เชียงราย รวบคนร้ายขโมยรถจักรยานยนต์กลางเมืองเชียงราย

เชียงราย รวบคนร้ายขโมยรถจักรยานยนต์กลางเมืองเชียงราย

เวลา 01.00 น. วันที่ 14 มีนาคม 2568 พ.ต.อ.โสภณ ม่วงเฟื่อง ผกก.สภ.เมืองเชียงราย , พ.ต.ท.เดชาวัต นาทิเลส รอง ผกก.สส.สภ.เมืองเชียงราย, พ.ต.ต.สมชาย พรหมมินทร์ สว.สส.สภ.เมืองเชียงราย เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวน สภ.เมืองเชียงราย นำโดย ร.ต.ต.สมพงษ์ ตาคำนิล รอง สว.(ป.) สภ.เมืองเชียงราย , ร.ต.ท.ประถม เทพอินถา พร้อมพวก ได้ร่วมกันจับกุมตัว นายศุกบุญ อายุ 45 ปี ชาว ต.เชียงเคี่ยน อ.เทิง จ.เชียงราย น.ส.เรณู อายุ 40 ปี ชาว ต.มะต้อง อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก พร้อมด้วยของกลาง รถจักรยานยนต์ยี่ห้อ ฮอนด้า เวฟ 110 สีแดง ขาว หมายเลขทะเบียน คบม 331 เชียงราย ซึ่งผู้ต้องหานำไปจอดไว้บริเวณหน้าร้าน Mr.DIY สาขาหลังโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ จับกุมในข้อกล่าวหาว่า“ร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร”

โดยการจับกุมครั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งว่าผู้ต้องหาทั้งสองคนก่อเหตุขโมยรถจักรยานยนต์ บริเวณหน้าศาสนจักร พระเยซูคริสต์ ต.รอบเวียง อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย ทางเจ้าหน้าที่ได้ติดตาม หาคนร้ายจนกระทั่งสามารถจับกุมคนร้ายได้ที่ ริมถนนสาธารณะบริเวณหน้าขนส่งจังหวัดเชียงรายแห่งที่ 1 ต.เวียง อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย จากนั้นจึงได้นำส่ง พงส.สภ.เมืองเชียงราย ดำเนินคดีการตามกฎหมายต่อไป

Cr. ณัฐวัตร ลาพิงค์

กองกำลังผาเมือง ตรวจยึดยาบ้า 1,760,000 เม็ด ในพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย

กองกำลังผาเมือง ตรวจยึดยาบ้า 1,760,000 เม็ด ในพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย

ตามนโยบายในการเปิดปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด SEAL STOP SAFE ผนึกกำลัง 51 อำเภอชายแดน ซึ่งมีเขตพื้นที่รับผิดชอบของ กองกำลังผาเมือง จำนวน 4 จังหวัด 14 อำเภอชายแดน ที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในห้วงระยะเวลาปฏิบัติการ 6 เดือน (ก.พ. – ก.ค. 68) โดยมีเป้าหมายเพื่อ “SEAL (ปิดผนึก)” ชายแดนไม่ให้ยาเสพติดเข้ามา “STOP(หยุดยั้ง)” การแพร่ระบาด และ “SAFE (รักษา)” ผู้ติดยาเสพติดให้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ

เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568 เวลา 04.00 นาฬิกา กองร้อยทหารม้าที่ 2 หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่าจะมีกลุ่มขบวนการลักลอบลำเลียงยาเสพติดมาในพื้นที่ หน่วยจึงได้จัดกำลัง จำนวน 2 ชุดปฏิบัติการ ทำการลาดตระเวนและเฝ้าตรวจ เพื่อป้องกันและสกัดกั้นการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติด บริเวณบ้านผาหมี ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ขณะปฏิบัติหน้าที่ได้ตรวจพบวัตถุต้องสงสัยเป็นกระสอบดัดแปลง ภายในบรรจุยาเสพติดไม่ทราบชนิด และจำนวน อยู่บริเวณดังกล่าว จึงได้จัดกำลังเพิ่มเติม จำนวน 1 ชุดปฏิบัติการ วางกำลังเข้าควบคุมพื้นที่เกิดเหตุไว้ ต่อมาเมื่อเวลา 06.30 นาฬิกา หน่วยได้ทำการเข้าตรวจสอบของกลางในพื้นที่เกิดเหตุ ตรวจพบยาบ้า จำนวน 8 กระสอบ ภายในบรรจุยาเสพติดให้โทษ ประเภท 1 (ยาบ้า) กระสอบละ 240,000 เม็ด จำนวน 3 กระสอบ, กระสอบละ 210,000 เม็ด จำนวน 4 กระสอบ และกระสอบละ 200,000 เม็ด จำนวน 1 กระสอบ รวมประมาณทั้งสิ้น 1,760,000 เม็ด ไม่พบผู้กระทำความผิด

ต่อมาในวันที่ 12 มี.ค. 2568 เวลา 09.30 น. พล.ต. กิดากร จันทรา ผบ.กกล.ผาเมือง มอบหมายให้ พ.อ. อนุวัช ปัญญานันท์ ผบ.ฉก.ทัพเจ้าตาก เดินทางไปตรวจสอบของกลางยาเสพติด ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งชี้แจงให้ข้อมูลกับสื่อมวลชน บริเวณ พื้นที่เกิดเหตุ ปัจจุบันหน่วยได้นำของกลางส่ง สภ.แม่สาย เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

สรุปผลการสกัดกั้นยาเสพติด กกล.ผาเมือง ในห้วงตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2567 ถึงปัจจุบัน หน่วยสามารถสกัดกั้นยาเสพติดได้ 185 ครั้ง จับกุมผู้ต้องหาได้ 200 คน ตรวจยึดยาบ้าได้ 70,789,777 เม็ด, เฮโรอีน 145 กิโลกรัม, ไอซ์ 6,818 กิโลกรัม, ฝิ่น 1.2 กก. และ คีตามีน 235 กิโลกรัม จากการปะทะกับเจ้าหน้าที่ จำนวน 27 ครั้ง กลุ่มขบวนการฯ เสียชีวิต 8 ศพ ซึ่งหากยาเสพติดที่ตรวจยึดได้ดังกล่าว ถูกลำเลียงเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพมหานคร จะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจจากมูลค่าของยาเสพติดที่จำหน่ายถึง 17,816 ล้านบาท (17,816,965,450 บาท)

