันดาลใจจากผลงาน ดิสโทเปีย ของคุณชมรวี สุขโสม ศิลปินไทยผู้ชนะการประกวดจิตรกรรมยูโอบีระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำปี 2565 รูปทรงกลมที่กำลังเปลี่ยนแปลงรูปร่างสื่อถึงโลกของเราที่พัฒนาและปรับเปลี่ยนตลอดเวลา ตามวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ที่แตกต่างกันไป ซึ่งสอดคล้องกับคำมั่นสัญญาในระยะยาวของธนาคารที่จะไม่หยุดพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคและอยู่เคียงข้างชุมชน

นางสาวธรรัตน โอฬารหาญกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริหารสื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “ในปีนี้ ยูโอบีมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ขยายการจัดการประกวดจิตรกรรมยูโอบีนี้ไปสู่ประเทศเวียดนาม ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นได้ค้นพบความหลงใหลที่มีต่องานศิลปะ เพราะเราเชื่อว่าศิลปะช่วยยกระดับจิตใจและเชื่อมโยงชุมชนต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยทางธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ประสบความสำเร็จในการเฟ้นหา ฟูมฟัก และสนับสนุนศิลปินผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์และความสามารถในประเทศไทยมาเป็นเวลานานกว่า 1 ทศวรรษ ผ่านการประกวดจิตรกรรมยูโอบีประจำปีและโครงการส่งเสริมศิลปะสู่ชุมชนต่างๆ ดิฉันรู้สึกดีใจที่ได้เห็นศิลปินรุ่นพี่ผู้ชนะการประกวดจิตรกรรมยูโอบีมาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ ความสามารถและเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของแต่ละคน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจแก่เพื่อนศิลปิน และเพื่อให้สอดคล้องกับความมุ่งหมายของธนาคารในการสร้างอนาคตของอาเซียน”

เชิญชวนศิลปินส่งผลงานเข้าร่วมการประกวดจิตรกรรมยูโอบี ครั้งที่ 14 พร้อมเงินรางวัลสำหรับประเภทศิลปินใหม่หรือสมัครเล่นที่เพิ่มขึ้น

ในฐานะผู้อุปถัมภ์ศิลปะชั้นนำในเอเชีย การประกวดจิตรกรรมยูโอบีประสบความสำเร็จในการเฟ้นหาศิลปินอาชีพและศิลปะใหม่หรือสมัครเล่นจากประเทศต่างๆ ทั่วภูมิภาค การประกวดจิตรกรรมยูโอบี ครั้งที่ 14 เปิดรับผลงานศิลปะของผู้มีสัญชาติไทยและผู้มีถิ่นพำนักถาวรในประเทศไทยผ่านระบบดิจิทัล www.uob.co.th/poy ตั้งแต่วันที่ 9 พฤษภาคม ถึง 15 สิงหาคม 2566

พิธีประกาศและมอบรางวัลการประกวดจิตรกรรมยูโอบี ครั้งที่ 14 จะจัดขึ้นในวันที่ 11 ตุลาคม 2566 ผลงานชนะเลิศจากประเทศไทยจะได้รับสิทธิเข้าแข่งขันในระดับภูมิภาคร่วมกับผลงานชนะเลิศจากอินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม เพื่อชิงเงินรางวัลอีก 13,000 เหรียญสิงคโปร์ นอกเหนือจากเงินรางวัลระดับประเทศ นอกจากนี้ ผู้ชนะการประกวดจิตรกรรมยูโอบีระดับประเทศยังมีโอกาสได้รับคัดเลือกเป็นศิลปินในพำนัก ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะเอเชีย ฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น เป็นระยะเวลา 1 เดือนอีกด้วย พิธีประกาศและมอบรางวัลการประกวดจิตรกรรมยูโอบีระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะจัดขึ้นที่โรงละครวิคตอเรีย ประเทศสิงคโปร์ ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2566

