อธิบดีกรมหม่อนไหม ขึ้นเหนือ จัดกิจกรรมจิตอาสาหม่อนไหม ร่วมใจพัฒนาโครงการเกษตรวิชญา

ที่บริเวณโครงการเกษตรวิชญา บ้านกองแหะ หมู่ที่ 4 ตำบลโป่งแยง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ได้มีการจัดกิจกรรม จิตอาสาหม่อนไหม ร่วมใจพัฒนาโครงการเกษตรวิชญา โดยในวันนี้ได้รับเกียรติจากนางสาวศิริพร บุญชู อธิบดีกรมหม่อนไหม ได้เดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมดังกล่าว เพื่อเฉลิมพระเกียรติและแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ์บดินทรเทพยวรางกูร

 

ซึ่งภายในงานได้มี การร่วมกันปลูกต้นหม่อนไหมผลสดพันธุ์เชียงใหม่ และพันธุ์ต่างๆ จำนวนกว่า 300 ต้น นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาความสะอาดพื้นที่ภายในโครงการเกษตรวิชยา เพื่อพัฒนาเป็นศูนย์การเรียนรู้ทางการเกษตร สำหรับบริการถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรให้กับชุมชน เพื่อให้เกษตรกรได้เรียนรู้และพัฒนาอาชีพ รวมถึงจัดสรรการใช้ที่ดินอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

โดยทางด้านนางสาวศิริพร บุญชู อธิบดีกรมหม่อนไหม ได้เปิดเผยว่า เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ที่ในวันนี้ ชาวบ้านในชุมชนได้ร่วมใจพร้อมเพรียงกัน เพื่อจัดกิจกรรมจิตอาสาหม่อนไหมร่วมใจพัฒนาโครงการเกษตรวิชญา ซึ่งโครงการดังกล่าวถือเป็นโครงการตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ์บดินทรเทพยวรางกูร

โดยในวันนี้เป็นการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน และประชาชนทุกหมู่เหล่า ได้ร่วมกันน้อมนำแนวพระราชดำริ ด้วยการทำการพัฒนาฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรม เพื่อจัดตั้งเป็นศูนย์สาธิตการส่งเสริมอาชีพให้กับเกษตร ที่สนใจได้เข้ามาศึกษาและเรียนรู้ นำไปขยายผลจนสามารถประกอบอาชีพ สร้างรายได้ให้กับเกษตรกร เพื่อเป็นการพัฒนาชุมชนอย่างยั่ง

สำหรับโครงการ “เกษตรวิชญา” เป็นโครงการตามพระราชดำริของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ที่ต้องการให้โครงการนี้เป็นศูนย์ฝึกอบรมการทำการเกษตรบนพื้นที่สูง เป็นการสาธิตและส่งเสริมอาชีพให้เกษตรกรที่อยูาบริเวณ ใกล้เคียงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

ตลอดจนเป็นการฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรม ที่อยู่ในพื้นที่โครงการให้มีความอุดมสมบูรณ์อย่างยั่งยืน ซึ่งกรมหม่อนไหม ได้ดำเนินการ จัดทำแปลงสาธิตการปลูกหม่อน จำนวน 3 ไร่ แบ่เป็น หม่อนผลสดพันธุ์เชียงใหม่ จำนวน 2 ไร่ และหม่อนใบพันธุ์บุรีรัมย์ 60 จำนวน 1 ไร่ โดยมีเป้าหมายให้เกษตรกรผู้สนใจได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้และ นำไปขยายผล จนสามารถประกอบอาชีพเพื่อสร้างรายได้ต่อไป

รพ.เครือรามคำแหง สนับสนุนจักรยานจอมทอง จัดปั่น 2 น่องฯ สู่การระดมน้ำใจ…ช่วย “ผู้พิทักษ์ป่า”

ที่ห้องเชียงรุ้ง โรงแรมดวงตะวัน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ บมจ.โรงพยาบาลรามคำแหง พร้อมด้วยโรงพยาบลในเครือเดียวกัน ประกอบด้วยโรงพยาบาลสินแพทย์ในกรุงเทพฯ และโรงพยาบาลเชียงใหม่ ราม และโรงพยาบาลลานนาในจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ สมาคมจักรยานเพื่อสุขภาพจอมทอง และโรงพยาบาลจอมทอง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ร่วมกันจัดแถลงข่าวกิจกรรม “ปั่น 2 น่องฯ สู่การระดมน้ำใจ…ช่วย “ผู้พิทักษ์ป่า” ให้กล้าแกร่ง!!”

ทพ.ศิระ ฮั่นตระกูล ผอ.โรงพยาบาลเชียงใหม่ ราม กล่าวว่า ในฐานะเป็น 1 ใน 4 เครือโรงพยาบาลรามคำแหง ได้ให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมเป็นปีที่ 2 หลังจากที่ได้เคยจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ไปให้บริการเมื่อปีที่แล้ว แต่ในปีนี้ได้เตรียมจัดบริการตรวจสุขภาพเพิ่มเติมให้กับเด็กนักเรียน ชาวบ้านบนดอยอินทนนท์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่-ลูกจ้างที่ประจำทำหน้าที่ “ผู้พิทักษ์ป่า” ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์เพิ่มอีกด้วย เพื่อเป็นโอกาสให้กับทั้งเด็กและผู้ใหญ่หลายร้อยชีวิตที่อาจไม่ได้รับความสะดวกในการเข้าถึงบริการทางสุขภาพ นอกจากนี้ยังได้ร่วมมอบเงินสมทบมูลนิธิ “ผู้พิทักษ์ป่า” จำนวน 300,000 บาทด้วย

ด้าน นพ.ดุสิต ศรีสกุล ผอ.โรงพยาบาลลานนา จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า แม้ว่าจะได้เข้าร่วมสนับสนุนหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เป็นครั้งแรก แต่ทางโรงพยาบาลลานนาก็มั่นใจถึงศักยภาพและความพร้อมในการนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ไปให้บริการ โดยจะมีทั้งทีมแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ไปประจำ ณ ที่ตั้งบริเวณจุดสูงสุดที่เป็น “เส้นชัย” ซึ่งเป็นเป้าหมายที่บรรดานักปั่นมุ่งมั่นที่จะพิชิตให้สำเร็จ โดยได้เตรียมแพทย์เวชศาสตร์การกีฬามาคอยดูแลรับมือเป็นพิเศษ