“พล.ต.ต.ทรงกริช” ตรวจเข้มปล่อยแถวลุยตรวจสอบ ชี้แจงประเด็นโลกโซเชียล นำเสนอข่าว หวั่นนทท.เข้าใจผิด ปายยังเป็นเมืองที่ นทท.เที่ยวปลอดภัย

ผู้การแม่ฮ่องสอน ลงพื้นที่ อ.ปาย ตรวจเข้มทั้งศาสนสถานโบสถ์ยิว ยืนยันเป็นของเอกชนซื้อที่ดินถูกต้องตามกฏหมาย และเป็นสถานที่สวดมนต์ ประกอบศาสนกิจ ปูพรมตรวจถนนคนเดิน พบผู้กระทำผิด สูบกัญชาในที่สาธารณะ ได้ 10 ราย ปรับตามกฎหมาย

เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 22 ก.พ.68 พล.ต.ต.ทรงกริช ออนตะไคร้ ผบก.ภ.จว.แม่ฮ่องสอน พร้อม พ.ต.อ.สำเร็จ สามสีทอง ผกก.สภ.ปาย และเจ้าหน้าที่ปกครอง และหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ได้ออกตรวจพื้นที่ท่องเที่ยวในอำเภอปาย อาทิถนนคนเดิน ร้านเช่ารถ เกสเฮ้าส์ ศาสนสถาน โดยมีการออกประชาสัมพันธ์ห้ามนักท่องเที่ยวก่อความเดือดร้อนรำคาญ สูบบุหรี่ สูบกัญชาในที่สาธารณะ ซึ่งหากมีการพบผู้กระทำผิดก็มีการจับปรับ รวมถึงการตรวจผู้ประกอบการทุกประเภท ตามที่เดินสำรวจในพื้นที่ถนนคนเดินปาย ก็พบว่าเจ้าของเป็นคนไทยทั้งหมด ไม่มีชาวต่างชาติเป็นเจ้าของกิจการใดๆ ตามประเด็นที่มีข่าวออกไป มีนอมินีชาวต่างชาติ เต็มไปหมด

พล.ต.ต.ทรงกริช ออนตะไคร้ ผบก.ภ.จว.แม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า ปัญหาโดยสรุปของอำเภอปาย ในห้วงที่ผ่านมามีทั้งเรื่องตั้งสถานโบสถ์ยิวในพื้นที่ และการตั้งถิ่นฐานระยะยาวของนักท่องเที่ยวอิสราเอลในอำเภอปาย ปัญหาด้านจราจร การใช้รถใช้ถนนของนักท่องเที่ยว ปัญหานักท่องเที่ยวเข้าเมืองผิดกฏหมาย นักท่องเที่ยวก่อความวุ่นวายในพื้นที่ ปัญหานักท่องเที่ยวชอบสูบกัญชาในที่สาธารณะ หลังจากได้มีสื่อโชเชียลกระจายข่าวเรื่องเหล่านี้ โดยมีเพิ่มเติมว่านักท่องเที่ยวอิสราเอลจะยึดอ.ปาย เป็นฐานที่มั่น ยึดงานคนในพื้นที่ทั้งหมด จนเรื่องเหล่านี้ทางรัฐบาลก็ให้ความสนใจ

ในเรื่องที่เกิดขึ้นทางตำรวจ ปกครอง ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจตม.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก็ลงพื้นที่ ตรวจสอบแบบปูพรมทุกหมู่บ้าน ทุกโรงแรม ทุกรีสอร์ท และมีการเข้มกวาดล้างจับกุมสิ่งของผิดกฏหมายทุกชนิดในพื้นที่ รวมถึงกลุ่มคนผิดกฏหมาย

โดยผลสรุปการทำงานของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายมีการตรวจก็พบว่าทุกกิจการในถนนคนเดินพบว่า เป็นคนของคนไทย ส่วนเรื่องคลิปข่าวเรื่องชาวยิว นั้นตรวจสอบพบว่ามีคนยิว ในห้วงปีนี่เข้ามาที่ อ.ปาย แจ้งเข้ามารวม 4,573 คน

ที่พักทั้งหมด อ.ปาย สามารถจุคนต่อวันรวมทั้งหมดได้ เพียง 3,257 ห้อง ดังนั้นกรณีที่สื่อโวเซียล นำเสนอข้อมูลว่า มีนักท่องเที่ยวชาวยิว มากกว่า 30,000 คน จึงไม่เป็นข้อมูลความจริง

ในห้วงปีที่ผ่านมาเรามีการจับกุมด้านพรบ.จราจร เฉพาะชาวต่างชาติ 1,634 ราย และมีการเร่งประชาสัมพันธ์ให้คนต่างชาติเคารพกฏจราจร ซึ่งปัญหาชาวต่างชาติหลบหนีเข้าเมืองผิดกฏหมาย เรามีการจับกุมในรอบปี กว่า 27 ราย เป็นชาวยิว 13 ราย ซึ่ง อ.ปาย ไม่มีปัญหาใดๆ ตามที่มีสื่อโชลเชียล ลงเกินเลยไป ทางตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการดำเนินการป้องกันและช่วยเหลือให้ อ.ปาย เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อและเป็นที่ที่นักท่องเที่ยวอยากมาเที่ยวมากที่สุดต่อไป

ซึ่งในวันนี้ได้ปูพรมในพื้นที่ ออกตรวจตราพร้อมประชาสัมพันธ์ ร้านที่จำหน่ายกัญชาที่ได้รับใบอนุญาตจำหน่ายกัญชาในพื้นที่จำนวน 84 ร้านในพื้นที่บริเวณโดยรอบถนนคนเดิน อ.ปาย ที่ทางด้านสาธารณสุขเป็นเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาตและเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจตามกฎหมาย พรบ.การสาธารณสุขและพรบ.คุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย โดยได้มีการประกาศและประชาสัมพันธ์ไม่สูบกัญชา ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่ถนนคนเดินไปเพื่อภาพลักษณ์ที่ดีของการท่องเที่ยว ตัวในวันนี้ทางชุดเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปาย พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ออกตรวจสอบพร้อมกวดขันและประชาสัมพันธ์ร้านจำหน่ายกัญชาร่วมกับสาธารณสุข เทศบาลเมืองปาย พร้อมประชาสัมพันธ์ป้ายร้านและมีการบังคับใช้กฎหมายกับผู้สูบกัญชาตาม พรบ.สาธารณสุขในเรื่องของเหตุก่อความเดือดร้อนและรำคาญและ พรบ. ความสะอาด โดยในวันนี้ดำเนินการจับกุมผู้สูบกัญชาในพื้นที่สาธารณะทำให้เกิดความเดือดร้อนต่อประชาชนพร้อมเปรียบเทียบปรับดำเนินคดีตามกฎหมายจำนวน 10 ราย และได้ดำเนินการตามขั้นตอน และได้ทำและได้ทำการบันทึกว่ากาวตักเตือนทางร้านที่จำหน่ายกัญชาและมีนักท่องเที่ยวดูดกัญชาในบริเวณร้าน 1 ราย พร้อมจะได้ดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่าการท่องเที่ยวในถนนคนเดิน อ.ปาย ในค่ำคืนนี้ ยังพบว่า มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ หลายเขื้อชาติ ยังคงต้องการที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวยัง อ.ปาย เป็นจำนวนมาก และ “ปาย” ยังคงเป็นเมืองที่มีมนต์เสน่ห์ และเป็นเป้าหมายหลัก ที่นักท่องเที่ยวต้องมาสัมผัสแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามก่อนเดินทางกลับประเทศของตัวเอง