นอกจากนี้ เพื่อสนับสนุนศิลปินใหม่หรือสมัครเล่นในภูมิภาคในการไล่ตามความฝันในแวดวงศิลปะ ยูโอบีจึงเพิ่มเงินรางวัลสำหรับประเภทศิลปินใหม่หรือสมัครเล่น โดยผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศประเภทศิลปินใหม่หรือสมัครเล่นจะได้รับเงินรางวัลเพิ่มเป็น 125,000 บาท

ส่งเสริมศิลปะสู่ชุมชนต่างๆ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจแก่ศิลปินรุ่นเยาว์

เพื่อส่งเสริมให้ศิลปินไทยเติบโตและประสบความสำเร็จในแวดวงศิลปะระดับภูมิภาค ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการส่งเสริมศิลปะสู่ชุมชนต่างๆ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ได้เตรียมจัดทำคลิปวิดีโอเพื่อให้ความรู้ โดยมีศิลปินรุ่นพี่ผู้ชนะการประกวดจิตรกรรมยูโอบี อาทิ คุณปานพรรณ ยอดมณี คุณธิดารัตน์ จันทเชื้อ และคุณชมรวี สุขโสม มาร่วมแบ่งปันเทคนิค กระบวนการคิดในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ และทัศนคติที่จำเป็นในการผลักดันผลงานให้เป็นที่รู้จักในเวทีศิลปะระดับสากล ผู้สนใจสามารถชมวิดีโอแบ่งปันความรู้ได้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป ผ่าน www.facebook.com/uob.th และ www.uob.co.th/uobandart

นอกจากนี้ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย จะจัดเดินสายกิจกรรม “โรดโชว์ศิลปะ” ไปตามสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั่วประเทศกว่า 20 แห่ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามอย่างต่อเนื่องในการเฟ้นหาศิลปินไทยรุ่นใหม่จากทั่วประเทศ เพื่อเปิดโอกาสให้ชุมชนศิลปะท้องถิ่นและนิสิตนักศึกษาสาขาวิชาศิลปะได้แลกเปลี่ยนมุมมองด้านศิลปะและรับแรงบันดาลใจจากศิลปินอาชีพและศิลปินรุ่นพี่ผู้ชนะการประกวดจิตรกรรมยูโอบีที่ประสบความสำเร็จในแวดวงศิลปะต่างประเทศ

ผาเมือง ปะทะเดือดกลางป่า!!! จับกุมผู้ต้องสงสัย 2 คน ยึดยาบ้า 5.7 ล้านเม็ด พร้อมฝิ่นดิบ 6.6 กิโลกรัม ชายแดนเชียงดาว

ผาเมือง ปะทะเดือดกลางป่า!!! จับกุมผู้ต้องสงสัย 2 คน ยึดยาบ้า 5.7 ล้านเม็ด พร้อมฝิ่นดิบ 6.6 กิโลกรัม ชายแดนเชียงดาว

ห้วงกลางดึกวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 หน่วยเฉพาะกิจไชยานุภาพ กองกำลังผาเมือง โดยกองร้อยทหารม้าที่ 2 กองบังคับการผาดง จัดกำลังพล 2 ชุดปฏิบัติการ ปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนเฝ้าตรวจ เพื่อป้องกันและสกัดกั้นการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติด บริเวณ ช่องทางสายใหม่ บ้านหนองเขียว ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ได้ตรวจพบกลุ่มบุคคลต้องสงสัยสะพายเป้กระสอบดัดแปลง จำนวน 13 คน จึงแสดงตัวเพื่อขอทำการตรวจค้น แต่กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้ใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดยิงใส่เจ้าหน้าที่ และเกิดการปะทะกันประมาณ 10 นาที ผลการปฏิบัติ ฝ่ายเราปลอดภัย