สำหรับกรณีที่อาจมีการบาดเจ็บตลอดทั้งเหตุฉุกเฉินอันอาจเกิดในวันจัดกิจกรรมนี้ ทั้งยังได้ร่วมมอบเงินจำนวน 3 แสนบาท สมทบให้กับมูลนิธิผู้พิทักษ์ป่าเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้แก่บรรดา “ผู้พิทักษ์ป่า” ที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลทรัพยากรธรรมชาติโดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากและช่วยให้เรามีความสุขกับสภาพความอุดมสมบูรณ์ของอุทยานแห่งชาติทั่วประเทศมาถึงทุกวันนี้

 

นายธฤต ชื่นอิ่ม กรรมการบริหารเครือโรงพยาบาลรามคำแหง กล่าวว่า ไม่เพียงแต่กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงเท่านั้นที่สนใจที่อยากจะเข้ามาช่วยดูแลผู้พิทักษ์ป่า องค์กรเอกชนอื่นๆ ก็ได้เข้ามาแสดงส่วนร่วมก็ได้มีการรับการบริจาคไปหลายครั้งแล้ว แต่เนื่องจากโรงพยาบาลรามคำแหงตระหนักว่าป่าเป็นสินทรัพย์ของประเทศที่มีมูลค่ามหาศาล เป็นสินทรัพย์ของประชาชน เป็นสินทรัพย์ของส่วนรวมของทุกคนในประเทศไทยก็ต้องมีคนเข้าไปปกป้องสินทรัพย์ของประเทศของพวกเรา พวกเราทำงานกันอยู่ในเมืองก็ได้ผู้พิทักษ์ป่าเหล่านี้คอยดูแลไม่ให้มีใครมาตัดไม้ทำลายป่า หรือล่าสัตว์

ทำอย่างไรจะไม่ให้มีความเสื่อมโทรมจากภัยธรรมชาติทั้งหมดต้องใช้แรงกายแรงใจของผู้พิทักษ์ป่าเหล่านี้ในการที่จะดูแล พวกเราซึ่งอยู่ในเมืองเราจะแสดงน้ำใจยังไงเพื่อที่จะสื่อสารไปยังผู้พิทักษ์เหล่านี้ว่าเรายังตระหนัก และก็เห็นถึงความสำคัญของเขาในการเสียสละที่ไปดูแลผืนป่าของประเทศไทยเรา วิธีง่ายที่สุดที่เราทำก็คือการจัดงานระดมน้ำใจนี้ขึ้นมา กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง ประกอบด้วย โรงพยาบาลราคำแหง โรงพยาบาลสินแพทย์ โรงพยาบาลเชียงใหม่ ราม และโรงพยาบาลลานนา จึงร่วมลงเงินกัน 1,200,000 บาท ริเริ่มจัดโครงการนี้ด้วยความหวังว่าเราน่าจะระดมเงินได้มากกว่านี้

ที่สำคัญคือข่าวสารที่จะแพร่กระจายไปยังพี่น้องผู้พิทักษ์ป่าให้ทราบว่าพวกเราเห็นในสิ่งที่พวกเขาทำอยู่ และตระหนักถึงความเสียสละของพวกเขาเพื่อพิทักษ์ป่าซึ่งเป็นสินทรัพย์ของประเทศไทย

นายกริชสยาม คงสตรี หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า ขอบคุณต่อคณะผู้บริหารเครือโรงพยาบาลรามคำแหง รวมทั้งหน่วยราชการในจังหวัดเชียงใหม่ อำเภอจอมทอง และเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้่นที่ ซึ่งได้ให้ความร่วมมือสนับสนุนดูแลอำนวยความสะดวกทั้งในด้านบริหารวางแผนจัดการจราจร ตลอดทั้งสวัสดิภาพและความปลอดภัยให้กับนักปั่นทั้ง 6,000 คน รวมถึงผู้เกี่ยวข้องในการจัดกิจกรรมในปีนี้ ซึ่งล้วนมีส่วนช่วยสร้างความมั่นใจให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืชในการจัดกิจกรรมให้บรรลุผลสำเร็จด้วยความเรียบร้อยและราบรื่น

นำมาซึ่งชื่อเสียงตลอดทั้งความเชื่อถือให้กับกิจกรรมปั่น 2 น่องท่องอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังได้สะท้อนให้เห็นถึงน้ำใจจากสมาคมจักรยานเพื่อสุขภาพจอมทองรวมทั้งเครือโรงพยาบาลรามคำแหงที่ได้ช่วยกันจัดหาเงินทุนมาสมทบมูลนิธิ “ผู้พิทักษ์ป่า” อันเป็นการริเริ่มที่เชื่อว่าจะขยายวงกว้างมากขึ้นในอนาคต

นอกจากนี้ ในวันดังกล่าวขอแจ้งถึงนักท่องเที่ยวว่า อาจจะไม่สะดวกหากขึ้นมาท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ควรหลีกเลี่้ยงการมาเที่ยว หากท่านที่จะเดินทางมาก็ต้องจอดรถไว้และขึ้นรถบริการสี่ล้อเหลือง ที่เตรียมบริการไว้ให้ก่อน 06.45 น. เพื่อจะขึ้นมาบนยอดดอย ซึ่งมีเตรียมไว้บริการนักท่องเที่ยวฟรี และประชาชนที่อาศัยในพื้นที่ก็ควรหลีกเลี่ยงการใช้เส้นทางขึ้น-ลงดอยอินทนนท์ ควรเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นเพื่อความสะดวก

สำหรับความพร้อมในการบริหารจัดการกิจกรรมการปั่น โดยสมาคมจักรยานเพื่อสุขภาพจอมทองนั้น นายวิชัย ลดาลลิตสกุล เลขาธิการสมาคมฯ กล่าวว่า ได้วางแผนไว้แล้ว โดยมีจุดปล่อยตัวนักปั่นประมาณ 6,000 คน ที่หลัก กม.ที่ 0 ดอยอินทนนท์ บนเส้นทางหลวง 1099 ตั้งแต่เวลา 07.00 น. เพื่อขึ้นสู่ยอดดอยอินทนนท์ และได้ประสานเตีรยมการกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืชตลอดทั้งฝ่ายอำเภอจอมทอง กับอำเภอแม่แจ่ม โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เตรียมดูแลอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยให้บรรดานักปั่นไปตลอดเส้นทางสู่เส้นชัยที่ กม.48 บนยอดดอย