กองทุนดีอี BDE สนับสนุน มช. พัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการด้าน Digital Economy ภาคเหนือ

กองทุนดีอี BDE สนับสนุน มช. พัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการด้าน Digital Economy ภาคเหนือ พร้อมผลักดันโครงการเครือข่ายเทคโนโลยีดิจิทัลเตือนภัยปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กอัจฉริยะ ป้องกันระวังภัย PM2.5

วันนี้ (21 กุมภาพันธ์ 2568) นายสมบูรณ์ เมฆไพบูลย์วัฒนา ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการบริหารเทคโนโลยีดิจิทัลและการสื่อสาร สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (BDE) พร้อมด้วยผู้บริหารและบุคลากร BDE/DEF ลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์โครงการการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการด้าน Digital Economy ภาคเหนือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กองทุนดีอี) ประจำปีงบประมาณ 2563 โดยได้รับเกียรติจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วรวิชญ์ จันทร์ฉาย คณบดีวิทยาลัยศิลปะ สื่อ และเทคโนโลยี คณะอาจารย์ เจ้าหน้าที่โครงการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ร่วมให้การต้อนรับ

นายสมบูรณ์ เมฆไพบูลย์วัฒนา สำนักงานคณะกรรมการ ดีอี กล่าวว่า การลงพื้นที่มาเยี่ยมชม โครงการการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการด้าน Digital Economy ภาคเหนือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในกิจกรรมลงพื้นที่เพื่อประชาสัมพันธ์ โครงการที่ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม อีกทั้ง จะได้รับทราบผลสำเร็จและการพัฒนาโครงการการต่อยอดในการเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการดิจิทัล และผู้ประกอบการอุตสาหกรรม รวมทั้ง การขับเคลื่อนของโครงการในเรื่องของการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับสินค้าและบริการของทางภาคเหนือ

ทั้งนี้ การพัฒนาดังกล่าวเป็นการพัฒนาที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะ ตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ และเป็นการส่งเสริมการพัฒนาดิจิทัล ซึ่งมีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมในระดับท้องถิ่น ตามเป้าหมายของนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

 

“ผมขอชื่นชมในความสำเร็จของ โครงการการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการด้าน Digital Economy ภาคเหนือ ประจำปีงบประมาณ 2563 ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ได้แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลในภาคเหนือของไทย ที่ไม่เพียงแต่มีผลต่อการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการและผลิตภัณฑ์ แต่ยังมีบทบาทในการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับภาคเหนือ การเปลี่ยนแปลงนี้เองจะช่วยให้ภาคเหนือก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างประสบความสำเร็จและยั่งยืน รวมถึงเป็นพลังสำคัญส่วนหนึ่งในการส่งเสริมศักยภาพให้กับประเทศไทยในระดับสากลอีกด้วย”

สำหรับโครงการดังกล่าว ได้เชิญชวนกลุ่มผู้ประกอบการด้าน Digital Economy ผู้ประกอบการ SMEs และ OTOP ภาคเหนือ รวมถึงผู้ประกอบการใหม่ Start Up 17 จังหวัดภาคเหนือ จำนวน 5,000 คน เข้าร่วมโครงการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการด้าน Digital Economy ภาคเหนือ เพื่ออบรมสัมมนา 3 หลักสูตร ประกอบด้วย หลักสูตร Digital Economy หลักสูตร Digital Commerce หลักสูตร Digital Transformation และหลักสูตร Digital Consumption

จากนั้นได้มีการคัดเลือกผู้ประกอบการ ที่มีศักยภาพเข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการบ่มเพาะหลักสูตร จำนวน 100 สถานประกอบการ เพื่อจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการ กลุ่มนักศึกษา และ Digital Service Provider เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต และการตลาดด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ และดิจิทัลคอนเทนต์ผ่านกระบวนการอบรมและให้คำปรึกษาแนะนำในการใช้สื่อออนไลน์ 100 สถานประกอบการ ซึ่งโครงการนี้สามารถผลักดันต่อยอดธุรกิจด้านดิจิทัลให้กับผู้ประกอบการในภาคเหนือได้เป็นจำนวนมากตรงตามวัตถุประสงค์ของกองทุนดีอี ที่มีเป้าหมายในการขับเคลื่อนสังคมไทยสู่สังคมดิจิทัล พร้อมผลักดันให้เกิดการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างแท้จริง

การบริหารจัดการและป้องกันปัญหาหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็กในพื้นที่ชุมชนภาคเหนือตอนบน ด้วยเครือข่ายเทคโนโลยีดิจิทัลเตือนภัยปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กอัจฉริยะ ทางกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เล็งเห็นถึงผลกระทบด้านสุขภาพจากปัญหาหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็กเกินค่ามาตรฐานต่อผู้คนในชุมชน จึงมอบหมายให้คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ดำเนินโครงการ การบริหารจัดการปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กในชุมชนภาคเหนือตอนบนด้วยเครือข่ายเทคโนโลยีดิจิทัลเตือนภัย ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กอัจฉริยะ เพื่อจัดการปัญหาหมอกควันโดยการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลในการช่วยเตือนภัยและป้องกันประชาชนในชุมชนจากภัยที่มาจากฝุ่นละอองขนาดเล็กเกินค่ามาตรฐาน ซึ่งทำให้ประชาชนเกิดการตื่นตัวและป้องกันตนเองจากโรคภัยที่เกิดจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก ส่งผลให้เกิดโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ซึ่งโครงการนี้จะกระตุ้นเตือนให้ประชาชนได้ตระหนักและป้องกันภัย ลดอัตราการเจ็บป่วย และเป็นการสนับสนุนการดำเนินการตามมาตรการป้องกันไฟป่าของหน่วยงานในพื้นที่ สนับสนุนโรงพยาบาลและหน่วยงานด้านสาธารณสุขในพื้นที่ในการรับมือกับผลกระทบด้านสุขภาพจากปัญหาหมอกควัน ส่งเสริมการเป็นอัจฉริยะในด้านสุขภาพของประชาชนในชุมชน ซึ่งเป็นมิติใหม่ที่ประชาชนจะเข้าถึงข้อมูลเตือนภัยได้ง่ายและทันท่วงทีด้วยตนเองผ่านสมาร์ทโฟน หรือผ่านหัวหน้าเครือข่ายในหมู่บ้านนั้นๆ

