เชียงใหม่จัดงาน”คลินิกเกษตรเคลื่อนที่ ไตรมาสที่ 3″

เชียงใหม่จัดงาน”คลินิกเกษตรเคลื่อนที่ ไตรมาสที่ 3″

นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานเปิดโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ ไตรมาสที่ 3 ประจำปีงบประมาณ 2561 นายสมพล แสนคำ เกษตรจังหวัดเชียงใหม่กล่าวรายงาน ณ เทศบาลเมืองแกนพัฒนา ตำบลอินทขิล อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่

โครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนทีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริการแก่เกษตรกรที่ประสบปัญหาด้านการผลิตทางการเกษตรได้อย่างทันเวลา และสอดคล้องกับความต้องการของเกษตรกร ซึ่งมีการบูรณาการระหว่างหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กว่า15หน่วยงาน นักวิชาการ หน่วยงานส่งเสริม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมพัฒนาเกษตรกรให้สามารถทำการผลิตทางการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมด้านพืช ประมง ปศุสัตว์

ในครั้งนี้ ได้กำหนดการจัดกิจกรรมวันที่ 24-25 พฤษภาคม 2561กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย การให้บริการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ ได้แก่ คลินิกพืช คลินิกดิน คลินิกปศุสัตว์ คลินิกประมง คลินิกข้าว คลินิกยางพารา คลินิกชลประทาน คลินิกสหกรณ์ คลินิกบัญชี คลินิกกฎหมาย และคลินิกอื่นๆ รวมถึงการจำหน่ายสินค้าคุณภาพจากกลุ่มวิสาหกิจชุมชน กลุ่มแม่บ้านเกษตรกร ตลาดเกษตรกร และการให้บริการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน

ทหารพร้อมรับมือภัยพิบัติช่วยเหลือชาวบ้านทันที มณฑลทหารบกที่ 33 พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมซ้อมแผนเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติหากเกิดเหตุการณ์เข้าพื้นที่ทันที

พลตรีกรีพล อุทิตสาร ผู้อำนวยการสำนักปฏิบัติภารกิจความมั่นคงภายใน จังหวัด ที่ 15 ได้ไปตรวจเยี่ยมกำลังพล ที่ศูนย์การฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 33 ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้มีการธาธิตการใช้ยุทโธปกรณ์ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางน้ำ และการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉิน รวมทั้งการสาธิตการใช้รถครัวสนามในการประกอบอาหารเพื่อแจกจ่ายแก่ผู้ประสบภัย นอกจากนี้ยังได้มีการตรวจเยี่ยมกำลังพล เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติงาน

สำหรับการตรวจความพร้อมการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในครั้งนี้ ถือเป็นการเตรียมความพร้อมทั้งบุคลากร เจ้าหน้าที่ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในการบรรเทาสาธารณภัย ในการรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งในปัจจุบันถือว่าเป็นมหันตภัยที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน

ดังนั้นทุกหน่วยงานจึงจะต้องร่วมกันทำงานแบบบูรณาการ ทั้งภาครัฐ เอกชน มูลนิธิ ต่างๆ ในการเตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือเมื่อเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ซึ่งหากเกิดภัยพิบัติก็จะสามารถนำเอายุทโธปกรณ์ เครื่องมือเข้าไปช่วยเหลือประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว ฉับไว ลดความสูญเสียทั้ง ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้ประสบภัย

ภาครัฐ เอกชนเชียงใหม่ จัดเวทีหารือเชื่อมตลาดสินค้าเกษตรแปลงใหญ่ มุ่งพัฒนาให้สอดคล้องกับแหล่งรับซื้อ

ภาครัฐ เอกชนเชียงใหม่ จัดเวทีหารือเชื่อมตลาดสินค้าเกษตรแปลงใหญ่ มุ่งพัฒนาให้สอดคล้องกับแหล่งรับซื้อ