ทั้งนี้ โดยมีโรงพยาบาลจอมทอง ซึ่งได้เตรียมทีมแพทย์ พยาบาล และหน่วยอาสาสมัครผู้ชำนาญพื้นที่ซึ่งเปี่ยมด้วยประสบการณ์มาเป็นหน่วยงานหลัก โดยมีเครือโรงพยาบาลรามคำแหงให้การสนับสนุนด้วย ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับนักปั่นและผู้เกี่ยวข้องในการจัดกิจกรรมอย่างมาก อีกทั้งยังเท่ากับเป็นการยกมาตรฐานการจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพด้วยการปั่นจักรยานในประเทศไทยให้เทียบเท่าสากลไปพร้อมกัน ทั้งในส่วนของเป้าหมายของการจัดกิจกรรมในปีนี้ ได้มุ่งมั่นถึงการส่งเสริมการตื่นตัวในการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพและความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกายและเพื่อสันทนาการควบคู่กันไป

โดยที่รายได้จากค่าสมัครร่วมกิจกรรมนั้นรายละ 100 บาทจากผู้สมัครทั้งหมด ทางสมาคมฯ เตรียมไว้ร่วมสมทบทุน “มูลนิธิผู้พิทักษ์ป่า” รวมทั้งสมทบกองทุนสวัสดิการเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ไว้ด้วยแล้ว

สำหรับผู้สนใจการมีส่วนร่วมในการแสดงน้ำใจสมทบทุน “มูลนิธิผู้พิทักษ์ป่า” สามารถนำเงินเข้าบัญชีธนาคารธนชาติ ชื่อ “โรงพยาบาลรามคำแหงเพื่อผู้พิทักษ์ป่า โดย น.พ.พิชญ สมบูรณสิน และนายธฤต ชื่นอิ่ม” ประเภทออมทรัพย์ หมายเลขบัญชี 096-6-10949-7 โดยสามารถร่วมสมทบได้ถึงวันที่ 10 มีนาคม 2562 หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โรงพยาบาลรามคำแหง หมายเลขโทรศัพท์ 02-7439999, โรงพยาบาลสินแพทย์ หมายเลขโทรศัพท์ 02-7935099, โรงพยาบาลเชียงใหม่ ราม หมายเลขโทรศัพท์ 053-920300 ตจ่อ 5316 และโรงพยาบาลลานนา หมายเลขโทรศัพท์ 053-9997758

บางกอกแอร์เวย์สแถลงข่าวเปิดเส้นทางบินใหม่ เชียงใหม่ – กระบี่ และ เชียงใหม่ – หลวงพระบาง (สปป.ลาว)

เชียงใหม่ / 28 กุมภาพันธ์ 2562 บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส จัดงานแถลงข่าวเปิดเส้นทางบินใหม่ เชียงใหม่ – กระบี่ และ เชียงใหม่ – หลวงพระบาง (สปป.ลาว) โดยมี นายวรงค์ อิศรเสนา ณ อยุธยา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ฝ่ายการขายของสายการบินฯ และนางสาวภัคนันท์ วินิจชัย ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่เป็นผู้แถลงข่าวและนางจันทร์ทิพย์ ทองกันยา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ให้เกียรติร่วมในงาน ณ ห้องอาหาร Time Riverfront Cuisine & Barโรงแรม ณ นิรันดร์ จังหวัดเชียงใหม่

นายวรงค์ อิศรเสนา ณ อยุธยา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ฝ่ายการขาย สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส กล่าวว่า “การเปิดเส้นทางบินเชียงใหม่ – กระบี่ และ เชียงใหม่ – หลวงพระบาง (สปป.ลาว) ของสายการบินฯ ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การขยายเครือข่ายเส้นทางบินของบางกอกแอร์เวย์สให้ครอบคลุมประเทศในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม) โดยใช้เชียงใหม่เป็นศูนย์กลางการบินทางภาคเหนือ เนื่องจากเชียงใหม่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญอันดับต้นของประเทศไทยและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก

มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาจากเส้นทางบินภายในประเทศและเส้นทางบินจากต่างประเทศ ซึ่งมีปริมาณเพิ่มขึ้นทุกปี การเปิดเส้นทางบินตรงจากเชียงใหม่ไปยังเมืองต่างๆ จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสารโดยไม่ต้องเดินทางกลับไปต่อเครื่องที่กรุงเทพฯ ปัจจุบันบางกอกแอร์เวย์ส มีเส้นทางบินจากจังหวัดเชียงใหม่ ไปยังเมืองต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุย ภูเก็ต เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ย่างกุ้ง (เมียนมาร์) มัณฑะเลย์ (เมียนมาร์) และฮานอย (เวียดนาม) และจะเปิดบินอีก 2 เมือง ในปลายเดือนมีนาคม 2562 นี้ คือกระบี่และหลวงพระบาง (สปป.ลาว) ซึ่งทั้ง 2 เมืองเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก”

“การเชื่อมต่อเส้นทางเชียงใหม่ – กระบี่ นอกจากจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว รวมถึงผู้ที่มีถิ่นพำนักอาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียง โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวยุโรปที่เดินทางมาท่องเที่ยวยังภาคเหนือให้สามารถเดินทางต่อโดยเครื่องบินไปยังแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ในภาคใต้ โดยไม่ต้องไปต่อเครื่องที่กรุงเทพ แล้วยังทำให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสความสวยงามทางธรรมชาติวัฒนธรรมของภาคเหนือและทะเลทางภาคใต้ เป็นการส่งเสริมนโยบายของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในเรื่องของการเที่ยวข้ามภาค