เบื้องต้นทางโครงการได้เลือกหมู่บ้านต้นแบบในพื้นที่อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน ทำการติดตั้งอุปกรณ์เตือนภัยต้นแบบไว้ ทั้งหมด 5 ตำบล ได้แก่ ตำบลบ้านโฮ่ง, ตำบลป่าพลู, ตำบลเหล่ายาว, ตำบลศรีเตี้ย และตำบลปลาสะวาย มีหมู่บ้านทั้งหมดจำนวน 62 หมู่บ้าน จำนวน 80 จุด และติดตั้งในสถานที่ราชการ จำนวน 18 แห่ง ซึ่งจุดเด่นของอุปกรณ์นี้เป็นอุปกรณ์ตรวจวัดฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5 และ PM10) แบบออนไลน์ชนิดไร้สาย วัดค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) และความชื้นสัมพัทธ์อากาศ, ค่าแก๊สที่เกิดจากการเผาไหม้ บอกตำแหน่งที่ตั้งชุดวัดฝุ่น เก็บข้อมูลการตรวจวัดอากาศตลอดเวลาที่เปิดเครื่องผ่านระบบเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์ มีการแจ้งเตือนผ่านกลุ่ม Line Notify เมื่อประชาชนได้รับการเตือนภัยด้วยเครื่องเครือข่ายเทคโนโลยีดิจิทัลเตือนภัย ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กอัจฉริยะ ว่ามีค่าเกินมาตรฐาน ก็จะทำการป้องกันตนเองและแจ้งเตือนบุคคลในครอบครัวในการดูแลสุขภาพ หากเกิดภาวะที่มีฝุ่นละอองขนาดเล็กเกินค่ามาตรฐานติดต่อกัน ก็ยังมีการสร้างระบบห้องควบคุมปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กแบบอัตโนมัติในชุมชน โดยพิจารณาเลือกสถานที่ที่กลุ่มผู้สูงอายุ เด็กเล็กและผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ สามารถเข้าไปใช้บริการได้อย่างสะดวกและทันท่วงที ได้แก่ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ต.เหล่ายาว, ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ต.ป่าพลู, ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ต.หนองปลาสะวาย, โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านห้วยหละ, สำนักงานสาธารณสุขอำเภอบ้านโฮ่ง และห้องประชุมที่ว่าการอำเภอบ้านโฮ่ง ด้วย

กองทุนดีอี BDE ลงพื้นที่เชียงใหม่ จัดกิจกรรม CSR ป่าปลอดภัย เมืองปลอดฝุ่น หนุนชุมชนป้องกันภัยตามธรรมชาติ ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

กองทุนดีอี BDE ลงพื้นที่เชียงใหม่ จัดกิจกรรม CSR ป่าปลอดภัย เมืองปลอดฝุ่น หนุนชุมชนป้องกันภัยตามธรรมชาติ ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2568) นายสมบูรณ์ เมฆไพบูลย์วัฒนา ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการบริหารเทคโนโลยีดิจิทัลและการสื่อสาร สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (BDE) เป็นประธานเปิดกิจกรรมสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร (Corporate Social Responsibility : CSR) ภายใต้ชื่อกิจกรรม “DEF Forest Fire Break ป่าปลอดภัย เมืองปลอดฝุ่น” จัดโดยกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กองทุนดีอี : DEF) ณ ป่าชุมชนบ้านถ้ำเชียงดาว ต.เชียงดาว อ.เชียงดาว จ. เชียงใหม่ พร้อมด้วยผู้บริหารและบุคลากร BDE/DEF เข้าร่วมกิจกรรม โดยมี นายรังสิต พูลศรี หัวหน้าหน่วยป้องกันและพัฒนาป่าไม้เชียงดาว นายนิคม พุทธา ประธานกลุ่มอนุรักษ์แม่น้ำปิง ร.อ.วัชรา ธวัชไชย นายทหารฝ่ายกิจการพลเรือน ฉก.ไชยานุภาพ นายคำรณ อินต๊ะ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 เจ้าหน้าที่ทหาร เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ ร่วมในพิธีเปิด

ภายในกิจกรรมได้ร่วมกันทำแนวกันไฟ ระนะทาง 2 กิโลเมตร ในเขตพื้นที่ป่าชุมชน จากนั้นได้มอบเงินสนับสนุน พร้อมเครื่องเป๋าลม อุปกรณ์ดับไฟป่า อาหารแห้ง ยารักษาโรคให้กับชุมชน เพื่อใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าในพื้นที่และร่วมกันปลูกต้นไม้ สร้างความร่มรื่นให้กับผืนป่า

นายสมบูรณ์ เมฆไพบูลย์วัฒนา ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการบริหารเทคโนโลยีดิจิทัลและการสื่อสาร สำนักงานคณะกรรมการ ดีอี กล่าวว่า กองทุนดีอี เป็นหน่วยงานภายใต้สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ BDE ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการจัดสรรเงินทุน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทุนสนับสนุนให้เกิดการวิจัยและพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม อันเป็นประโยชน์ต่อการให้บริการสาธารณะและไม่เป็นการแสวงหากำไร พร้อมกันนี้ในส่วนของบทบาทของการสร้างประโยชน์ต่อสังคม ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่กองทุนฯ ให้ความสำคัญเช่นเดียวกัน