นายสมพล แสนคำ เกษตรจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเวทีสัมมนาเชิงปฏิบัติการเชื่อมโยงการตลาด ณ โรงแรมธาริน ตำบลช้างเผือกอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ โดยเป้าหมายเป็นผู้รับผิดชอบแปลงใหญ่ระดับอำเภอ ประธานแปลงใหญ่ กว่า 140 คน

นายสมพล แสนคำ เกษตรจังหวัดเชียงใหม่ ให้ข้อมูลว่าจังหวัดเชียงใหม่ดำเนินการโครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแปลงใหญ่ ตามนโยบาย หลัก 15 ด้าน กรมส่งเสริมการเกษตรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นการดำเนินการรูปแบบบูรณาการทั้งภาค รัฐและเอกชน เพื่อเป็นการจัดการทรัพยากรทุกด้านในระบบการผลิตโดยอาศัยการรวมกลุ่มเกษตรกรที่ผลิตพืชคล้ายกันบริหารจัดการเพื่อให้บรรลุวัตุประสงค์ 5 ด้าน จ.เชียงใหม่เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2559 -2561 ต่อเนื่อง 3 ปี ทั้งสิ้น71 แปลงครอบคลุมกว่า15 ชนิดทั้งพืชและสัตว์

ครั้งนี้หัวหน้ากลุ่มยุทธศาสตร์แและสารสนเทศนางภณิดา ชัยปัญญา กล่าวว่าการสัมนาในครั้งนี้เพื่อเชื่อมโยงตลาดกับทั้งทางภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นพานิชย์จังหวัดเชียงใหม่ อุตสาหกรรมจังหวัด สหกรณ์การเกษตร และเอกชนอย่าง ห้างสรรพสินค้า Big c Top suppermarket lotus Makro และบริษัท ประชารัฐรักสามัคคี จำกัด ให้ผู้ผลิตหรือเกษตรกรเรียนรู้ทิศทางตลาดและกระแสความต้องการผู้บริโภคเพื่อพัฒนาสินค้าของตนให้สอดคล้องกับแหล่งที่จะรับซื้อโดยมีหน่วยงานบูรณการภาครัฐคอยให้การสนับสนุนเพิ่มโอกาสสินค้าเกษตรแปลงใหญ่เชียงใหม่สู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศต่อไป

ผู้ประกอบการท่องเที่ยวเชียงใหม่-นักวิชาการจับมือ วางแผนงานท่องเที่ยว และ บริการให้ยั่งยืน

ผู้ประกอบการท่องเที่ยวเชียงใหม่-นักวิชาการจับมือ วางแผนงานท่องเที่ยว และ บริการให้ยั่งยืน

ที่ห้องประชุมอธิการบดี มหาวิทยาลัยพายัพเชียงใหม่ ได้มีการประชุมระดมความคิดเห็นทางด้านวิชาการและผู้ประกอบการบริษัทนำเที่ยวเช่น ซิปไลน์,ปางช้าง,ภัตตาคาร ฯลฯ ในเรื่องการพัฒนาแผนแม่บทเพื่อพัฒนาเชียงใหม่ 12 องค์กร โดยมี ดร.รักษ์ พรหมปาลิต อธิการบดี มหาวิทยาลัยพายัพ อาจารย์คมกฤต วงค์นาง รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษามหาวิทยาลัยพายัพ นายอรรฆพจน์ วงศ์พึ่งไชย ผู้ประสานงานโครงการฯ ฝ่ายสถาบันอุดมศึกษา และ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

นายไพรัช โตวิวัฒน์ CEO บริษัท เชียงใหม่วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด นายชำนาญ เผือกวัฒนะ เลขาธิการสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ นางสาวอัญชลี วิทยานันทพรกุล ผู้บริหาร บ. CM.Paradise Tour เชียงใหม่ โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมได้แก่ บริษัท CM. Paradise Tour Tube Trek Water Park Flight of the Gibbon Sky Line Zipline Flying Squirrels ATV on Tour ปางช้างแม่สา Sky View Palaplane และสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆอีกมากมายในจังหวัดเชียงใหม่