สำหรับเส้นทางเชียงใหม่- หลวงพระบาง (สปป.ลาว) จะทำให้บางกอกแอร์เวย์สมีเส้นทางบินครอบคลุมในกลุ่มประเทศ CLMV เพิ่มเติมคือ สปป.ลาว โดยเราเล็งเห็นว่าเมืองหลวงพระบาง เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ชื่นชอบด้านวัฒนธรรม ต้องการความเงียบสงบ วิถีชีวิตเรียบง่ายเลือกเดินทางมาพักผ่อน ซึ่งองค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนให้เมืองหลวงพระบาง (สปป.ลาว) เป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรม เราเชื่อว่าเส้นทางบินนี้จะได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก”

นางสาวภัคนันท์ วินิจชัย ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ กล่าวว่า “ในปี 2561 ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังจังหวัดเชียงใหม่ มีจำนวน 10,844,753 คน โดยคิดเป็นร้อยละ 30.1 ของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวยังภาคเหนือซึ่งเป็นชาวต่างชาติ 3,252,594 คน นักท่องเที่ยวจากประเทศจีนมีจำนวนมากเป็นอันดับที่หนึ่ง รองลงมาคือ อเมริกา ญี่ปุ่น อังกฤษ และฝรั่งเศส ตามลำดับ

โดยในปี 2562 ทาง ททท.คาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 5 และรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดว่าแนวโน้มของนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนน่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากอาเซียน เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 และจากยุโรป เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 ในปีนี้”

“นับว่าเป็นโอกาสทีดีที่สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส เปิดเส้นทางบิน เชียงใหม่-กระบี่ และชียงใหม่-หลวงพระบาง (สปป.ลาว) เพราะนอกจากจะเป็นการอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวในตลาดซึ่งมีอยู่เดิมแล้ว ให้เดินทางไปท่องเที่ยวยังแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของไทยและเมืองใกล้เคียงกับเมืองหลวงพระบาง (สปป.ลาว) ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพ การผลักดันเชียงใหม่ให้เป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางอากาศเพื่ออำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวเดินทางต่อไปยังเมืองหลักและเมืองรองอื่นๆ ในประเทศไทยได้นั้นจะก่อให้เกิดการรายได้ทางการท่องเที่ยวหมุนเวียนภายในประเทศมหาศาล” นางสาวภัคนันท์ กล่าว

เส้นทางบิน เชียงใหม่ – กระบี่ (เที่ยวเดียว) จะเริ่มให้บริการสัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน (อาทิตย์ อังคาร และพฤหัสบดี) ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2562 และจะปรับเป็นให้บริการทุกวัน วันละ 1 เที่ยวบิน ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2562 เป็นต้นไป ด้วยเครื่องบินแบบแอร์บัส เอ319 ขนาด 144 ที่นั่ง โดยเที่ยวบิน PG 246 ออกจากเชียงใหม่ เวลา 12.00 น. ถึงกระบี่ เวลา 13.55 น.

เส้นทางบินระหว่าง เชียงใหม่ – หลวงพระบาง (สปป.ลาว) (ไป-กลับ) จะให้บริการสัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน (อังคาร พฤหัสบดี และเสาร์) ด้วยเครื่องบินแบบเอทีอาร์ 72-600 ขนาด 70 ที่นั่ง โดยเที่ยวบินขาไป PG983 ออกจากเชียงใหม่ เวลา16.30 น. ถึงหลวงพระบาง (สปป.ลาว) เวลา 17.45 น. เที่ยวบินขากลับ PG984 ออกจากหลวงพระบาง (สปป.ลาว) เวลา 18.30 น. ถึงเชียงใหม่ เวลา 19.45 น. โดยจะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2562 เป็นต้นไป

ผู้สนใจสามารถสำรองที่นั่งได้ที่ www.bangkokair.com หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ให้บริการลูกค้า (Call Center) โทร. 1771 ตลอด 24ชั่วโมง ค่าบริการครั้งละ 3 บาททั่วไทย (เฉพาะโทรศัพท์พื้นฐาน) หรือสำนักงานออกบัตรโดยสารทั่วประเทศ และตัวแทนจำหน่ายบัตรโดยสาร ผู้โดยสารทุกท่านของบางกอกแอร์เวย์ส สามารถเข้าใช้บริการห้องรับรองผู้โดยสารที่ให้บริการอาหารว่าง เครื่องดื่มและอินเทอร์เน็ต ณ สนามบินที่เปิดให้บริการ และสามารถทำการเช็คอินออนไลน์ได้ 24 ชั่วโมงล่วงหน้าก่อนการเดินทางได้ที่ www.bangkokair.com/pages/view/online-check-in

บางกอกแอร์เวย์สจัดโครงการ “เปิดบ้านสอนน้อง” ประจำปี 2562

บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส โดยนายวรงค์ อิศรเสนา ณ อยุธยา (ที่ 4 จากซ้าย) รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายขาย จัดโครงการ “เปิดบ้านสอนน้อง” ประจำปี 2562 ณ อาคารทับสุวรรณ (Bangkok Airways Operations Center) สนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมจัดทริปนำร่องนำคณะอาจารย์และตัวแทนนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ร่วมเดินทางไปจังหวัดสุโขทัย เพื่อศึกษาดูงานนอกสถานที่ ระหว่างวันที่ 13-15 กุมภาพันธ์ 2562 นี้ โดยได้รับเกียรติจากนายวิศรุต อินแหยม (ที่ 3 จากขวา) ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมเปิดงาน

โครงการ “เปิดบ้านสอนน้อง” เป็นโครงการของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ที่จัดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาที่มีความสนใจและเรียนในสาขาวิชาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โรงแรม และสายการบิน ได้มีโอกาสเข้ามาศึกษาดูงานจากการปฏิบัติงานจริง พร้อมรับฟังบรรยายโดยวิทยากรจากหน่วยงานต่างๆที่มีประสบการณ์ในธุรกิจการบินโดยตรง อาทิ