สำหรับการดำเนินกิจกรรมในครั้งนี้ เป็นการจัดกิจกรรมครั้งที่ 2 ซึ่งครั้งแรกจัดที่ จ.อุบลราชธานี โดยจัดขึ้นเพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นของกองทุนฯ ในการทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่มีความรับผิดชอบ และเพื่อสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนในสังคม การจัดกิจกรรมในวันนี้จึงถือเป็นหนึ่งในความตั้งใจของ กองทุนฯ ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกให้กับชุมชน พร้อมกับการตระหนักถึงการป้องกันภัย อันตรายที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ควบคู่ไปกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน ทั้งนี้ ในส่วนของกิจกรรมประกอบด้วย จิตอาสาร่วมกันทำแนวกันไฟ ระยะทางยาวกว่า 2 กิโลเมตร การปลูกต้นไม้เพิ่มเติมให้กับผืนป่า และกองทุนดีอี ยังได้สนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการทำแนวกันไฟ อุปกรณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน รวมถึงทุนสนับสนุนในการดำเนินงานของชุมชน ให้แก่ทางชุมชนบ้านถ้ำเชียงดาว ซึ่งคาดหวังว่าจะสร้างผลกระทบเชิงบวกทั้งในระยะสั้นและระยะยาวต่อไป

นอกจากนี้ยังเป็นการประชาสัมพันธ์ถึงนโยบายและพันธกิจของสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (BDE) ที่จะส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชน ได้นำเทคโนโลยีดิจิตอลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนและส่วนรวม ซึ่งทุกปีจะมีงบประมาณสนับสนุนงานวิจัยและการพัฒนาด้านเทคโนโลยีกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถนำเสนอโครงการเพื่อเข้าสู่การพิจารณาสนับสนุนได้

“ผมขอขอบคุณผู้มีส่วนร่วมทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคีเครือข่าย ชาวชุมชนบ้านถ้ำเชียงดาว และชาวอำเภอเชียงดาว รวมถึงเจ้าหน้าที่ของกองทุนฯ และอาสาสมัครทุก ท่านที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนจนกิจกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นได้และหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากิจกรรมในวันนี้จะ สร้างประโยชน์และแรงบันดาลใจให้แก่ทุกท่าน และช่วยสานต่อเป้าหมายของกองทุนฯ ในการขับเคลื่อน ประเทศไปสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ มีความยั่งยืน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นไปพร้อมกับการดูแลรักษา สิ่งแวดล้อมของประเทศเราไปด้วย”

นายคำรณ อินต๊ะ อายุ 57 ปี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 กล่าวว่า ราษฎรในหมู่บ้านแห่งนี้ มีจำนวน 775 คน 365 ครัวเรือน ป่าชุมชนบ้านถ้ำ พื้นที่ 1,265 ไร่ พื้นที่แนวกันไฟ 4 กม. ในวันนี้ทำก่อน 2 กม. สภาพป่าเป็นป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ชาวบ้านรวมกลุ่มทำป่าชุมชนเริ่มตั้งแต่ปี 64 ช่วงปิดป่าป้องกันไฟป่า ชาวบ้านก็นำป่าชุมชนมาทำเป็นแหล่งท่องเที่ยว ให้ชาวบ้านเป็นไกด์ เพราะในป่านอกจากพันธุ์ไม้หลากหลายชนิด ยังมีพืชสมุนไพร มีนก ให้นักท่องเที่ยว ให้ได้ชมด้วย นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมบวชป่า เพื่ออนุรักษ์ป่าอย่างยั่งยืน

คักคัก งานไม้ดอกไม้ประดับจังหวัดเชียงใหม่ ครั้งที่ 48 นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติสนใจร่วมงานจำนวนมาก

เชียงใหม่ เริ่มแล้ว งานไม้ดอกไม้ประดับจังหวัดเชียงใหม่ ครั้งที่ 48 ชิงถ้วยพระราชทาน พร้อมนำดอกไม้กว่า 1 ล้านดอกจัดสวนให้นักท่องเที่ยวชม

วันที่ 8 ก.พ. 68 เวลา 08.00 น. นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานเปิดงานไม้ดอกไม้ประดับจังหวัดเชียงใหม่ ครั้งที่ 48 หรือ CHIANG MAI FLOWER FESTIVAL 2025 บริเวณสะพานนวรัฐ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ในปีนี้ได้มีขบวนงานไม้ดอกไม้ประดับจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เข้าร่วม จำนวน 26 ขบวน ในจำนวนนี้ได้เข้าร่วมชิงถ้วยพระราชทานในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยในปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-9 กุมภาพันธ์ ภายใต้แนวคิด “เสน่ห์บุปผชาติ งามพฤกษา นครเชียงใหม่ หรือ Chiang Mai’s Floral Fantasy.” ที่นำเสนอในรูปแบบของความแฟนซี ทันสมัย

งานไม้ดอกไม้ประดับเป็นหนึ่งในเทศกาลประจำปีที่สำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีการจัดขึ้นมาอย่างยาวนาน มีพัฒนาการในเรื่องของสีสันของดอกไม้ และขบวน รวมถึงการแสดงประกอบต่างๆ ในแต่ละขบวนจากทุกกลุ่มอำเภอ โรงเรียน หน่วยงานภาครัฐ และอกชน เป็นเอกลักษณ์ที่ได้นำเอาดอกไม้ต่างๆ มาจัดเป็นขบวนรถบุปผาชาติ ทั้งสวยสด งดงาม เป็นวัฒนธรรมประเพณี ที่มีเอกลักษณ์ ทำให้งานมหกรรมไม้ดอกไม้ประดับจังหวัดเชียงใหม่ เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างประเทศ เป็น Soft Power ที่ทุกคนพลาดไม่ได้ต้องมาเยี่ยมชม และขอให้ช่วยกันรักษา ต่อยอด ขอให้ทุกพื้นที่ไปดูเรื่องของแหล่งท่องเที่ยว รวมทั้งถนนสวย ดอกไม้งาม ไม่ว่าจะฤดูกาลใดก็จะได้เห็นดอกไม้บานในทุกช่วงเวลา เป็นเสน่ห์ เป็นสีสันจะให้คนมาเที่ยวยังจังหวัดเชียงใหม่ และถือว่าเป็นเป้าหมายที่นักท่องเที่ยวยังคงเดินทางมาท่องเที่ยว เป็นการเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจให้กับจังหวัดเชียงใหม่