อาจารย์คมกฤต วงค์นาง รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษามหาวิทยาลัยพายัพ เปิดเผยว่าการประชุมวันนี้เพื่อที่จะได้รวบรวมข้อมูลด้านต่างๆ เพื่อที่นำมาวิเคราะห์ของสถาบันการศึกษาแล้ว นำมาเป็นข้อมูล อบรม ผู้ประกอบการในการร่างแผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว โดยทางคณะกรรมการร่วมเอกชน 3 สถาบัน ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ได้รับฟังความคิดเห็นของผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว วางแผนแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชียงใหม่ ให้มีความยั่งยืน

นายอรรฆพจน์ วงศ์พึ่ง อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่าตลอดเวลาที่ผ่านได้มีความพยายามของภาคการศึกษา และภาคเอกชนผู้ประกอบการท่องเที่ยว ในการพัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ ในการเติมเต็มของภาคเอกชนกับภาครัฐให้ เชียงใหม่เป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก ถึงแม้ว่ายังไม่ได้มีการวางระบบท่องเที่ยวเลย เมื่อมีการวางแผน จะทำให้เชียงใหม่ มีศักยภาพด้าน การท่องเที่ยวมากขึ้น ซึ่งได้มีจัดทำ แผนแม่บทเพื่อพัฒนาจังหวัดเชียงใหม่ 20 ปี (ฉบับภาเอกชน-ภาคการศึกษา) ทางด้านวิชาการสถาบันการศึกษา

ประกอบด้วยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัเทคโนโลยงคลล้านนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ และ มหาวิทยาลัยพายัพ โดยมีการประชุมร่วมกันมา 4 ครั้ง การประชุมก็ทำการเสนอแผนงานเพื่อที่จะนำมาวางไว้ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ ว่าจะนำไปไว้ตรงเช่น การลดความเลื่อมล้ำของประชาชน 1 ใน 6 แผนยุทธศาสตร์ชาติ ก่อนนำเสนอให้กับ จังหวัดเชียงใหม่  โดยเน้นทุกภาคส่วนของเอกชนมีความแข็งแรงและการเสริมสร้างศักยภาพของคนในด้านการท่องเที่ยวเช่น บุคคล การสื่อสาร การก่อสร้าง แหล่งรวบรวมข้อมูลงานวิจัยอย่างมีระบบ เพื่อนำมาพัฒนาและชี้แนะเชิงสาธารณะและเชิงนโยบาย

สสส.จัดอบรมครูและผู้ดูแลเด็กปฐมวัย เพื่อส่งเสริมให้เด็กรักการอ่านหนังสือและเสริมการพัฒนาสื่อสำหรับเด็ก

สสส.จัดอบรมครูและผู้ดูแลเด็ก เสริมศักยภาพครูและผู้ดูแลเด็กปฐมวัย เพื่อส่งเสริมการอ่านหนังสือและเสริมการพัฒนาสื่อสำหรับเด็ก

ที่ห้องรอยัลออคิดบอลรูม โรงแรมเชียงใหม่ออร์คิด อําเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ทางเจ้าหน้าที่แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ สมาคมครูผู้ดูแลเด็กศรีนครพิงค์เครือข่ายการศึกษาทางเลือกภาคเหนือ และเครือข่ายเชียงใหม่อ่าน จัดอบรมวิชาการปฏิบัติการสร้างเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยด้วยหนังสือและกิจกรรมส่งเสริมการอ่านในโครงการ “สร้างสรรค์หนังสือและสื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยเชียงใหม่เพื่อพัฒนาศักยภาพครูและผู้ดูแลเด็กปฐมวัย” ซึ่งเป็นบุคลากรที่ทํางานกับเด็กปฐมวัยจังหวัดเชียงใหม่