เจ้าหน้าที่ควบคุมปฏิบัติการบิน (Flight Operation Control) พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน (Cabin Crew) พนักงานต้อนรับภาคพื้นดิน (Ground Operations) พนักงานสำรองที่นั่งและออกบัตรโดยสาร (Reservations and Ticketing) ห้องโดยสารจำลอง (Cabin Mock up) และห้องจำลองการบิน (Flight Simulator) (สำหรับ Student Pilot เท่านั้น) เป็นต้น พร้อมทั้งยังได้มีโอกาสร่วมเดินทางกับสายการบินบางกอกแอร์เวย์สเพื่อศึกษาดูงานในส่วนของธุรกิจนำเที่ยวจากการปฏิบัติงานนอกสถานที่ โดยผู้เข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับประกาศนียบัตรจากสายการบินฯ หลังจบการเข้าร่วมโครงการฯ อีกด้วย

โครงการเปิดบ้านสอนน้อง จัดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 และได้รับความสนใจจากมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วประเทศไทย ที่เปิดสอนในหลักสูตร การท่องเที่ยว การโรงแรมและธุรกิจการบิน โดยมีมหาวิทยาลัยเข้าร่วมโครงการแล้วทั้งสิ้น 12 มหาวิทยาลัย คิดเป็นจำนวนผู้เข้าร่วมกว่า 2,000 คน

สำหรับสถาบันการศึกษาที่สนใจสามารถสอบถามราคาและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ฝ่ายขาย สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส โทรศัพท์ 02–265–8752 หรืออีเมล์ Sales_coordination@bangkokair.com

ตำรวจภูธรภาค ๕ มอบประกาศเกียรติคุณให้กับข้าราชการตำรวจที่มีผลการปฏิบัติงานดีเด่นด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด

ตำรวจภูธรภาค 5 โดย พลตำรวจโท มนตรี สัมบุณณานนท์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๕ มอบประกาศเกียรติคุณให้กับข้าราชการตำรวจที่มีผลการปฏิบัติงานดีเด่น ด้านการป้องกัน และปราบปรามยาเสพติด ในการประชุมบริหารตำรวจภูธรภาค 5 ครั้งที่ 2/2562 ณ ห้องประชุมสโมสรคุ้มแก้ว-ขวัญดาว ตำรวจภูธรภาค 5 อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

โดยศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตำรวจภูธรภาค 5 ได้พิจารณาคัดเลือกข้าราชการตำรวจที่มีผลการจับกุมยาเสพติดรายสำคัญประจำเดือน ตุลาคม – ธันวาคม 2561 ซึ่งสามารถสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด จนมีผลการตรวจยึดของกลาง ได้เป็นจำนวนมาก เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ และให้ข้าราชการตำรวจถือเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติหน้าที่ จึงได้มอบประกาศเกียรติคุณให้กับหัวหน้าสถานีในสังกัด ดังต่อไปนี้

1) สภ.แม่ลาว จว.เชียงราย เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2561 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่ลาว จว.เชียงราย ได้ตรวจยึดยาบ้าจำนวน 10,000,000 เม็ดบริเวณริมถนน บ้านร่องศาลา ม.3 ต. ดงมะดะ อ.แม่ลาว จว.เชียงราย

2) สภ.แม่อาย จว.เชียงใหม่ และสภ.แม่จัน จว.เชียงราย เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2561 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสกัดกั้นสภ.แม่จัน จว.เชียงราย ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสกัดกั้น สภ.แม่อาย จว.เชียงใหม่ จับกุมผู้ต้องหา 6 ราย พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 15,000,000 เม็ด บริเวณด่านตรวจแม่สาว และบริเวณท้ายหมู่บ้านสันต้นดู่ อ.แม่อาย จว.เชียงใหม่

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2561 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่อาย จว.เชียงใหม่ ได้จับกุมผู้ต้องหา 2 ราย พร้อมของกลางย้าบ้าจำนวน 1,000,000 เม็ด ได้บริเวณบ้านสันโค้ง ม.6 ต.มะลิกา อ.แม่อาย จว.เชียงใหม่ และเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2561 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่อาย จว.เชียงใหม่ ได้ตรวจยึดไอซ์จำนวน 304 กก. และเคตามีน 99 กก. บริเวณหน้าอาคารร้างโครงการแม่อายธารา หมู่ 1 ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จว.เชียงใหม่

3) สภ.พญาเม็งราย จว.เชียงราย เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2561 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พญาเม็งราย จว.เชียงราย ได้ตรวจยึดยาบ้าจำนวน 3,500,000 เม็ด บริเวณป่าทางทิศตะวันออกของหมู่บ้นสันเจริญ ม.1 ต.แม่เปา อ.พญาเม็งราย จว.เชียงราย

4) สภ.เวียงมอก จว.ลำปาง เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2561 เจ้าหน้าที่ด่านตรวจยาเสพติดสะเลียมหวาน สภ.เวียงมอก จว.ลำปาง จับกุมผู้ต้องหา 3 ราย พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 900,000 เม็ดและไอซ์ 199 กิโลกรัม บริเวณด่านยาเสพติดตรวจสะเรียมหวาน สภ.เวียงมอก จว.ลำปาง และบริเวณป่าริมถนนเส้นทางเลี่ยง บ้านสะเลียมหวาน ม.3 ต.เวียงมอก อ.เถิน จว.ลำปาง

5) สภ.สอง จว.แพร่ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2561 เจ้าหน้าที่ด่านตรวจนางฟ้า สภ.สอง จว.แพร่ จับกุมผู้ต้องหา 2 ราย พร้อมของกลางยาบ้า 5,000,000 เม็ดบนถนนเลี่ยงด่านตรวจ บริเวณท่าทรายสองฝั่งยม ม.4 ต.ห้วยหม้าย อ.สอง จว.แพร่

6) สภ.แม่พริก จว.ลำปาง เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2561 เจ้าหน้าที่ด่านตรวจ สภ.แม่พริก จว.ลำปาง จับกุมผู้ต้องหา 3 ราย พร้อมของกลางไอซ์ จำนวน 600 กก. ยาบ้าจำนวน 4,008,000 เม็ด บริเวณด่านตรวจแม่พริกต่อเนื่องถนนในหมู่บ้านพริกลุ่ม ม.1 ต.แม่พริก อ.แม่พริก จว.ลำปาง และเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2561 เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำด่านตรวจแม่พริก สภ.แม่พริก จว.ลำปาง จับกุมผู้ต้องหา 2 ราย พร้อมของกลาง ยาบ้าจำนวน 2,000,000 เม็ด บริเวณด่านตรวจแม่พริก สภ.แม่พริก จว.ลำปาง