ต่อมาในห้วงเช้าวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 09.00 นาฬิกา พลตรี ศุภฤกษ์ สถาพรผล ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง พร้อมด้วย ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้เข้าทำการตรวจสอบที่เกิดเหตุ ผลการปฏิบัติ สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ จำนวน 2 คน ตรวจยึดยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) บรรจุภายในเป้กระสอบจำนวน 19 เป้ เป้ละ 300,000 เม็ด รวมจำนวน 5,700,000 เม็ด, ยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (ฝิ่นดิบ) น้ำหนักรวม 6.6 กิโลกรัม, รถยนต์กระบะ 1 คัน, รถจักรยานยนต์ 1 คัน และโทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง หน่วยจึงได้นำของกลางส่ง สถานีตำรวจภูธรนาหวาย เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ชลประทานเชียงใหม่ เพิ่มความสูงพนังท้าย ปตร.ท่าวังตาล เพิ่มอีก 1.50 เมตร ป้องกันน้ำปิงหลากท่วมชุมชน

ชลประทานเชียงใหม่เตรียมเพิ่มความสูงพนังท้าย ปตร.ท่าวังตาล ให้สูงเท่ากับของกรมโยธาฯ วาง 2 แนวทางแก้ปัญหา ป้องกันน้ำปิงหลากท่วมชุมชน อยู่ระหว่างเคาะจะสร้างต่อจากพนักเดิมหรือสร้างใหม่ซ้อนให้ได้ความสูงเพิ่มอีก 1.50 เมตร พร้อมเร่งรัดหางบประมาณก่อสร้าง

นายจรินทร์ คงศรีเจริญ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงใหม่ (ผคป.เชียงใหม่) กล่าวถึงปัญหาพนังด้านท้ายประตูระบายน้ำท่าวังตาล ต.ป่าแดด อ.เมืองเชียงใหม่ ว่า จากเหตุอุทกภัยใหญ่ของเมืองเชียงใหม่ครั้งที่ผ่านมา ซึ่งเกิดจากอิทธิพลของพายุโนรูทำให้น้ำไหลหลากในลำน้ำปิง ปริมาณน้ำที่ผ่านประตูระบายน้ำท่าวังตาลเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2565 มีปริมาณมากถึง 568 ลบ.ม.ต่อวินาที ด้านท้ายประตูระบายน้ำปริมาณน้ำมีระดับที่ 302.8 เมตร/ร.ท.ก. แต่พนังท้ายประตูระบายน้ำมีระดับอยู่ที่ 301.6 เมตร/ร.ท.ก. มวลน้ำด้านท้ายจึงล้นออกจากพนังทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวา

“เนื่องจากฝั่งซ้าย (ลำน้ำปิงฝังตะวันออก) มีชุมชนมีประชาชนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น หมู่ที่ 8 บ้านเกาะกลาง ต.ป่าแดด เป็นต้น ซึ่งแนวทางการแก้ไขปัญหาทางโครงการชลประทานเชียงใหม่ได้ประสานกับทางสำนักงานชลประทานที่ 1 เพื่อจะดำเนินการพิจารณาปรับปรุงพนังด้านท้ายประตูระบายน้ำท่าวังตาลโดยจะเพิ่มความสูงของพนังขึ้นอีก 1.50 เมตร หรือเท่ากับ 303.1 เมตร/ร.ท.ก. ซึ่งจะมีความสูงเท่ากับพนังของกรมโยธาธิการฯ” ผคป.เชียงใหม่ กล่าว

นายจรินทร์ฯ กล่าวอีกว่า สำหรับแนวทางในการดำเนินการแก้ไขจะมี 2 ลักษณะ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยแนวทางที่ 1 คือ การต่อพนังจากพนังที่มีอยู่เดิมขึ้นมาอีกราว 1.50 เมตร ซึ่งต้องพิจารณาตัวฐานราก เสาเข็มต่างๆ จากแบบเดิมที่ดำเนินการก่อสร้างไว้ พิจารณาว่าจะสามารถรับน้ำหนักตัวพนังใหม่ที่มีการก่อสร้างเพิ่มขึ้นมาอีกได้หรือไม่ อีกแนวทางที่ 2 คือก่อสร้างพนังขึ้นมาใหม่ โดยจะก่อสร้างซ้อนพนังเดิมด้านตอก ประมาณแนวรั้วของโครงการ ก่อสร้างให้ความสูงได้ระดับเท่ากับของกรมโยธาธิการฯ คือให้ได้ที่ 303.1 เมตร/ร.ท.ก. ซึ่งจะทำให้เท่ากันทั้ง 2 ฝั่ง