ให้เกิดความรู้ความเข้าใจ และสามารถส่งเสริมการอ่านในกลุ่มเด็กเล็ก เข้าร่วมจำนวนกว่า1,000 คน จากศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและสถานรับเลี้ยงเด็ก 600 แห่ง ภาครัฐและภาคเอกชนโดยแบ่งเป็น 4 รุ่นรุ่นที่ 1 วันที่ 19 พฤษภาคม 2561รุ่นที่ 2 วันที่ 20 พฤษภาคม 2561รุ่นที่ 3 วันที่ 26 พฤษภาคม 2561และรุ่นที่ 4 วันที่ 27 พฤษภาคม 2561

 

นางสุดใจ พรหมดเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน กล่าวว่า ปัจจุบันสภาพสังคมกำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่ความทันสมัยตามกระแสการพัฒนา จนทำให้คนส่วนใหญ่มีวิถีชีวิตอยู่กับการบริโภคตามกระแส ติดสื่อและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่สำคัญคือเด็กเล็กส่วนใหญ่ฝากไว้กับปู่ย่าตายายเลี้ยงดู ผู้ปกครองส่วนใหญ่ยังมีความเชื่อว่าเด็กปฐมวัย 0-6 ปี ยังเล็กเกินกว่าจะอ่านหนังสือ จึงหันมาให้บุตรหลานดูโทรทัศน์ ใช้มือถือ และแท็บแลตแทน ที่น่าตกใจยังพบว่าครูและผู้ดูแลศูนย์เด็กเล็กส่วนใหญ่ยังขาดทักษะความรู้ในการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสม

หากครูได้รับความรู้และทักษะที่ถูกต้องและเหมาะโดยเฉพาะการใช้สื่อและหนังสือนิทานสำหรับเด็กเล็กแล้ว ก็จะมีส่วนสร้างวัฒนธรรมการอ่านให้เด็กปฐมวัย มีส่วนกระตุ้นให้พ่อแม่ ผู้ปกครองหันมาสนใจและเห็นความสำคัญของการอ่านในเด็กเล็ก เพราะเด็กเล็กสำหรับวัยนี้ ผู้ใหญ่ต้องอ่านให้ฟัง เพื่อสร้างความสุข กระตุ้นการเรียนรู้ และพัฒนาศักยภาพของสมองซึ่งเติบโตกว่า 80 % ของชีวิตมนุษย์

แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ สมาคมครูผู้ดูแลเด็กศรีนครพิงค์เครือข่ายการศึกษาทางเลือกภาคเหนือ และเครือข่ายเชียงใหม่อ่าน ได้ตระหนักถึงสถานการณ์การอ่านในจังหวัดเชียงใหม่ จึงได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านร่วมกันอย่างต่อนื่อง ที่ผ่านมาสามารถกระตุ้นการส่งเสริมการอ่านในพื้นที่และกลุ่มเป้าหมายในระดับหนึ่ง ทั้งนี้จึงเห็นว่าหากต้องการปลูกฝังการส่งเสริมรักการอ่านอย่างยั่งยืนควรเริ่มต้นตั้งแต่กลุ่มเด็กปฐมวัย 0-6 ปี และกลุ่มวัยเรียน

โดยครอบครัวและท้องถิ่นต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ของเด็ก โดยมีนโยบายและแนวปฏิบัติส่งเสริมการอ่านในทุกระดับ ตั้งแต่ในครอบครัว ชุมชน และโรงเรียน เพื่อนำไปสู่เป้าหมายสำคัญของการขับเคลื่อนการส่งเสริมการอ่านจังหวัดเชียงใหม่ เป็นนครแห่งการอ่านต่อไป

ชุดผ้าเมือง-ชุดไทย ปลิวไสวเต็มเวียงเจียงใหม่ เทศบาลนครเชียงใหม่จัดกิจกรรมเดิน-วิ่งวิถีล้านนา สืบสานตำนานวัฒนธรรม

ชุดผ้าเมือง-ชุดไทย ปลิวไสวเต็มเวียงเจียงใหม่ เทศบาลนครเชียงใหม่จัดกิจกรรมเดิน-วิ่งวิถีล้านนา สืบสานตำนานวัฒนธรรม