นอกจากนี้ ทางเทศบาลนครเชียงใหม่ ได้เนรมิตพื้นที่ภายในสวนสาธารณะหนองบวกหาด ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานหลัก ด้วยดอกไม้เมืองหนาวและพืชเขตร้อน ที่มีสีสันสดใสสวยงามและส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล ทั้งดอกไม้เมืองไทยและดอกไม้นำเข้าจากต่างประเทศ กว่า 100 สายพันธุ์ จำนวนมากกว่า 1 ล้านดอก นำมาจัดมุมสวยๆ ในลักษณะของทุ่งดอกไม้ สวนดอกไม้ ซุ้มดอกไม้ พร้อมประดับตกแต่งประติมากรรมดอกไม้ ประติมากรรมแสงไฟสีสันสวยงามกว่า 10 จุด กระจายอยู่ทั่วบริเวณ อาทิ นกยูงหางกล้วยไม้หน้าประตูทางเข้า ช่อดอกไม้สีชมพู หมีหน้าสวนกุหลาบสเปรย์ ปลาโลมา แก้วกาแฟเทดอกไม้ หงส์กลางน้ำ สาวน้อยเต้นระบำ และช้างไฟ เป็นต้น โดยในปีนี้ได้เพิ่มดอกไม้มากกว่าปีที่ผ่านมาถึงร้อยละ 30 เฉพาะดอกทิวลิปนำมาตกแต่งไว้กว่า 30,000 ดอก ดอกลิลลี่มากกว่า 2,500 ดอก ดอกไฮเดรนเยียมากกว่า 1,500 ดอก

ยังมีดอกไม้ที่ไม่เคยนำมาจัดแสดงที่ไหนในเมืองไทย 2 ชนิด คือ ดอกไวโอล่า หรือดอกมิ๊กกี้เมาท์ ที่มีปลูกในดิสนีย์แลนด์ทั่วโลก และอาซาเลียหรือกุหลาบพันปีสีแดงเลือดหมูและชมพู ที่ปรับปรุงสายพันธุ์ให้มีขนาดเล็กและเป็นดอกซ้อน หาชมได้ยาก โดยมีสัดส่วนของดอกไม้ที่นำเข้าจากต่างประเทศร้อยละ 30 และดอกไม้ที่ปลูกในประเทศไทย ร้อยละ 70 ซึ่งบางส่วนเป็นเมล็ดพันธุ์และกล้าพันธุ์จากต่างประเทศ ที่นำมาให้เกษตรกรในพื้นที่สูงปลูกเพื่อช่วยสร้างรายได้ให้กับคนในท้องถิ่น

ขณะเดียวกัน ภายในงานยังมีกิจกรรรมที่น่าสนใจอีกมากมาย อาทิ อุโมงค์เลเซอร์สุดตระการตา ปลาหมึกโฮโลแกรม ที่มีความแปลกใหม่ สร้างความสนุกสนาน มีชีวิตชีวา, กิจกรรมเพ้นท์สีตัวเรืองแสง, เพนท์รูปสดๆ, การแสดงดนตรีในสวน และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย ที่จะช่วยสร้างความสุขความประทับใจให้แก่ผู้มาเยือน โดยในวันพรุ่งนี้จะมีขบวนรถบุปผชาติที่ประดับตกแต่งด้วยไม้ดอกไม้ประดับนานาชนิด พร้อมขบวนคานิวัล จากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน 25 ขบวน ที่จะเคลื่อนขบวนจากบริเวณหน้าจวนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ มายังสวนสาธารณะหนองบวกหาด และจัดแสดงอยู่ที่นี่ไปจนถึงวันที่ 9 กุมภาพันธ์

สำหรับงานมหกรรมไม้ดอกไม้ประดับนี้ นับเป็น Soft Power ที่สำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ ที่เผยแพร่ออกสู่สายตาของนักท่องเที่ยวทั่วโลกทุกปี ซึ่งมีเพียงที่เดียวในประเทศไทย นับว่าเป็นงานที่จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจให้แก่จังหวัดเชียงใหม่ได้เป็นอย่างดี ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาเที่ยวชมความสวยงามของงานมหกรรมไม้ดอกไม้ประดับที่สวนสาธารณะหนองบวกหาดได้ฟรีทุกวันทั้งกลางวันและกลางคืน ตั้งแต่เวลา 6 นาฬิกา ถึง 24 นาฬิกา และจะจัดแสดงต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์



ทอท. มอบงบประมาณ 1.6 ล้านบาท สนับสนุนการติดตั้งอุปกรณ์ดูดซับเสียงให้แก่โรงเรียนอนุบาลเทศบาลเมืองแม่เหียะ

ทอท. มอบงบประมาณ 1.6 ล้านบาท สนับสนุนการติดตั้งอุปกรณ์ดูดซับเสียงให้แก่โรงเรียนอนุบาลเทศบาลเมืองแม่เหียะ

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. มอบงบประมาณสนับสนุนการติดตั้งอุปกรณ์ดูดซับเสียงให้แก่โรงเรียนอนุบาลเทศบาลเมืองแม่เหียะ จำนวน 1,602,000 บาท (หนึ่งล้านหกแสนสองพันบาทถ้วน) โดยมีนายกริณย์พล ไชยยาพิบูล นายกเทศมนตรีเมืองแม่เหียะ เป็นผู้รับมอบ และมีผู้บริหารของ ทอท. เทศบาลเมืองแม่เหียะ รวมทั้งฝ่ายปกครองตำบลแม่เหียะ ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ เทศบาลเมืองแม่เหียะ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กล่าวว่า ทอท. ตระหนักถึงผลกระทบด้านเสียงที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานของท่าอากาศยานเชียงใหม่ต่อชุมชนโดยรอบ โดยเฉพาะสถานศึกษา ซึ่งอาจส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็กเล็ก ดังนั้น ทอท. จึงได้จัดสรรงบประมาณจำนวน 1,602,000 บาท (หนึ่งล้านหกแสนสองพันบาทถ้วน) เพื่อใช้ในการติดตั้งอุปกรณ์ดูดซับเสียงภายในโรงเรียนอนุบาลเทศบาลเมืองแม่เหียะ โดยคาดหวังว่าการสนับสนุนในครั้งนี้จะช่วยลดผลกระทบด้านเสียงรบกวน และส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเรียน ช่วยให้เด็กๆ สามารถเรียนหนังสือได้อย่างมีสมาธิและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ดร.กีรติ ยังได้ขอบคุณผู้บริหารเทศบาลเมืองแม่เหียะ ผู้นำชุมชน และภาคประชาชน ที่ร่วมกันหารือแนวทางแก้ไขปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนจากการดำเนินงานของ ทอท. พร้อมทั้งให้คำมั่นว่าจะยังคงรับฟังความคิดเห็นของทุกภาคส่วน เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการบินและคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ให้เติบโตไปพร้อมกัน

Cr. ท่าอากาศยานเชียงใหม่

น้องกัญญา คว้ามงกุฎนางสาวเชียงใหม่ 2568 จากเวทีงานฤดูหนาวฯ เชียงใหม่ไปครองได้สำเร็จ

เชียงใหม่ น้องกัญญา คว้ามงกุฎนางสาวเชียงใหม่ 2568 จากเวทีงานฤดูหนาวฯ เชียงใหม่ไปครองได้สำเร็จ และยังได้ครองตำแหน่งขวัญใจสื่อมวลชนด้วย