7) สภ.เถิน จว.ลำปาง เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2561 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เถิน จว.ลำปาง ได้ตรวจยึดยาบ้าจำนวน 7,000,000 เม็ด บริเวณป่าละเมาะข้างถนนพหลโยธิน ขาล่อง บ้านแม่วะเด่นชัย หมู่ที่ 5 ตำบลแม่วะ อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง

8) สภ.ห้วยไร่ จว.แพร่ เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2561 เจ้าหน้าที่ตำรวจด่านตรวจห้วยไร่ จับกุมผู้ต้องหา 1 ราย พร้อมของกลาง ยาบ้าจำนวน 1,642,766 เม็ด และไอซ์ จำนวน 10 กิโลกรัม บริเวณด่านตรวจห้วยไร่ สภ.ห้วยไร่ จวงแพร่

9) สภ.แม่เจดีย์ จว.เชียงราย เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2561 เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำด่านตรวจแม่โถ สภ.แม่เจดีย์ จว.เชียงราย จับกุมผู้ต้องหา 3 ราย พร้อมของกลาง ยาบ้าจำนวน 10,000,000 เม็ด บริเวณด่านตรวจแม่โถ สภ.แม่เจดีย์ จว.เชียงราย

10) สภ.งาว จว.ลำปาง เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2561 เจ้าหน้าที่ด่านตรวจยาเสพติดนาแก สภ.งาว จว.ลำปาง ได้ตรวจยึด ยาบ้าจำนวน 6,000,332 เม็ด บริเวณถนนในหมู่บ้าน บ้านดง หมู่ที่ 7 ต.หลวงใต้ อ.งาว จว.ลำปาง

บางกอกแอร์เวย์สเตรียมเปิด 2 เส้นทางบินใหม่ เชียงใหม่-กระบี่ และ เชียงใหม่-หลวงพระบาง (สปป.ลาว) เริ่มปลายมีนาคมศกนี้

กรุงเทพฯ 5 กุมภาพันธ์ 2562 : บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส สายการบินฯ ที่ให้บริการเต็มรูปแบบภายใต้สโลแกน Asia’s Boutique Airline (ความประทับใจแห่งเอเชีย) เตรียมเปิดให้บริการ 2 เส้นทางบินใหม่ โดยสามารถสำรองที่นั่งได้ตั้งแต่วันนี้ และจะเริ่มให้บริการปลายเดือนมีนาคม 2562 นี้ เป็นต้นไป

เส้นทางบิน เชียงใหม่-กระบี่ (เที่ยวเดียว) จะเริ่มให้บริการสัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน (อาทิตย์ อังคาร และพฤหัสบดี) ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคมนี้ และจะปรับเป็นให้บริการทุกวัน วันละ 1 เที่ยวบิน ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2562 เป็นต้นไป ด้วยเครื่องบินแบบแอร์บัส A319 ขนาด 144 ที่นั่ง โดยเที่ยวบิน PG 246 ออกจากเชียงใหม่ เวลา 12.00 น. ถึงกระบี่ เวลา 13.55 น.

เส้นทางบินระหว่าง เชียงใหม่ – หลวงพระบาง (ไป-กลับ) (สปป.ลาว) จะให้บริการสัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน (อังคาร พฤหัสบดี และเสาร์) ด้วยเครื่องบินแบบ ATR 72-600 ขนาด 70 ที่นั่ง โดยเที่ยวบินขาไป PG983 ออกจากเชียงใหม่ เวลา16.30 น. ถึงหลวงพระบาง (สปป.ลาว) เวลา 17.45 น. เที่ยวบินขากลับ PG984 ออกจากหลวงพระบาง (สปป.ลาว) เวลา 18.30 น. ถึงเชียงใหม่ เวลา 19.45 น. โดยจะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2562 เป็นต้นไป

สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสำรองที่นั่งได้ที่ www.bangkokair.com หรือ Call Center โทร. 1771 ตลอด 24 ชั่วโมง ครั้งละ 3 บาท ทั่วไทย (เฉพาะโทรศัพท์พื้นฐาน)

ประชาชนสุขใจ ตำรวจภูธรภาค 5 ส่งมอบโฉนดที่ดินและทรัพย์สิน คืนความสุขให้ประชาชน

ที่ห้องประชุมอาคารสโมสรคุ้มแก้วขวัญดาว กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 จังหวัดเชียงใหม่ พล.ต.ต.จำนงค์ รัตนกุล รองผบช.ภ.5 พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายปกครอง ทหาร ที่ดินจังหวัด สำนักงานอัยการ ปปท.เขต 5 สำนักงานบังคับคดี ในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ได้ร่วมส่งมอบโฉนดที่ดินและทรัพย์สิน คืนความสุขให้ประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำของสังคมตำรวจภูธรภาค 5 ครั้งที่ 7 ตามนโยบายของรัฐบาล ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน จำนวน 128 ราย

ประกอบด้วย โฉนดที่ดิน จำนวน 89 ฉบับ รวมเนื้อที่กว่า 165 ไร่เศษ ,รถยนต์ 19 คัน ,รถจักรยานยนต์ 14 คัน และทรัพย์สินอื่นๆ รวมมูลค่ากว่า 64 ล้านบาทเศษ ซึ่งประชาชนที่เดินทางรับมอบโฉนดที่ดินและทรัพย์สินครั้งนี้ต่างรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก

สำหรับการดำเนินงานนี้ เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อดำเนินการปราบปราบผู้กระทำผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ การสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานในการทำสัญญาเอาเปรียบประชาชน นำไปสู่การปฏิบัติ ภายใต้ยุทธการขุดรากถอนโคน ทำบ้านเมืองน่าอยู่ สำหรับการส่งมอบคืนโฉนดที่ดินคืนความสุขแก่ประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำของสังคม ในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน 6 ครั้งที่ผ่านมา สามารถคืนทรัพย์สินแก่ประชาชน 1059 ราย ประกอบด้วย โฉนดที่ดิน จำนวน 956 ฉบับ รวมเนื้อที่กว่า 1449 ไร่เศษ ,รถยนต์ 47 คัน ,รถจักรยานยนต์ 75 คัน และทรัพย์สินอื่นๆ อีก 1082 รายการ รวมมูลค่ากว่า 1023 ล้านบาท