“แนวทางในการก่อสร้างเพื่อแก้ไขปัญหาพนังนี้ คาดว่าจะใช้เวลาในการพิจารณาอีกราว 1-2 เดือนถัดจากนี้ ตอนนี้ก็จะเร่งพิจารณาโครงการให้แล้วเสร็จ จากนั้นก็จะเร่งสำรวจออกแบบแล้วหางบประมาณมาดำเนินการแก้ไขปรับปรุงต่อไป ส่วนการก่อสร้างขณะนี้งบประมาณปี 2567 กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาแล้ว โครงการนี้อาจจะไม่ทันในปี 2567 แต่ในปีงบประมาณ 2568 ทางโครงการชลประทานเชียงใหม่จะได้เร่งรัดให้แล้วเสร็จให้ไวที่สุด” นายจรินทร์ คงศรีเจริญ ผคป.เชียงใหม่ กล่าว

TCEB จับมือภาคีเปิดตัวงาน World Tea & Coffee Expo 2023 ตอกย้ำความเป็นผู้นำอุตสาหกรรมชาและกาแฟของภาคเหนือตอนบน

TCEB จับมือภาคีเปิดตัวงาน World Tea & Coffee Expo 2023 ตอกย้ำความเป็นผู้นำอุตสาหกรรมชาและกาแฟของภาคเหนือตอนบน

เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2566 ณ ร้านอาหารชิดลมคาเฟ่ แอนด์ เรสเตอร์รองท์ เชียงใหม่ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน. ได้จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวงาน World Tea & Coffee Expo 2023 ซึ่งเป็นงานประชุมและแสดงสินค้าในอุตสาหกรรมชาและกาแฟระดับโลก ที่จะจัดขึ้นในจังหวัด เชียงใหม่เร็ว ๆ นี้ โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาคี ร่วมผนึกกำลังให้การจัดงาน ครั้งนี้บรรลุเป้าหมาย ผลักดันสร้างชื่อเสียงให้ภาคเหนือเป็น “ถิ่นของชาและกาแฟระดับโลก”

ทั้งนี้ งานประชุมและแสดงสินค้า World Tea & Coffee Expo 2023 กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-29 มกราคม 2566 ณ ศูนย์การค้า One Nimman ย่านธุรกิจที่สำคัญใจกลางเมืองเชียงใหม่ ซึ่งทาง สสปน. ได้ใช้กลไก การแสดงสินค้าขับเคลื่อนพืชเศรษฐกิจระดับภาค เพื่อสร้างชื่อเสียง (Destination Branding) ต่อยอดความพร้อมของ ภาคเหนือตอนบนในการเป็นผู้นำอุตสาหกรรมชาและกาแฟระดับโลก ซึ่งเป็นโครงการที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2563 โดยในปีนี้ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “A Cup of Success” เพื่อเน้นย้ำถึงความสำเร็จของธุรกิจชาและกาแฟในไทยที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด รวมถึงความสำเร็จที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