เวลา 00.10 น. วันที่ 11 ม.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่เวทีการประกวดนางสาวเชียงใหม่ 2568 ภายในงานฤดูหนาว นางสาวเชียงใหม่ และงาน OTOP ของดีเมืองเชียงใหม่ ประจำปี 2568 ซึ่งปีนี้จัดยิ่งใหญ่ 15 วันเต็ม ตั้งแต่ 5-19 มกราคม 2568 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “ ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และขับเคลื่อนสู่การเป็น Chiang Mai Low Carbon City” ในค่ำคืนนี้เป็นการตัดสินผลการประกวดนางสาวเชียงใหม่ ประจำปี 2568 เพื่อเป็นการร่วมเฉลิมฉลอง 92 ปี ด้วย

ตั้งแต่เริ่มการประกวด ก็มีประชาชนและนักท่องเที่ยวให้ความสนใจเข้ามาร่วมชมการประกวดเป็นจำนวนมาก เมื่อผลการคัดเลือกจนเหลือผู้เข้าประกวด 10 คนสุดท้าย และ 5 คนสุดท้าย เสียงเชียร์จากผู้เข้าชมก็ดังอย่างต่อเนื่อง กระทั่งช่วงการตัดสินผู้ชนะและคว้ามงกุฎไปครองได้สำเร็จคือ หมายเลข 22 นางสาวสิริกัญญา ค้ำคูณ หรือน้องกัญญา อายุ 25 ปี ได้รับมงกุฎเพชร สายสะพาย และถ้วยเกียรติยศ พร้อมเงินรางวัล 100,000 บาท และยังได้คว้าตำแหน่งพิเศษเพิ่มอีก 2 ตำแหน่งคือ Miss Karin และขวัญใจสื่อมวลชนอีกด้วย สำหรับรองชนะเลิศอันดับ 1 นางสาวณัฐธิดา สมปาน หรือน้องแตงกวา อายุ 24 ปี รองชนะเลิศอันดับ 2 นางสาวศิรินทิพย์ อ้ายล้อม หรือน้องฝันฝ้าย อายุ 21 ปี รองชนะเลิศอันดับ 3 นางสาวธัญลักษณ์ ยศยานันท์ หรือน้องจินนี่ อายุ 25 ปี และยังได้รางวัลพิเศษเป็นสายสะพายประจำตำแหน่ง Miss ALIST 2025 ด้วย และรองอันดับ 4 นางสาวศศิวรารินทร์ อัศวหิรัญกานต์ หรือน้องโซเฟีย อายุ 24 ปี

สำหรับสาวงามที่ชนะการประกวดในครั้งนี้ จะทำหน้าที่เป็นทูตทางวัฒนธรรมและส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมทั้งเป็นตัวแทนของจังหวัดในการร่วมทำกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ต่อสังคมให้แก่องค์กรภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนต่อยอดเป็นตัวแทนในการประกวดเวทีระดับประเทศและระดับนานาชาติต่อไป

กองกำลังผาเมือง ปะทะกลุ่มขบวนการลักลอบลำเลียงยาเสพติด ยึดยาบ้า 200,000 เม็ด ในพื้นที่ อำเภอเชียงดาว

กองกำลังผาเมือง ปะทะกลุ่มขบวนการลักลอบลำเลียงยาเสพติด ยึดยาบ้า 200,000 เม็ด ในพื้นที่ อำเภอเชียงดาว

เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2567 เวลา 0900 กองกำลังผาเมือง โดย พลตรี กิดากร จันทรา ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง มอบหมายให้ พันเอก เดชาธร สายหยุด รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจไชยานุภาพ กองกำลังผาเมือง เป็นผู้แทน ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งชี้แจงให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนบริเวณพื้นที่เกิดเหตุ

กรณี เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 เวลา 05.00 นาฬิกา กองร้อยทหารม้าที่ 2 หน่วยเฉพาะกิจไชยานุภาพ จัดกำลังพล จำนวน 1 ชุดปฏิบัติการ ปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนเฝ้าตรวจเพื่อป้องกันและสกัดกั้นการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติด บริเวณ เส้นทางอ้อมผ่านหลังหมู่บ้าน บ้านอรุโณทัย ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ตรวจพบกลุ่มบุคคลต้องสงสัยเดินเท้าประมาณ 4 – 5 คน ตามเส้นทางในภูมิประเทศ ลักษณะแบกเป้สะพายหลัง เดินลัดเลาะมาตามเส้นทางในภูมิประเทศ เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเพื่อขอทำการตรวจค้น แต่กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้ใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดยิงใส่ฝ่ายเรา และเกิดการปะทะ ประมาณ 5 นาที ฝ่ายเราปลอดภัย กลุ่มขบวนการได้ทิ้งสิ่งของ โดยอาศัยความมืด และความชำนาญในพื้นที่หลบหนีไปได้ ชุดปฏิบัติการจึงวางกำลังเข้าควบคุมพื้นที่ และตรวจสอบพื้นที่โดยรอบขั้นต้นตรวจพบเป็นกระสอบปุ๋ยดัดแปลงเป็นเป้สะพายหลัง จำนวน 2 เป้ เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าทำการตรวจสอบ พบยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) บรรจุอยู่ในกระสอบเป้ จำนวนประมาณเป้ละ 100,000 เม็ด รวมทั้งสิ้นประมาณ 200,000 เม็ด, ปลอกกระสุน ขนาด 9 มิลเมตร จำนวน 4 ปลอก, ลูกระเบิดขว้าง จำนวน 1 ลูก และถุงย่ามสัมภาระ จำนวน 1 ใบ

ปัจจุบันหน่วยได้นำของกลางส่ง สถานีตำรวจภูธรนาหวาย เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป และได้ประสานขอชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด (EOD) จากสำนักงานตำรวจภูธรภาค 5 เข้าทำลายลูกระเบิดขว้าง ณ พื้นที่เกิดเหตุ ต่อไป

รมว.กษ เอาใจพี่น้องชาวเชียงใหม่ สั่งให้กรมชลประทานขยับจากงบปี 70 มาใช้งบเหลือจ่ายปี 68 ขับขึ้นมาอีก 2 ปี เร่งปรับปรุงพนังตลิ่งท้าย ปตร.ป่าแดด แก้ปัญหาน้ำท่วมด้านท้ายเมืองเชียงใหม่

รมว.กษ เอาใจพี่น้องชาวเชียงใหม่ สั่งให้กรมชลประทานขยับจากงบปี 70 มาใช้งบเหลือจ่ายปี 68 ขับขึ้นมาอีก 2 ปี เร่งปรับปรุงพนังตลิ่งท้าย ปตร.ป่าแดด แก้ปัญหาน้ำท่วมด้านท้ายเมืองเชียงใหม่

วันที่ 30 พ.ย. 67 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ลงพื้นที่ติดตามการบริหารจัดการน้ำและการป้องกันอุทกภัยในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ที่ประตูระบายน้ำป่าแดด ต.ป่าแดด อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี นายเดช เล็กวิชัย รองอธิบดีกรมชลประทาน พร้อมด้วย นายอัฏฐวิชย์ นาควัชระ ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 1 นายเกื้อกูล มานะสัมพันธ์สกุล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงใหม่ นายสุภรณ์วัฒน์ สุรการ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานลำพูน นายรุ่งปรีชา ปั๋นแก้ว นายกเทศมนตรีตำบลป่าแดด นางจีรพร หวันแดง นายกเทศมนตรีตำบลหนองหอย พร้อมด้วยกลุ่มชาวบ้านในพื้นที่ตำบลป่าแดด ตำบลหนองหอย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ตำบลแม่แฝก ตำบลท่าวังตาล อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดลำพูน ได้เดินทางมาต้อนรับ

นายเดช เล็กวิชัย รองอธิบดีกรมชลประทาน ได้รายงานถึงความสำคัญของประตูระบายน้ำป่าแดด และการดำเนินการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้ง ด้านการป้องกันอุทกภัย ซึ่งได้มีโครงการเร่งด่วนที่เสนอของงบประมาณในคราว ครม.สัญจร จังหวัดเชียงใหม่ คือ มาตรการจัดระบบเตือนภัย จำนวน 4 โครงการ วงเงิน 65.40 ล้านบาท แบ่งเป็น พัมนาระบบติดตามและเพิ่มประสิทธิภาพ การเตือนภัยพื้นที่ลุ่มน้ำกก จังหวัดเชียงใหม่ วงเงิน 7.40 ล้านบาท , พัฒนาระบบติดตาม และเพิ่มประสิทธิภาพ การเตือนภัยพื้นที่ลุ่มน้ำปิงตอนบน วงเงิน 40 ล้านบาท ปรับปรุงห้องปฏิบัติการประมวลผลและวิเคราะห์สถานการณ์น้ำศูนย์อุทกวิทยาชลประทานภาคเหนือตอนบน วงเงิน 3 ล้านบาท และปรับปรุงระบบโทรมาตรทางไกล Scada ประตูระบายน้ำในลำน้ำปิง วงเงิน 15 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีมาตรการป้องกันน้ำท่วมชุมชนเมือง จำนวน 1 โครงการ วงเงิน 200.269 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงพนังป้องกันตลิ่งด้านท้ายน้ำฝั่งซ้าย ตำบลป่าแดดด อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ความยาว 370 เมตร พร้อมอาคารประกอบ ปัจจุบันมีแบบก่อสร้างแล้ว ไม่มีปัญหาและอุปสรรคด้านพื้นที่ดำเนินการ จากตลิ่งเดิมมีความสูง 3.70 เมตร ทำการก่อปรับปรุงความสูงเพิ่มขึ้นอีก 1.50 เมตร รวมความสูงทั้งหมด 5.20 เมตร ซึ่งสามารถป้องกันอุทกภัยจากน้ำล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ด้านท้ายแม่น้ำปิง และมีมาตรการเร่งระบายน้ำ จำนวน 6 โครงการ วงเงิน 317 ล้านบาท ประกอบด้วยประตูระบายน้ำพร้อมโรงสูบน้ำด้วยไฟฟ้า บ้านท่านาค จ.เชียงใหม่ วงเงิน 49 ล้านบาท , ประตูระบายน้ำพร้อมโรงสูบน้ำด้วยไฟฟ้า บ้านป่ากล้วย จ.เชียงใหม่ วงเงิน 68 ล้านบาท , ปรับปรุงสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าร้องเสือเต้น จ.ลำพูน วงเงิน 49 ล้านบาท , ปรับปรุงสถานสูบน้ำด้วยไฟฟ้าสบปะ จ.ลำพูน วงเงิน 45 ล้านบาท , ปรับปรุงสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าล้องพะปวน จ.ลำพูน วงเงิน 68 ล้านบาท และมีมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการไหลของนน้ำ จำนวน 1 โครงการ วงเงิน 40 ล้านบาท เป็นการปรับปรุงอาคารป้องกันตลิ่งท้ายอาคารเหมืองร้อง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ มาตรการช่วยเหลือฟื้นฟู จำนวน 1 โครงการ วงเงิน 49.184 ล้านบาท ทำการจัดซื้อเครื่องจักร เครื่องมือ ยานพาหนะ จำนวน 13 รายการ เช่น รถบรรทุก รถขุดตีนตะขาบ รถตักหน้าขุดหลัง รถฟาร์มแทรกเตอร์ ฯลฯ

ภายหลังจากที่รับฟังรายงานสรุปข้อมูลแล้ว ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เข้าพบปะกับพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดลำพุน ที่มาต้อนรับ และให้ประชาชนได้เสนอความต้องการ ซึ่งภาพรวมก็ต้องการให้มีการขุดลอกลำน้ำปิง เร่งการระบายน้ำในแม่น้ำปิงไปยังท้ายน้ำ มีการเสริมตลิ่งด้านท้ายน้ำปิง ซึ่งอยู่ด้านหลังประตูระบายน้ำป่าแดด โดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันอุทกภัย

ทั้งนี้ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งการให้ นายเดช เล็กวิชัย รองอธิบดีกรมชลประทาน และผู้บริหารของกรมชลประทาน สำนักงานชลประทานที่ 1 โครงการชลประทานเชียงใหม่ เร่งดำเนินการในเรื่องดังกล่าว จากเดิมได้เสนอของบประมาณในปี 2570 แต่ทางชาวบ้านอยากให้ดำเนินการก่อสร้างโดยเร็ว จึงให้ใช้งบเหลือจ่ายปี 68/69 เร่งดำเนินการก่อสร้างตามแผนให้เร็วที่สุด ซึ่งภายหลังจากที่มีการสั่งการดังกล่าว ทำให้กลุ่มชาวบ้านที่มาร่วมต้อนรับดีใจ เพราะจะได้แก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ทั้งตัวเมืองเชียงใหม่ และในพื้นที่ด้านท้ายน้ำของจังหวัดเชียงใหม่ได้