เทศบาลนครเชียงใหม่ ออกตรวจสอบหาสารปนเปื้อนในอาหาร เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในช่วงเทศกาลตรุษจีน

ที่บริเวณตลาดวโรรส อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ได้มีการจัดกิจกรรมตลาดสะอาด อาหารปลอดภัย ช่วงเทศกาลตรุษจีน โดยมี นายทัศนัย บูรณุปกรณ์ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ เป็นประธานในพิธีเปิด ซึ่งภายในงานได้มีการนำเจ้าหน้าที่งานสารธารณสุข เทศบาลนครเชียงใหม่ ออกรณรงค์ และยังได้มีการสุ่มเก็บตัวอย่างอาหารทั้งอาหารสด และอาหารปรุงสุก รวมทั้งขนมไหว้เจ้าต่างๆ เพื่อทำการตรวจสอบหาสารปนเปื้อน และตรวจสอบมาตรฐานความสะอาดของอาหาร เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค นอกจากนี้ยังได้มีการจัดกิจกรรมการที่ตรวจสารปนเปื้อนในเลือดให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว ที่เดินทางมาจับจ่ายใช้สอยภายตลาดอีกด้วย

โดยทางด้านนายทัศนัย บูรณุปกรณ์ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ ได้กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลตรุษจีน เป็นช่วงที่ประชาชน โดยเฉพาะชาวไทยเชื้อสายจีน มีการออกจับจ่ายเลือกซื้ออาหารเพื่อนำไปประกอบพิธีไหว้เจ้าตามความเชื่อเป็นจำนวนมาก รวมทั้งเป็นช่วงที่มีผู้คนนิยมเดินทางเข้าท่องเที่ยวใน จ.เชียงใหม่ อย่างคึกคัก ดังนั้นทางเทศบาลนครเชียงใหม่ จึงได้มีการนำเจ้าหน้าที่ ออกรณรงค์และตรวจสอบอาหารที่มีการวางจำหน่ายตามตลาดต่างๆ ในตัวเมืองเชียงใหม่ ทั้งอาหารสด,อาหารปรุงสำเร็จ,ผัก และขนมไหว้เจ้าต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนช่วงเทศกาลตรุษจีน

โดยจากการสุ่มตรวจสอบในเบื้องต้น ไม่พบว่ามีการปนเปื้อน เกินมาตรฐานความปลอดภัย พรุ่งนี้ยังจะได้ต่อยอด ในการจัดกิจกรรมดังกล่าว ไปยังตลาดต่างๆในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ เพื่อเป็นการตรวจสอบมาตรฐาน และสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยของอาหารให้แก่ประชาชน นักท่องเที่ยว ที่เดินทางมาเที่ยวยังจังหวัดเชียงใหม่ในช่วงเทศกาลตรุษจีน

กรมควบคุมมลพิษ บูรณาการหน่วยงานในภาคเหนือเฝ้าระวังและรับมือสถานการณ์ปัญหาหมอกควัน ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน

นายสมชาย ทรงประกอบ รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เป็นประธานแถลงข่าวเฝ้าระวังและรับมือสถานการณ์ปัญหาหมอกควันภาคเหนือ ปี 2562 “อาสาด้วยใจ ลดภัยหมอกควัน” ที่สวนหลวงล้านนา ร.9 ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 1 – 3, สถานีพัฒนาที่ดินเชียงใหม่, สบอ.16 (เชียงใหม่), สนง.ป้องกันควบคุมโรคที่ 1 เชียงใหม่, ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ, เกษตรจังหวัดเชียงใหม่, วิทยากรจิตอาสา 904, สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่, สำนักงานป่าไม้ที่ 1, ศูนย์ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มช.และหน่วยวิจัยบูรณาการหมอกควัน มช. ได้ร่วมกันแถลงข่าว

นายสมชาย ทรงประกอบ รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่า ตามที่สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 1-3 (ภาคเหนือ) สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2562 เนื่องมาจากในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยได้ประสบกับปัญหามลพิษทางอากาศ หรือปัญหาไฟป่าและหมอกควันมาอย่างยาวนานกว่า 10 ปี

สถานการณ์ปัญหาจะเริ่มทวีความรุนแรงในช่วงฤดูแล้ง ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงพฤษภาคมของทุกปี สาเหตุหลักคือ การเผาป่า การเผาในพื้นที่เกษตร การเผาสองข้างทางเพื่อกำจัดวัชพืชริมทาง การเผาขยะมูลฝอย และการเผาในที่โล่งทุกพื้นที่ รวมทั้งกิจกรรมของมนุษย์ในเขตเมืองที่ส่งผลให้เกิดมลพิษทางอากาศจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์และฝุ่นละอองขนาดเล็กที่ฟุ้งกระจาย เช่น การคมนาคม โรงงานอุตสาหกรรม การก่อสร้างขนาดใหญ่ ฯลฯ

ประกอบกับลักษณะภูมิประเทศในภาคเหนือ ที่เป็นที่ราบแอ่งกระทะ และลักษณะภูมิอากาศมีความกดอากาศสูง จึงส่งให้ฝุ่นละอองขนาดเล็กแขวนลอยอยู่ในอากาศนานขึ้น ไม่สามารถลอยตัวขึ้นสู่บรรยากาศเบื้องบนได้ ประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือโดยเฉพาะประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณที่ราบแอ่งกระทะ จึงได้รับผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยมาเป็นเวลายาวนาน

ที่ผ่านมาหน่วยงานต่างๆ ได้มีความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังภายใต้บริบทภารกิจของหน่วยงานสำนักงานสิ่งแวดล้อม ภาค ในฐานะหน่วยงานทางด้านวิชาการที่ต้องสนับสนุนให้เกิดการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ได้เห็นความสำคัญของการจัดการปัญหาโดยกระบวนการชุมชนและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง การสร้างความรับรู้ความเข้าใจการปลูกจิตสำนึก ให้แก่เด็กเยาวชนและประชาชนในพื้นที่ให้มีความตระหนักต่อปัญหา