ที่บริเวณลานด้านหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์สามกษัตริย์ นายปวิณ ชำนิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่เป็นประธานเปิดงานเดิน-วิ่งล้านนา สืบสานตำนานวัฒนธรรม โดยมี นายทัศนัย บูรณุปกรณ์ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ คณะผู้บริหารและพนักงานเทศบาลนครเชียงใหม่ ตลอดจนนักวิ่งกว่าหนึ่งพันชีวิตเข้าร่วมอย่างคับคั่ง

กิจกรรมในครั้งนี้เป็นการพัฒนาศัพยภาพด้านท่องเที่ยวของชุมชน ส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรง อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชุมชน ตามนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเชิงกีฬา (Sport Tourism) โดยแบ่งการแข่งขันออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ เดิน-วิ่ง 5 กิโลเมตร เดินวิ่งแฟนซี ออเจ้า (fun run) 5 กิโลเมตร และ มินิมาราธอน 11.5 กิโลเมตร

โดยในประเภทเดิน-วิ่งแฟนซี 5 กิโลเมตร ผู้เข้าแข่งขันจะแต่งกายชุดไทย หรือ ชุดพื้นเมือง หรือเป็น “นักวิ่งออเจ้า” เพื่อสร้างสีสัน โดยเส้นทางการวิ่งจะผ่านสถานที่สำคัญในเขตรอบคูเมืองเชียงใหม่ รวมถึงเป็นโอกาสพิเศษที่จะได้วิ่งรอบเจดีย์หลวง ภายในวัดเจดีย์หลวงวรวิหารอีกด้วย

ข้อมูลข่าว-ภาพ เทศบาลนครเชียงใหม่

เปิดสถานออกกำลังกาย”คิง ออฟ ยิม”

เปิดสถานออกกำลังกาย”คิง ออฟ ยิม”

พลตำรวจตรีประจวบ วงศ์สุข รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ได้มาเป็นประธานการเปิดสถานออกกำลังกาย คิง ออฟ ยิม เลขที่ 169 หมู่ 6 ถนนสายสันกำแพงสายใหม่ ต.ไชยสถาน อ.สารภี จ.เชียงใหม่ โดยมีนางนิพัธธา คลัก ผู้บริหารคิง ออฟ ยิม ให้การต้อนรับ โดยมีบรรดาแขกผู้เกียรติมาร่วมงานพิธีเปิดอย่างครึกคัก

นางนิพัธธา คลัก ผู้บริหารคิง ออฟ ยิมกล่าวว่าปัจุบันประชาชนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญและหันมาดูแลสุขภาพกันมากขึ้น หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า”สุขภาพดี ไม่มีขาย อยากได้ ต้องทำเอง” เพราะว่าการที่เราจะมีสุขภาพที่ดีได้นั้น เราต้องออกกำลังกาย และทานอาหารที่มีประโยชน์ และพักผ่อนให้เพียงพอ ซึ่งปัจจุบันคนส่วนใหญ่ร้อยละ 80 เปอร์เซ็นจะตรงไปสนามกีฬา หรือไม่ก็สวนสาธารณะ เพื่อทำกิจกรรมออกกำลังกายต่างๆเป้นประจำทุกวัน

จากมุมมองดังกล่าวเราจึงจัดสร้างสถานที่ออกกำลังกายนี้ขึ้นมาในพื้นที่กว่า 896 ตารางเมตร ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ พร้อมอุปกรณ์ออกกำลังกายที่ทันสมัยครบวงจร กว่า 300 ชิ้น เพื่อรองรับประชาชนที่สนใจจะเข้ามาออกำลังกายโดยเราจะมีเทรนเนอร์ที่มีประสพการณ์ คอยแนะนำดูแลประชาชนทุกคนอย่างใกล้ชิด เพื่อประชาชนจะได้มีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์

คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เจ้าภาพแข่งขันกีฬาวิทยาศาสตร์สัมพันธ์แห่งประเทศไทย “อะตอมเกมส์” ครั้งที่ 27

ศาสตราจารย์ ดร.ธรณินทร์ ไชยเรืองศรี คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ในปีนี้ทางคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาวิทยาศาสตร์สัมพันธ์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 27 โดยจะมีนิสิต นักศึกษาจาก 21 สถาบันทั่วประเทศ เข้าร่วมการแข่งขันกีฬา 10 ประเภท ได้แก่ ฟุตบอล ฟุตซอล วอลเลย์บอล บาสเก็ตบอล เซปักตะกร้อ เปตอง แบดมินตัน กรีฑา เทเบิลเทนนิส และ E-Sport ในระหว่างวันที่ 28 พฤษภาคม-2 มิถุนายน 2561 ณ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

สำหรับการแข่งขันกีฬาวิทยาศาสตร์สัมพันธ์แห่งประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 โดยแกนนำกลุ่มนิสิต นักศึกษาในขณะนั้น โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างสุขภาพที่ดี สร้างความสามัคคี และความสนุกสนาน สนิทสนมคุ้นเคยกันระหว่างนิสิต นักศึกษาด้านวิทยาศาสตร์จากสถาบันต่างๆ เข้าร่วมแข่งขัน ซึ่งในปีนี้ใช้ชื่อการแข่งขันว่า “นพบุรีเกมส์” โดยมีการใช้สัญลักษณ์ของช้าง อันเป็นสัญลักษณ์ของภาคเหนือและเป็นตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นตัวนำโชค

ทั้งนี้จึงอยากเชิญชวนทุกท่านร่วมส่งแรงใจเชียร์นักกีฬาวิทยาศาสตร์จากทั่วประเทศที่จะมาเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ สามารถติดตามรายละเอียดการแข่งขันได้ที่ http://atomgames27.science.cmu.ac.th และ Facebook : ATOM Games’27

ป.ป.ส. อบรมสร้างการรับรู้ ความเข้าใจให้กับผู้ปฏิบัติงานควบคุม และกำกับดูแลการปลูกเฮมพ์ (กัญชง) เป็นพืชเศรษฐกิจ

ป.ป.ส. อบรมสร้างการรับรู้ ความเข้าใจให้กับผู้ปฏิบัติงานควบคุม และกำกับดูแลการปลูกเฮมพ์ (กัญชง) เป็นพืชเศรษฐกิจ

นายศิรินทร์ยา สิทธิชัย เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) มอบหมายให้ นายชลัยสิน โพธิเจริญ รองเลขาธิการ ป.ป.ส. เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมการปฏิบัติงานควบคุมและกำกับดูแลการปลูกเฮมพ์ (กัญชง) เป็นพืชเศรษฐกิจ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-18 พฤษภาคม 2561 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เจ้าหน้าที่มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการควบคุม กำกับดูแลการปลูกเฮมพ์ (กัญชง) และพิจารณาอนุญาตเฮมพ์ (กัญชง) เพื่อให้การเพาะปลูกเฮมพ์ (กัญชง) เป็นพืชเศรษฐกิจเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศอย่างแท้จริง

ผู้เข้าร่วมอบรม ประกอบด้วย คณะทำงานควบคุมและกำกับดูแลเฮมพ์ (กัญชง) ระดับจังหวัด จำนวน 8 จังหวัด (เชียงใหม่ เชียงราย น่าน ตาก แพร่ เพชรบูรณ์ ปทุมธานี และขอนแก่น) ชุดปฏิบัติการตรวจสอบเฮมพ์ จำนวน 14 อำเภอ และ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. รวม 150 คน ณ โรงแรมดวงตะวัน เชียงใหม่ และศึกษาการปฏิบัติงาน ณ สถานีเกษตรหลวงปางดะ จังหวัดเชียงใหม่

การดำเนินงานครั้งนี้ได้ดำเนินการตาม มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 6 กันยายน 2559 เห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต จำหน่ายหรือไว้ครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 5 เฉพาะเฮมพ์และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดและสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณากำหนดมาตรการควบคุมและกำกับดูแลให้เข้มงวด โดยจัดตั้งกลไกการควบคุมในระดับต่างๆ

คำสั่งศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ ที่ 7/2560 เรื่อง มาตรการควบคุมและกำกับดูแลเฮมพ์ (กัญชง) เป็นพืชเศรษฐกิจ ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2560 กำหนดให้ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัด แต่งตั้งคณะทำงานควบคุมและกำกับดูแลเฮมพ์ ระดับจังหวัด 1 ชุด มีหน้าที่ในการปฏิบัติการควบคุม และตรวจสอบในพื้นที่จังหวัด และให้ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอำเภอแต่งตั้งชุดปฏิบัติการตรวจสอบระดับอำเภอ 1 ชุด มีหน้าที่ในการปฏิบัติการควบคุมและตรวจสอบในพื้นที่ระดับอำเภอ

ทั้งนี้ ในปี พ.ศ.2561 มีพื้นที่ ที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้ว จำนวน 4 จังหวัด 8 อำเภอ ได้แก่ อำเภอสะเมิง ฝาง แม่วาง แม่แจ่ม หางดง จังหวัดเชียงใหม่ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย อำเภอสองแคว จังหวัดน่าน และอำเภอพบพระ จังหวัดตาก และอยู่ระหว่างยื่นขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจนถึงขณะนี้ มีจำนวน
5 จังหวัด 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์
อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี และอำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น

มีพื้นที่อนุญาตมีไว้ครอบครอง จำนวน 1 จังหวัด ได้แก่ อำเภอเมืองจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งจะต้องอบรมชี้แจงทำความเข้าใจกลไกการทำงานในพื้นที่ทั้ง 2 ระดับ ให้มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงานในพื้นที่ที่มีการขออนุญาตได้ ตลอดจนทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่และข้างเคียง ให้เข้าใจกฎหมายและการปลูกเฮมพ์ (กัญชง) ในพื้นที่

โดยในการอบรมจะได้นำผู้เข้ารับการอบรมลงพื้นที่สถานีเกษตรหลวงปางดะ เพื่อศึกษาการดำเนินงานการวิจัยและการปรับปรุงสายพันธุ์กัญชง การจัดระบบการปลูกเฮมพ์ ภายใต้ระบบควบคุมให้มีปริมาณสารเตตราไฮโดรแคนนา บินอล ต่ำกว่า 0.3 % และวิธีการควบคุมและกำกับดูแลการปลูกกัญชงจากภาครัฐ ที่ได้กำหนดการขออนุญาตปลูก พื้นที่ปลูก และให้ใช้ประโยชน์ได้เฉพาะตามที่ได้รับอนุญาต และต้องมีการตรวจวัดปริมาณสาร THC ของกัญชงที่ปลูก ต้องไม่เกิน ร้อยละ 1.0 ต่อน้ำหนักแห้ง เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำกัญชงไปใช้ในทางที่ผิด แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการใช้ประโยชน์จากพืชกัญชงให้มากขึ้นด้วย

คณะแพทยศาสตร์ มช. จัดโครงการส่งเสริมการดูแลผู้สูงอายุ

คณะแพทยศาสตร์ มช. จัดโครงการส่งเสริมการดูแลผู้สูงอายุ

ที่ห้องประชุมชั้น 15 อาคารเฉลิมพระบารมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทางคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยหน่วยจิตเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับคลินิกจิตเวชผู้สูงอายุและศูนย์การศึกษาทางจิตเวชศาสตร์เชียงใหม่ จัดโครงการส่งเสริมการดูแลผู้สูงอายุ (Caregivers’Training Day) เรื่องโรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุ ครั้งที่ 8 ประจำปี 2561 เพื่อให้ผู้สูงอายุ ญาติ ผู้ดูแลและบุคคลทั่วไป มีความรู้ มีศักยภาพ และทักษะเกี่ยวกับ “โรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุ” ให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม และมีคุณภาพชีวิตที่ดี

ศ.พญ.ณหทัย วงศ์ปการันย์ หัวหน้าหน่วยจิตเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่าในปัจจุบันสังคมไทยมีจำนวนผู้สูงอายุมากขึ้น จนเติบโตเป็นสังคมผู้สูงอายุที่ควรได้รับความสนใจมากขึ้น ดังนั้นผู้สูงอายุจะต้องเผชิญกับการดำรงชีวิตที่เปลี่ยนไป เพราะต้องหยุดงาน มีรายได้ลดลง ตลอดจนต้องเผชิญกับภาวะสูญเสียบุคคลใกล้ชิด มีความเสื่อมถอยของการทำงานในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย

มีภาวะสุขภาพที่เสื่อมลง มีสารชีวเคมีและฮอร์โมนลดลง ทำให้มีความเสี่ยงสูงในด้านความเจ็บป่วย ทั้งทางร่างกายและจิตใจ รวมถึงบางรายอาจถึงกับมีโรคของสุขภาพจิตได้ การเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม อารมณ์ หรือการรับรู้และความสามารถในการดูแลตนเองอาจทำให้ต้องการผู้ดูแลในการช่วยทำกิจวัตรประจำวัน ในการเฝ้าระวังการเกิดอุบัติเหตุ เดินหลงทาง หรือสูญหาย เป็นต้น

ภาวะซึมเศร้าเป็นภาวะทางสุขภาพจิตที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ ความชุกของโรคซึมเศร้า ในประชากรสูงอายุทั่วโลกประมาณร้อยละ 10.3 ในประเทศแถบเอเชียพบภาวะซึมเศร้าประมาณ ร้อยละ 11.3-61.4 ผู้สูงอายุไทยในชุมชนมีภาวะซึมเศร้าประมาณร้อยละ 17.5-21.0 ในจังหวัดเชียงใหม่นั้นพบผู้สูงอายุในชุมชนเป็นโรคซึมเศร้าร้อยละ 5.9 ในคลินิกตติยภูมิพบอุบัติการณ์การเกิดโรคซึมเศร้า และโรคซึมเศร้าเรื้อรัง (dysthymia) ร้อยละ 23.7

และผู้สูงอายุไทยในบ้านพักคนชราเป็นโรคซึมเศร้าประมาณร้อยละ 24 จากการดำเนินการคลินิกจิตเวชผู้สูงอายุฯ เป็นระยะเวลากว่า 10 ปี พบว่าญาติผู้ดูแลต้องการทราบถึงโรค อาการ และการรักษา ตลอดจนการจัดการกับปัญหาพฤติกรรม การดูแลกิจวัตรประจำวันและการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่เหมาะสมให้แก่ผู้สูงอายุ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการดังกล่าว ดังนั้นทางหน่วยจิตเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ร่วมกับคลินิกจิตเวช ฝ่ายการพยาบาล

จึงจัดทำโครงการอบรมการดูแลผู้สูงอายุขึ้นในหัวข้อ “โรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุ” เพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงอายุ ผู้ดูแล / ญาติและบุคคลทั่วไปมีความรู้ความเข้าใจ และทักษะในการดูแลผู้สูงอายุที่เป็นโรคซึมเศร้า การจัดกิจกรรมนี้จัดเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2553 ได้รับการตอบรับและความสนใจจากผู้เข้าร่วมประชุมเป็นจำนวนมาก จึงได้จัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องมาเป็นประจำทุกปี ซึ่งในปีนี้เป็นปีที่ 8 ที่ทางภาควิชาฯได้จัดขึ้นโดยหวังว่าจะช่วยส่งเสริมให้ผู้สูงอายุได้มีสุขภาพจิตที่ดีและมีชีวิตที่ยืนยาวต่อไป