ภายในงานแบ่งเป็นสองส่วน ได้แก่ ส่วนของงานแสดงและจำหน่ายสินค้า ในบริเวณพื้นที่ลานกิจกรรม กลางแจ้ง และส่วนของงานประชุมวิชาการนานาชาติในชื่อ The 3rd Tea and Coffee International Symposium ณ ห้องประชุม Nimman Convention Centre โดยในส่วนของงานแสดงสินค้าประกอบด้วยบูธของผู้ประกอบการจำนวน 50 ราย แบ่งเป็นบูธผู้ประกอบการชาและกาแฟภาคเหนือรวมทั้งภาคอื่นๆ จำนวน 45 ราย และต่างประเทศจำนวน 5 ราย โดยทั้งหมดเป็นผู้ประกอบการที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ตามที่ สสปน. กำหนดไว้ ไม่ว่าจะเป็นในด้านความน่าเชื่อถือ คุณภาพ และมาตรฐานของสินค้า การนำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ในกระบวนการผลิต และศักยภาพที่สามารถต่อยอดธุรกิจต่อไป ได้ในอนาคต เป็นต้น

โดยอีกหนึ่งกิจกรรมที่จะเป็นโอกาสทางการค้าที่สำคัญของผู้ประกอบการคือ การเจรจาธุรกิจ (Business Matching) ซึ่งในครั้งนี้มีการเชิญคู่ค้า หรือ buyer จากทั่วประเทศ 20 ราย และจากต่างประเทศจำนวน 5 ราย โดยการเจรจาจะมีทั้งรูปแบบออฟไลน์ภายในงาน และการเจรจาผ่านทางออนไลน์ ทั้งนี้ ตัวเลขคาดการณ์มูลค่าซื้อขายจากการเจรจาธุรกิจอยู่ที่ 8 ล้านบาท และส่วนของการซื้อขายภายในงานอยู่ที่ 2 ล้านบาท ในส่วนของผู้เข้าชมนั้น เดิมตั้งเป้าไว้ที่ 1,000 คน แต่ด้วยสถานที่จัดงานที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง จึงมั่นใจว่าจะมีผู้เข้าชมมากกว่าที่ตั้งเป้าไว้อย่างแน่นอน

ในส่วนของงานประชุมวิชาการนานาชาติ Tea & Coffee International Symposium จะเป็นการประชุม Hybrid แบบเต็มวันในวันที่ 26 มกราคม 2565 ณ ห้องประชุม Niman Convention ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกัน โดยได้เชิญนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญจากในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งกงสุลต่างประเทศมาแลกเปลี่ยน และให้ความรู้ในห้วข้อต่าง ๆ ได้แก่ A cup Of success : ความสำเร็จของ ธุรกิจชาและกาแฟในไทย บทบาทความสำคัญ ของหน่วยงานต่าง ๆ ในการมีส่วนร่วมและผลักดันอุตสาหกรรมชาและกาแฟ, Light Cup : ทิศทางตลาด ชา และกาแฟไทยกับแนวโน้มตลาดโลก, Meduim Cup : ตลาด ชาและกาแฟในไทย โอกาสและอุปสรรคในการเติบโต, Dark Cup : เจาะลึก การส่งออก และการเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ และ Special Cup : Tea and Coffee Tourism ชากาแฟกับ โอกาสในการต่อยอดอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

นอกเหนือจากนี้ ยังมีกิจกรรมพิเศษ A Cup of Country ซึ่งเป็นการนำเสนอ สาธิตการชงเครื่องดื่มชา กาแฟจากประเทศต่าง ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนและแสดงถึงทั้งคุณค่าและความยิ่งใหญ่ของเครื่องดื่มชา กาแฟที่แทรกซึม อยู่ในวิถีชีวิตของผู้คน ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมทั่วโลกมายาวนานจนถึงปัจจุบัน

ทั้งนี้ ไฮไลต์ในช่วงท้ายของงานแถลงข่าว ประธานในพิธิและหน่วยงานภาคีที่ร่วมแถลงข่าว ได้มีการสาธิตการชงกาแฟแบบไซฟ่อนโดยใช้เมล็ดกาแฟในท้องถิ่นแจกจ่ายแก่ผู้ที่เข้าร่วมและสื่อมวลชน เป็นการปิดท้าย ผู้สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดกิจกรรมต่าง ๆ เพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/worldteaandcoffeeexpo