จึงได้กำหนดจัดงานแถลงข่าวเฝ้าระวังและรับมือสถานการณ์ปัญหาหมอกควันภาคเหนือปี 2562 เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือสถานการณ์ปัญหาหมอกควันและไฟป่าที่จะเกิดขึ้น และเพื่อให้ประชาชนมีการเตรียมตัวของประชาชนในการเฝ้าระวังผลกระทบต่อสุขภาพจากปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM10 และ PM2.5

นอกจากนี้ ได้มีการจัดทำรายงานแจ้งเตือนและคาดการณ์สถานการณ์หมอกควันภาคเหนือประจำปี 2562 เป็นรูปแบบการรายงานรายวันโดยเผยแพร่ผ่านแฟนเพจ Facebook “อากาศบ้านเฮา” เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ ข้อมูลข่าวสารอย่างทันต่อเหตุการณ์ และมีแนวทางในการป้องกันตนเองเมื่อสถานการณ์เริ่มทวีความรุนแรงขึ้น พร้อมกับดำเนินตามนโยบายภายใต้แนวทาง “4 มาตรการเชิงพื้นที่ 4 มาตรการบริหารจัดการ” ภายใต้ พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 ประกอบด้วย 4 พื้นที่หลัก ได้แก่ 1. พื้นที่ป่าอนุรักษ์และป่าสงวนแห่งชาติ 2. พื้นที่เกษตรกรรม 3. พื้นที่ชุมชนและเขตเมือง 4. พื้นที่ริมทาง

สำหรับ 4 มาตรการบริหารจัดการ ได้แก่ 1. ระบบบัญชาการเหตุการณ์ 2.มาตรการสร้างความตระหนัก 3. มาตรการลดปริมาณเชื้อเพลิง และ 4. มาตรการจิตอาสาประชารัฐ

รวมถึงการกำหนดห้วงเวลาห้ามเผา การเพิ่มประสิทธิภาพของการเข้าเผชิญเหตุและดับไฟ เฝ้าระวังไม่ให้เกิดการเผาในทุกพื้นที่เสี่ยง และดำเนินมาตรการเพื่อเปลี่ยนกลุ่มคนจุดไฟเผาป่าให้เป็นเครือข่ายในการเฝ้าระวังและดับไฟ การรณรงค์สร้างจิตสำนึกอย่างต่อเนื่อง มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายคนจุดไฟเผาป่าที่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสร้างความเข้าใจ อาจมีการจับกุมดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดเผาป่าในห้วงเวลาห้ามเผา โดยจังหวัดเชียงใหม่ กำหนดช่วงเวลาห้ามเผา ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม – 30 เมษายน 2562 รวมถึงกระจายข่าวไปสู่ชุมชนเพื่อสร้างกระแสถึงตัวให้เกิดความกลัวและไม่กล้าฝ่าฝืนข้อกำหนดของจังหวัด อำเภอ และหมู่บ้าน

การสื่อสารประชาสัมพันธ์และสร้างจิตสำนึก ต้องมีรูปแบบที่ชัดเจน เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย ภาษาที่ใช้ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่มีความหลากหลายของภาษาและกลุ่มชาติพันธ์ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการติดตามสถานการณ์ ทางเทคโนโลยีดาวเทียมและระบบภูมิสารสนเทศ เพื่อสนับสนุนการกำหนดแผนเผชิญเหตุและดับไฟให้มีประสิทธิภาพ การแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนอย่างยั่งยืน โดยเน้นการสร้างความร่วมมือและประสานประเทศเพื่อนบ้านให้ลดการเผาและหมอกควัน ทั้งในระดับภูมิภาคอาเซียนทางการผลักดันการดำเนินงานตามแผนการ เปลี่ยนให้ภูมิภาคอาเซียนเป็นภูมิภาคปลอดหมอกควันข้ามแดนภายในปี 2563

สำนักการศึกษา เทศบาลนครเชียงใหม่ จัดอบรมส่งเสริมศักยภาพของนักเรียน เพื่อปรับตัวสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0

เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2562 นายสุนทร ยามศิริ รองนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ เป็นประธานเปิดโครงการส่งเสริมศักยภาพนักเรียนในสถานศึกษาสังกัดเทศบาลนครเชียงใหม่ ซึ่งในปัจจุบันสังคมไทยก้าวสู่โลกดิจิตอลอย่างรวดเร็ว การศึกษาจึงเป็นเครื่องมือในการยกระดับคุณภาพและศักยภาพคนในประเทศ

นอกจากความรู้ทางวิชาการแล้ว ยังมีความจำเป็นจะต้องปลูกฝังให้ผู้เรียนมีทักษะด้านการคิดอย่างวิจารณญาน มีทักษะความคิดสร้างสรรรค์ ความร่วมมือ ภาวะผู้นำ รวมทั้งการสื่อสารและรู้เท่าทันสื่อ และจะต้องได้รับการส่งเสริมพัฒนาคุณภาพและศักยภาพของนักเรียนทั้งด้านสติปัญญา ความสามารถและความถนัดของแต่ละคนให้สามารถปรับตัวในการศึกษาต่อและการดำเนินชีวิตในยุคไทยแลนด์ 4.0

สำนักการศึกษา เทศบาลนครเชียงใหม่ จึงได้จัดทำโครงการส่งเสริมศักยภาพของนักเรียนในสถานศึกษาเทศบาลนครเชียงใหม่ ประจำปี 2562 ขึ้น เพื่อเป็นการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพและศักยภาพของนักเรียน โดยมีนักเรียนสังกัดเทศบาลฯ ระดับประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 346 คน อบรม ณ พุทธสถานเชียงใหม่และระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 137 คน ณ โรงเรียนเทศบาลวัดศรีปิงเมือง

โดยได้รับความรู้จากทีมวิทยากรจาก บริษัท อักษรเจริญทัศน์ จำกัด ที่ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหา การปรับตัวเข้ากับสังคมแห่งการเรียนรู้ เทคนิคการศึกษา รวมถึงเทคนิคในการทำแบบทดสอบ O-net ตามที่กระทรวงศึกษาได้ประกาศการใช้ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ เป็นองค์ประกอบหนึ่งในการตัดสินผลการเรียนของนักเรียนที่จบหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน