เชียงราย โจ๋ถีบรถพยาบาลหวังข่มขืนก่อเหตุแล้วรวม 3 ครั้ง เพิ่งพ้นโทษ 5 เดือน

เชียงราย โจ๋ถีบรถพยาบาลหวังข่มขืนก่อเหตุแล้วรวม 3 ครั้ง เพิ่งพ้นโทษ 5 เดือน

วันที่ 14 มิ.ย. 68 เวลา 17.30 น. ที่ สภ.เมืองเชียงราย พลตำรวจตรี มานพ เสนากูล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ได้นำตัวนายภัคพงษ์ หรือต่อ อายุ 27 ปี ชาว ต.รอบเวียง อ.เมืองเชียงราย ผู้ต้องหาตามหมายจับศาล จ.เชียงราย ที่ จ.406/2568 ลงวันที่ 13 มิ.ย.2568 ในข้อหา “กระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่า 15 ปี โดยขู่เข็บด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยบุคคลนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ และข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจและทำให้เสียทรัพย์” หลังจากได้ก่อเหตุขับขี่รถจักรยานยนต์ไล่ถีบรถของ น.ส.ริน อายุ 23 ปี พยาบาลฝึกงานโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ที่กำลังขับขี่รถจักรยานยนต์ออกเวรจากโรงพยาบาลจะกลับหอพักบริเวณแยกฮ่องอ้อ ต.ดอยฮาง อ.เมืองเชียงราย ในช่วงเวลาเกือบเที่ยงคืน จากนั้นยังฉุดลากหญิงสาวลงไปในพงหญ้าข้างทางเพื่อพยายามจะข่มขืนถึง 2 ครั้งแต่ไม่สำเร็จเพราะมีพลเมืองดีที่ขับมาพบ

การจับกุมในครั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ออกติดตามหาตัวโดยติดตามเส้นทางจากกล้องวงจรปิดตามจุดต่างๆ และลักษณะของคนร้าย จนพบว่าได้ไปหลบซ่อนอยู่ในบ้านไม่มีเลขที่พื้นที่หมู่บ้านโล๊ะป่าตุ้ม หมู่ 7 ต.ดอยลาน อ.เมืองเชียงราย ห่างจากตัวเมืองเชียงรายออกไปประมาณ 30 กิโลเมตร เจ้าหน้าที่จึงได้นำกำลังเข้าไปปิดล้อมเอาไว้ก็พบตัวนายภัคพงษ์ จึงจับกุมตัวได้ จากการตรวจในบ้านพบอาวุธปืนยาวไทยประดิษฐ์จำนวน 1 กระบอก เมื่อตรวจร่างกายพบสารเสพติดในร่างกายจึงตั้งข้อหาเพิ่มเติมคือ “มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ,เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย

โดยพลตำรวจตรีมานพ ได้ทำการสอบปากคำ ผู้ต้องหาโดยนายต่อ ได้ให้การว่าในวันที่เกิดเหตุ วันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา ตนได้เดินทางไปหาเพื่อนแต่จำซอยเข้าบ้านเพื่อนไม่ได้จึงได้ขับรถวนไปมาจนกระทั่งมาถึงแยกไฟแดงสันโค้งหลวงเห็นผู้เสียหายขับรถผ่านมา จึงได้ติดตามไปเป็นระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร กระทั่งก่อนถึงจุดเกิดเหตุประมาณ 100 เมตรเป็นที่เปลี่ยว จึงได้ไล่ถีบรถผู้เสียหายจนล้มลงและพยายามล่วงละเมิดทางเพศแต่ไม่สำเร็จเพราะมีรถยนต์ผ่านมาจึงได้หลบหนีไป

นาย ต่อให้การอีกว่า เคยก่อเหตุล่วงละเมิดทางเพศมาแล้วก่อนหน้านี้ 2 ครั้ง ครั้งแรกเป็นอดีตภรรยาที่เลิกรากันไป ได้ก่อเหตุหลังจากทีมีปากเสียงกัน ครั้งที่ 2 ก่อเหตุกับหลานสาวของร้านค้าที่รู้จักกัน พาไปที่กระท่อมข้างทางแล้วก่อเหตุ และครั้งที่ 3 คือครั้งนี้เป็นผู้เสียหายทีเป็นพยาบาลแต่ไม่สำเร็จ นอกจากนี้ยังให้การอีกว่า เพิ่งเคยต้องโทษคดียาเสพติดจำนวน 200 เม็ด ถูกศาลพิพากษาจำคุกได้ 3 ปีเศษ พ้นโทษออกจากเรือนจำมาในเดือน ม.ค.68 ที่ผ่านมา หรือได้เพียง 5 เดือนก็มาก่อเหตุในคดีนี้อีก

จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวนายต่อ มาที่รถจักรยานยนต์ที่ใช้ก่อเหตุเพื่อประกอบหลักฐานการกระทำผิดพร้อมกับหมอกกันน็อค เสื้อและกระเป๋าที่สะพายในวันก่อเหตุ โดยนายต่อรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา หลังจากนั้นได้มี น.ส.ริน และญาติ ได้มาขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้เร่งติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดี ซึ่งทางพลตำรวจตรีมานพ ก็ได้กล่าวกับผู้เสียหายว่าหลังก่อเหตุก็ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ทุกสรรพกำลังในการติดตามตัวคนร้าย แต่เนื่องจากเป็นที่เปลี่ยวและมองไม่เห็นป้ายทะเบียนของรถที่ใช้เป็นพาหนะทำให้การจับกุมได้ยากจึงต้องใช้เวลา ทางพลตำรวจตรีมานพ จึงได้กล่าวขอโทษผู้เสียหายที่ใช้เวลาในการติดตามตัวคนร้ายนาน

พลตำรวจตรีมานพ กล่าวอีกว่า นายภัคพงษ์ หรือต่อ น่าจะก่อเหตุในลักษณะนี้หลายครั้ง ซึ่งหากใครที่ตกเป็นผู้เสียหายให้เข้ามาให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ที่เกิดเหตุ เพื่อจะได้แจ้งข้อกำล่าวหาเพิ่มเติมกับผู้ต้องหา ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เสียหายอีกจำนวนหนึ่งเนื่องจากผู้ต้องหามีพฤติกรรมที่ก่อเหตุซ้ำในลักษณะเดียวกัน

Cr. ณัฐวัตร ลาพิงค์

เชียงราย ทัพเจ้าตาก ยึดยาบ้า 4 ล้านเม็ด ชายแดน

เชียงราย ทัพเจ้าตาก ยึดยาบ้า 4 ล้านเม็ด ชายแดน

วันที่ 14 มิ.ย. 68 เวลา 15.00 น. พลตรี กิดากร จันทรา ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมืองมอบหมายให้ พันเอก อนุวัช ปัญญานันท์ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก กองกำลังผาเมือง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจสอบยาบ้า ประมาณ 4,000,000 เม็ด บริเวณ บ้านเล่าวาง  บ้านบริวาร บ้านแม่หม้อ หมู่ 7 ต.เทอดไทย อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย

การตรวจยึดครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 11.00 น. กำลังทหาร ร้อย.ม.1 ฉก.ทัพเจ้าตาก จัดกำลังพบจำนวน 1 ชุดปฏิบัติการ ทำการลาดตระเวนเฝ้าตรวจเพื่อป้องกันและสกัดกั้นการยาเสพติด บริเวณ บ้านเล่าวาง บ้านบริวาร บ้านแม่หม้อ หมู่ 7 ต.เทอดไทย อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ตรวจพบกระสอบ ประมาณ 15 กระสอบ ซุกซ่อนอยู่ในป่า จึงได้จัดกำลังเพิ่มเติม จำนวน 2 ชุดปฏิบัติการและชุดปฏิบัติการสุนัขทหาร ที่ 8 กองกำลังผาเมือง ทำการควบคุมพื้นที่เพื่อการพิสูจน์ทราบภายในกระสอบดัดแปลง พบบรรจุยาเสพติดให้โทษประเภท1 (ยาบ้า) บรรจุกระสอบละ 300,000 เม็ด จำนวน 10 กระสอบ และบรรจุกระสอบละ 200,000 เม็ด จำนวน 5 กระสอบ รวมทั้งสิ้นประมาณ 4,000,000 เม็ด

สำหรับยาเสพติดราคานี้คาดว่ากลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดได้ลำเลียงยาเสพติดมาจากประเทศเพื่อนบ้านเพื่อมาพักเพื่อส่งต่อไปยังชั้นในของประเทศ แต่ทางเจ้าหน้าที่ได้มาตรวจพบเสียก่อน จึงได้ทำการตรวจยึดเอาไว้ และส่งมอบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่ฟ้าหลวง อย่างไรก็ตามจะได้ทำการตรวจสอบและขยายผลต่อไป

Cr. ณัฐวัตร ลาพิงค์

เชียงราย ห้ามวุ่นญาติผู้ตายรอประชาทัณฑ์ ซ้งปอ ขณะทำแผน ปฏิเสธไม่ได้ฆ่าน้องเมีย

เชียงราย ห้ามวุ่นญาติผู้ตายรอประชาทัณฑ์ ซ้งปอ ขณะทำแผน ปฏิเสธไม่ได้ฆ่าน้องเมีย

วันที่ 14 มิ.ย.68 หลังจากเมื่อคืนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ นปพ.ภ.5, นปพ.ภ.จว.เชียงราย ทหารพราน ฉก.ทพ.31 ฝ่ายปกครอง อ.เวียงแก่น และชุดสืบสวน สภ.เวียงแก่น ได้ร่วมกันจับกุมตัว นายซ้งปอ ผู้ต้องหาคดีฆ่า 2 ศพ คือนางสาวโต้ง แซ่ย่าง ที่เป็นภรรยา และนายชาญชัย ย่างวรกุล สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (ส.อบต.) ปอ น้องชายของนางสาวโต้ง จากการสอบปากคำ นายซ้งปอ รับสารภาพว่าได้ฆ่าภรรยาจริง แต่ปฏิเสธไม่ได้ฆ่านายชาญชัย ที่เป็น ส.อบต.ปอ

วันนี้ พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ผบก.ภ.จว.เชียงราย มอบหมายให้ พ.ต.อ.ศุภกร พรหมเจริญ ผกก.สภ.เวียงแก่น นำกำลังเจ้าหน้าที่ทำการควบคุมตัวนายซ้งปอ ไปทำแผนประกอบรับสารภาพ ที่บ้านในบ้านร่มฟ้าผาหม่น ต.ปอ อ.เวียงแก่น ซึ่งเป็นบ้านหลังที่พบศพนางสาวโต้ง ท่ามกลางการคุ้มกันอารักขาของเจ้าหน้าที่ ตามแผนรักษาความสงบเรียบร้อย ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุความวุ่นวายหรือมีการทำร้ายผู้ต้องหาระหว่างการทำแผนประกอบคำรับสารภาพ มีญาติของผู้เสียชีวิตไปรอติดตามการทำแผนประกอบคำรับสารภาพมากกว่า 30 คน แม้จะป้องกันอย่างเต็มที่แต่จังหวะที่ตำรวจจะนำตัวผู้ต้องหาขึ้นรถกลับ ทางญาติของผู้เสียชีวิตหลายคนได้พยายามแหวกวงล้อมของเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าไปทำร้ายผู้ต้องหา

อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ ไม่ให้มีเหตุรุนแรงจนเสร็จขั้นตอน ก่อนำจะนำตัวผู้ต้องหากลับ สภ.เวียงแก่นทันที

นายวรโชติ แซ่ย่าง น้องชายของผู้เสียชีวิตจากการลงมือก่อเหตุของนายซ้งปอ บอกว่า การจับคนร้ายได้พวกตนก็รู้สึกดีใจ แต่ลึกๆแล้วรู้สึกว่ายังไม่มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เพราะว่าตอนที่พี่สาวยังไม่เสีย พี่สาวเคยบอกว่านายซ้งปอ จะตามเก็บบุคคลในครอบครัวพี่น้องท้องเดียวกัน รวมทั้งจะเก็บผู้ใหญ่บ้านด้วย เพราะเชื่อว่ามีส่วนทำให้ต้องหย่าร้างแยกกันอยู่กับพี่สาว นอกจากนั้นยังเชื่อว่าทางญาติของนายซ้งปออาจจะมีการช่วยเหลือกัน โดยเฉพาะเรื่องอาวุธปืนที่นายซ้งปอบอกว่าไม่มีแต่ฝ่ายตนเชื่อว่านายซ้งปอมีปืน

ด้าน พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ผบก.ภ.จว.เชียงราย ซึ่งลงพื้นที่ไปร่วมสอบสวนผู้ต้องหาพร้อมกับแถลงผลการติดตามจับกุม ได้กำชับกับทาง สภ.เวียงแก่น ถึงแนวทางการสืบสวนสอบสวน เบื้องต้นแม้ว่านายซ้งปอจะปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้ฆ่านายชาญชัย แต่ตำรวจก็ต้องทำการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ให้รัดกุมและรอบด้าน เพื่อสร้างกระจ่างในทุกประเด็นที่เป็นคำถามของสังคม

Cr. ณัฐวัตร ลาพิงค์

ผบ.มทบ.37 ร่วมกับ สมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37 เยี่ยมบุตรที่มีความต้องการพิเศษและบุพการีของกำลังพลที่พิการทุพพลภาพ

ผบ.มทบ.37 ร่วมกับ สมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37 เยี่ยมบุตรที่มีความต้องการพิเศษและบุพการีของกำลังพลที่พิการทุพพลภาพ ของกำลังพลสังกัด มทบ.37

วันที่ 13 มิ.ย. 68 เวลา 1400 พล.ต.จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผบ.มทบ.37 ร่วมกับ พ.ท.หญิง เยาวเรศ ชูก้าน ปฏิบัติหน้าที่ ประธานสมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37 นำสมาชิกสมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37 เยี่ยมบุตรที่มีความต้องการพิเศษและบุพการีของกำลังพลที่พิการทุพพลภาพ ทั้งนี้ได้มอบเงินสงเคราะห์ จำนวน 2 ราย รายละ 3,000 บาท และได้มอบสิ่งของอุปโภคบริโภค รวมถึงนำเจ้าหน้าที่ รพ.ค่ายเม็งรายมหาราช ร่วมตรวจสุขภาพ และมอบกล่องยาสามัญประจำบ้าน ณ บ้านพักกำลังพล สังกัด มทบ.37 ค่ายเม็งรายมหาราช ต.รอบเวียง อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย

Cr. ณัฐวัตร ลาพิงค์

กอ.รมน.จังหวัดเชียงราย จัดอบรมหลักสูตรพัฒนาสัมพันธ์เครือข่ายความมั่นคงระดับผู้บริหาร (พคบ.) รุ่นที่ 3

กอ.รมน.จังหวัดเชียงราย จัดอบรมหลักสูตรพัฒนาสัมพันธ์เครือข่ายความมั่นคงระดับผู้บริหาร (พคบ.) รุ่นที่ 3

วันที่ 14 มิถุนายน 2568 ที่โรงแรมไชยนารายณ์ ริเวอร์ไซด์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย กอ.รมน.จังหวัดเชียงราย จัดการอบรมหลักสูตรพัฒนาสัมพันธ์เครือข่ายความมั่นคงระดับผู้บริหาร (พคบ.) รุ่นที่ 3 เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือ ความเข้าใจ และแนวทางขับเคลื่อนงานด้านความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดเชียงราย

การจัดอบรมครั้งนี้เป็นสัปดาห์ที่ 2 ซึ่งมีเนื้อหาความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ในพื้นที่ภาคเหนือและอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) บรรยายในหัวข้อ “การเชื่อมโยงการค้าสู่ประเทศ GMS” โดย นางณัฐพร มหาไพบูลย์ พาณิชย์จังหวัดเชียงราย ก่อนเข้าสู่การบรรยายสำคัญเรื่อง “สถานการณ์ภัยคุกคามที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงภายในพื้นที่ภาคเหนือและจังหวัดเชียงราย” โดย พล.ต.จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผบ.มทบ.37 เป็นวิทยากรให้ข้อมูลเชิงลึกถึงภัยคุกคามต่างๆ ทั้งในรูปแบบการลักลอบขนยาเสพติด การค้ามนุษย์ และภัยคุกคามใหม่ๆ ในพื้นที่ชายแดน

จากนั้นในช่วงบ่ายมีการบรรยายหัวข้อ “ศาสตร์พระราชาอารยเกษตร” โดย นายธนกร โชคชัดชาญพัฒนา ปราชญ์เพื่อความมั่นคง กอ.รมน.จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นอีกแนวทางในการสร้างความมั่นคงและความมั่นคงชุมชนในพื้นที่ชายแดน

การอบรมครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการดำเนินงานด้านความมั่นคงของ กอ.รมน.จังหวัดเชียงราย ในการสร้างความสัมพันธ์เชิงบูรณาการระหว่างหน่วยงาน และเตรียมพร้อมรับมือภัยคุกคามทุกรูปแบบที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดน

Cr. ณัฐวัตร ลาพิงค์

เชียงราย ปิดเกมไล่ล่า 5 วัน! จับได้แล้ว “ซ้งป๋อ” ฆาตกรโหดเวียงแก่น

เชียงราย ปิดเกมไล่ล่า 5 วัน! จับได้แล้ว “ซ้งป๋อ” ฆาตกรโหดเวียงแก่น

วันที่ 13 มิ.ย. 68 เวลาประมาณ 20.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เวียงแก่น เจ้าหน้าที่ นปพ. ภาค 5, ชุดอาวุธพิเศษยักษ์คราช 49, เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอเวียงแก่น, เจ้าหน้าที่ทหารพราน 3105 และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เทิง ได้สนธิกำลัง ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5, พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ผบก.ภ.จว.เชียงราย, พ.ต.อ.รัฐพล น้อยช่างคิด รอง ผบก.ภ.จว.เชียงราย พ.ต.อ.ศุภกร พรหมเจริญ ผกก.สภ.เวียงแก่น ได้ร่วมกันจับกุมตัวนาย ซ้งป๋อ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 55 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดเทิง ที่ 95/2568 ในข้อหา “ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา” โดยจับได้ที่บ้านหมู่ 19 ตำบลตับเต่า อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย

โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2568 นายซ้งป๋อ ได้ก่อเหตุสะเทือนขวัญฆ่า อดีตภรรยาของตัวเอง และ น้องชายของอดีตภรรยา ภายในพื้นที่บ้านปางค่า ตำบลปอ อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ก่อนหลบหนีเข้าป่าลึกบริเวณภูเขาชายแดนไทย–ลาว หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ได้ระดมกำลังชุดไล่ล่า โดยมีทั้งชุดสืบสวนเวียงแก่น, ชุดอาวุธพิเศษ, ตำรวจ นปพ. ภาค 5, เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองเวียงแก่น, ทหารพราน และสุนัข K9 จาก ตชด.32 ลงพื้นที่เข้าปิดล้อมตรวจค้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลา 5 วัน

กระทั่งหัวค่ำวันที่ 13 มิถุนายน นายซ้งป๋อ ซึ่งหลบซ่อนอยู่ในป่า ไม่สามารถทนความหิวโหยได้ ได้เดินออกจากป่ามาขอข้าวที่บ้านชาวบ้านคนหนึ่งในหมู่บ้านตับเต่า อำเภอเทิง โดยเจ้าของบ้านจำหน้าได้จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ให้เข้าจับกุมตัวไว้ได้โดยไม่มีเหตุการณ์ขัดขืน ภายหลังจับกุม เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวผู้ต้องหาส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมเร่งขยายผลตรวจสอบเส้นทางหลบหนีและผู้ที่อาจให้การช่วยเหลือในช่วงหลบหนี

สำหรับการจับกุมครั้งนี้ถือเป็นการคลี่คลายคดีสำคัญที่ประชาชนในพื้นที่จับตาและหวาดกลัวอย่างมาก เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายทำงานอย่างเต็มที่จนสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดีได้ภายใน 5 วัน

Cr. ณัฐวัตร ลาพิงค์

เชียงราย สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตย้ำ ปิดเหมืองต้นน้ำคือคำตอบ ไม่เอาฝายดักสารพิษ ไทยไม่ใช่ที่ทิ้งสารพิษจากทุนจีน

เชียงราย สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตย้ำ ปิดเหมืองต้นน้ำคือคำตอบ ไม่เอาฝายดักสารพิษ ไทยไม่ใช่ที่ทิ้งสารพิษจากทุนจีน

หลังจากเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา นายธีระชุณ บุญสิทธิ์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ เปิดเผยว่า กรมฯ ร่วมกับกรมการบินพลเรือน สำรวจลำน้ำและเตรียมออกแบบฝายดักตะกอนใต้น้ำ ไม่ใช่เขื่อนกั้นน้ำ มีเป้าหมายลดสารหนูและโลหะหนักก่อนน้ำไหลผ่านชุมชน พร้อมติดตั้งกล้องสังเกตการณ์จนสัปดาห์ต่อมา นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมได้มีการประกาศจัดตั้ง “ศูนย์เฝ้าระวังสารหนู” ในพื้นที่เชียงใหม่–เชียงราย และมอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำออกแบบฝายลดตะกอน ส่วนกรมควบคุมมลพิษดูแลการสื่อสารกับประชาชน

โดยทางสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตได้ลงพื้นที่พบปะชุมชนตั้งแต่ต้นน้ำกกในประเทศไทย ตำบล ท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ จนถึงปากแม่น้ำกก บ้านสบกก อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ซึ่งตัวแทนชาวบ้านในลุ่มน้ำกกในประเทศไทย ต่างแสดงความกังวล และไม่เห็นด้วยกับแนวทางการสร้างฝายดักตะกอนในลำน้ำกก โดยระบุว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ และอาจสร้างผลกระทบร้ายแรงต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพในแม่น้ำสายสำคัญของภาคเหนือ ซึ่งการสร้างฝายเพื่อดักตะกอนอาจช่วยลดสารปนเปื้อนบางส่วนได้ในระยะสั้น แต่ไม่สามารถจัดการกับต้นตอของปัญหา ซึ่งเกิดจากกิจกรรมเหมืองในพื้นที่ต้นน้ำ โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนประเทศเพื่อนบ้านที่มีการปล่อยโลหะหนักและสารพิษลงสู่ลำน้ำ

นายสมเกียรติ เขื่อนเชียงสา นายกสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต กล่าวว่า ฝายดักตะกอนที่ทราบไม่ได้จะสร้างเพียงแห่งเดียว ซึ่งมองว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ สิ่งที่ควรทำก่อนคือหยุดต้นตอของสารพิษจากเหมือง ไม่ใช่นำงบประมาณจำนวนมหาศาลมาสร้างฝายที่อาจไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร และยังส่งผลต่อระบบนิเวศของแม่น้ำอีกด้วย ทางออกที่เหมาะสมควรเริ่มจากความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยใช้กลไกทางการทูตหรือความตกลงลุ่มน้ำข้ามแดน เพื่อผลักดันให้มีการควบคุมหรือหยุดยั้งการปล่อยสารพิษจากต้นน้ำ หากแนวทางความร่วมมือเหล่านี้ไม่สามารถดำเนินการได้ จึงค่อยพิจารณามาตรการทางเทคนิคอย่างการสร้างฝายเป็นทางเลือกสุดท้าย การสร้างฝายไม่ควรเป็นคำตอบแรกที่รัฐรีบดำเนินการ โดยยังไม่มีความชัดเจนเรื่องประสิทธิภาพ ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ การเร่งเจรจาหยุดเหมืองในพื้นที่ต้นน้ำที่เป็นสาเหตุหลักยังไม่มีความชัดเจนจากรัฐบาล รวมถึงขณะนี้นี้ยังไม่มีการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนให้ชุมชนที่ชัดเจน แต่โครงการสร้างฝายดักตะกอนในลำน้ำกกเป็นหนึ่งในมาตรการเร่งด่วนที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำลังเร่งออกแบบ เพื่อรับมือกับวิกฤตปนเปื้อนโลหะหนักที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำกก ซึ่งไม่อยู่ในมาตรการข้อเรียกร้องแก้ไขปัญหาเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำกก รวก สาย โขง

“การแก้ไขปัญหาแม่น้ำกกปนสารพิษจากภาครัฐโดยการเสนอสร้างฝายดักตะกอน ในมุมของคนที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อม จะมีผลกระทบในด้านแรกคือ การสร้างฝายหรือเขื่อนจะส่งผลกระทบโดยรวมต่อระบบนิเวศแม่น้ำในพื้นที่นั้นๆ โดยเฉพาะการอพยพเคลื่อนย้ายของพันธุ์ปลาในช่วงของฤดูกาลวางไข่ การสร้างเขื่อนดักตะกอนยังทำให้สารเคมีไปกองอยู่เป็นจุดหลังเขื่อน ยิ่งส่งผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพในจุดนั้น ซึ่งต้นตอของปัญหาการปล่อยสารพิษจากเหมือง เรายังไม่สามารถควบคุมหรือยับยั้งได้ที่ต้นเหตุ เป็นเหตุผลที่ว่าฝายดักตะกอนจึงไม่เหมาะสมในการสร้างในตอนนี้ อีกอย่างคือการแก้ไขปัญหาสารพิษปนเปื้อนในแม่น้ำกกไม่ใช่ความรับผิดชอบของคนที่ได้รับผลกระทบที่อยู่ท้ายน้ำ มันควรจะเป็นความรับผิดชอบของกลุ่มทุนที่ไปลงทุนในพื้นที่ต้นน้ำ เขาต้องมารับผิดชอบความเสียหายที่เขาทำให้มันเกิดขึ้น ไม่ใช่ความเสียหายที่ประชาชนคนไทยต้องมาแบกรับ เพราะงบประมาณที่จะนำมาใช้สร้างเขื่อนหรือฝายมันเป็นเงินภาษีของประชาชน โดยหลักการการแก้ไขนี้ผมว่ามันไม่ถูกต้อง ต้องให้ต้นทางแก้ไขปัญหาการปล่อยสารพิษลงน้ำ ถ้าทำไม่ได้คุณต้องปิดเหมืองเท่านั้น” นายกสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตกล่าว

สำหรับโครงการสร้างฝายดักตะกอนเริ่มจากวันที่ 29 เมษายน 2568 มีการประชุมร่วมระหว่างหลายหน่วยงาน มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาสารหนูที่ปนเปื้อนต้นน้ำแม่น้ำกก สาย พร้อมเสนอ “ฝายดักตะกอน” เป็นมาตรการเฉพาะหน้า หลังจากมีการเรียกร้องแก้ไขปัญหาจากภาคประชาชนเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา

ต่อมาวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 นายรังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ พร้อมด้วยคณะกรรมาธิการฯ เดินทางลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย เพื่อร่วมประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุมพญาพิภักดิ์ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาสารพิษโดยการสร้างฝายดักตะกอน

วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 จังหวัดเชียงรายเรียกประชุมคณะทำงานขับเคลื่อนแก้ปัญหาลุ่มน้ำข้ามพรมแดน นัดแรก โดยมีการนำเสนอแนวทางสร้างฝายดักตะกอนโลหะหนักในแม่น้ำกก – แม่น้ำสาย และตั้งคณะทำงาน 4 ชุด

วันที่ 22 พฤษภาคม 2568 นายธีระชุณ บุญสิทธิ์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ เปิดเผยว่า กรมฯ ร่วมกับกรมการบินพลเรือน สำรวจลำน้ำและเตรียมออกแบบฝายดักตะกอนใต้น้ำ ไม่ใช่เขื่อนกั้นน้ำ มีเป้าหมายลดสารหนูและโลหะหนักก่อนน้ำไหลผ่านชุมชน พร้อมติดตั้งกล้องสังเกตการณ์จนสัปดาห์ต่อมาจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทัพรยากรและสิ่งแวดล้อม ประกาศจัดตั้ง “ศูนย์เฝ้าระวังสารหนู” ในพื้นที่เชียงใหม่–เชียงราย และมอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำออกแบบฝายลดตะกอน ส่วนกรมควบคุมมลพิษดูแลการสื่อสารกับประชาชน

ต้นเดือนมิถุนายน 2568 กมธ. คณะกรรมการมั่นคงฯ ตั้งคำถามเกี่ยวกับงบประมาณฝาย 538 ล้านบาท บำบัด 338 ล้าน/ปี แจงว่าฝายชั่วคราวเริ่มสร้าง พ.ย.68 ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน ถึงแม้ปัจจุบันโครงการกำลังอยู่ระหว่าง ออกแบบฝายดักตะกอนใต้น้ำ ในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แต่ก็ได้สร้างกังวลใจให้กับชุมชน

ทางสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตได้ชี้แจงว่า เรามีบทเรียนจากฝายดักตะกอนจากลำห้วยคลิตี้ จังหวัดกาญจนบุรี ว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาสารพิษได้
1) ฝายไม่ได้ดักโลหะหนัก อย่างมีประสิทธิภาพตะกอนที่ปนเปื้อนสารตะกั่วมีคุณสมบัติสามารถกระจายตัวต่อในน้ำหรือเคลื่อนที่ตามการไหลของน้ำได้ แม้มีฝายตะกอนที่ถูกดักไว้บางส่วนยังสามารถถูกน้ำซัดพัดกระจายซ้ำ เมื่อมีฝนตกหนักหรือระดับน้ำเพิ่ม
2) ผลกระทบต่อระบบนิเวศการสร้างฝายทำให้ระบบการไหลของน้ำเปลี่ยนไป กระทบ การหมุนเวียนของออกซิเจนในน้ำ และแหล่งอาศัยของสิ่งมีชีวิต
3) ความล่าช้าและขาดการมีส่วนร่วม ไม่มีการประเมินผลกระทบจากชาวบ้านอย่างเพียงพอ ชุมชนคลิตี้ล่างร้องเรียนซ้ำว่ารัฐไม่ฟังเสียงประชาชน และแนวทางที่ใช้ไม่ยั่งยืน
4) ค่าใช้จ่ายสูง แต่ผลไม่คุ้ม งบประมาณในโครงการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้รวมทั้งฝายและการล้างตะกอนใช้งบประมาณกว่า 460 ล้านบาทแต่พื้นที่ยังคงปนเปื้อน และชาวบ้านยังไม่สามารถใช้น้ำเพื่ออุปโภคบริโภคได้เต็มรูปแบบ
5) ศาลปกครองสูงสุดชี้ให้รัฐต้องรับผิด ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาในปี 2556 ให้ กรมควบคุมมลพิษรับผิดชอบฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ ให้กลับสู่สภาพเดิมชี้ว่าแนวทางที่ใช้ในอดีต “ไม่เพียงพอ” และ “ไม่ตรงจุด” จำเป็นต้องจัดทำแผนใหม่ร่วมกับชุมชน

โครงการก่อสร้างฝายดักตะกอนเพื่อแก้ไขปัญหากรณีพบสารปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานใน “แม่น้ำกก”ระยะเร่งด่วน กรมทรัพยากรน้ำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้วางแผนงบประมาณการก่อสร้างระยะสั้น งบประมาณรวม976 ล้านบาท
1. ระบบดักตะกอนแบบฝายและตัวกลางดูดซับชั่วคราว จำนวน 10แห่ง งบประมาณ 538ล้านบาท
2. แก้มลิงร่วมกับบึงประดิษฐ์ลอยน้ำ จำนวน 14แห่ง งบประมาณ 438ล้านบาท

งบประมาณก่อสร้างระยะยาวองบประมาณรวม7,640 ล้านบาท
1. ประตูระบายน้ำแบบขั้นบันไดสำหรับระยะยาวจำนวน 13แห่ง งบประมาณ 7,640ล้านบาท

งบประมาณการบำรุงรักษาระยะยาว งบประมาณรวม295 ล้านบาท
1. ขุดลอกตะกอน (ฝายดักตะกอน)จำนวน 10 แห่ง งบประมาณ 200ล้านบาท / ปี
2. ขุดลอกตะกอน (แก้มลิง)จำนวน 14แห่ง งบประมาณ 70 ล้านบาท / ปี
3. เปลี่ยนตัวกลางดูดซับชั่วคราว (ฝายดักตะกอน)จำนวน 10 แห่ง งบประมาณ 23ล้านบาท / ปี
4. เปลี่ยนทุ่นดักสวะ Log Boom(ฝายดักตะกอน)จำนวน 10 แห่ง งบประมาณ 2 ล้านบาท / ปี

ด้านนายสายัณน์ ข้ามหนึ่ง ผู้อำนวยการสมาคแม่น้ำเพื่อชีวิต ได้กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันการตรวจค่าสารโลหะหนักปนเปื้อนในแหล่งน้ำ กก สาย รวก โขง เกินค่ามาตรฐานทุกจุด ปัญหาที่ต้องทำเร่งด่วนในขณะนี้ คือ การจัดหาน้ำดื่ม น้ำใช้ที่สะอาดแจกจ่ายให้ประชาชนในพื้นที่นอกเขตประปาส่วนภูมิภาค ซึ่งในขณะนี้ชาวบ้านในอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ต้องซื้อน้ำดื่มน้ำใช้ในราคาที่แพง คือ 1,200 ลิตร ต่อ 150 บาท ใน 1 เดือนมีค่าใช้จ่ายด้านน้ำสะอาดมากกว่า 3,000 บาทต่อครอบครัว อันเป็นผลมาจากการห้ามใช้น้ำในแม่น้ำกกโดยตรง และความกังวลใจต่อคุณภาพน้ำในบ่อน้ำตื้นของชาวบ้าน จึงไม่กล้าเสี่ยงใช้น้ำจากแม่น้ำกกและบ่อน้ำตื้นของตัวเอง สารพิษข้ามแดนที่เราไม่เต็มใจรับ และเราก็ไม่เต็มใจที่จะจ่ายเพื่อแก้ปัญหาสารพิษด้วยเงินภาษีของพวกเรา โดยผู้ก่อสารพิษไม่รับผิดชอบใดๆเลย ประเทศไทยและชาวบ้านในลุ่มน้ำกก สาย รวก โขง ไม่ได้มีหน้าที่เป็นโรงกำจัดสารพิษ เราไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการทำเหมืองในพม่า ว้า โดยทุนจีน การทำเหมืองต้นน้ำทำนอกเขตประเทศไทย ส่งสารพิษมาให้ประเทศไทยบำบัด การสร้างฝายดักสารพิษเท่ากับว่าเรายอมรับ เราเต็มใจ เป็นโรงกำจัดสารพิษ อย่างเต็มใจและสมยอม ยอมที่จะเอาเงินภาษีของประชาชนผู้ที่จะได้รับสารพิษไปใช้แทนผู้ก่อสารพิษ

“สมาคมฯจึงขอเรียกร้องการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนจากรัฐบาลในขณะนี้ให้จัดหาน้ำดื่มน้ำใช้สะอาดบริการให้ชุมชน จนกว่าสถานการณ์การปนเปื้อนโลหะหนักในน้ำกก สาย รวก โขง จะคลี่คลายไปสู่ปกติ ซึ่งสอดคล้องกับข้อเรียกร้องของเครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำ กก สาย รวก โขง ที่เรียกร้องให้ปิดเหมืองในพม่า ว้า เพื่อหยุดปัญหาสารพิษปนเปื่อนในลำน้ำอย่างเร่งด่วนที่สุด ต้องเจรจาปิดเหมืองสารพิษก่อนเป็นอันดับแรก การสร้างฝายไม่ใช่การแก้ปัญหาเร่งด่วนและไม่ใช่คำตอบแรกของการแก้ไขปัญหาในขณะนี้ ต่อให้เราสร้างฝายเป็นหมื่นแห่งก็แก้ปัญหาไม่ได้ ถ้าไม่แก้หรือปิดเหมืองต้นเหตุ ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการสร้างฝายดักสารพิษ เพื่อทำหน้าที่เป็นโรงกำจัดสารพิษข้ามพรมแดนให้ผู้ก่อสารพิษจากต้นน้ำ” ผู้อำนวยการสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต กล่าว

Cr. ณัฐวัตร ลาพิงค์

มณฑลทหารบกที่ 37 จัดกำลังพลจิตอาสาพระราชทาน จัดกิจกรรม “มอบรอยยิ้ม สู่ความห่วงใย มอบความจริงใจ เพื่อพี่น้องประชาชน”

มณฑลทหารบกที่ 37 จัดกำลังพลจิตอาสาพระราชทาน จัดกิจกรรม “มอบรอยยิ้ม สู่ความห่วงใย มอบความจริงใจ เพื่อพี่น้องประชาชน” ด้วยการมอบผ้าห่มให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบาง รวมทั้งได้รณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกและการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด ตำบลแม่เงิน อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย

มณฑลทหารบกที่ 37 จัดกำลังพล “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” นำโดย ร้อยตรี ณัฐพล บุญทับ หัวหน้าชุดปฏิบัติการประสานงานคุ้มครองป้องกันชุมชน สถานีพัฒนาการเกษตรพื้นที่สูง ตามพระราชดำริ บ้านธารทอง พร้อมกำลังพล “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชีนี 3 มิถุนายน 2568 โดยจัดกิจกรรม “มอบรอยยิ้ม สู่ความห่วงใย มอบความจริงใจ เพื่อพี่น้องประชาชน” ด้วยการมอบผ้าห่มให้กับ นายสว่าง คำรังษี อายุ 69 ปี อยู่บ้านเลข 389 หมู่ 8 ซึ่งเป็นประชาชนกลุ่มเปราะบาง เพื่อสอบถามความเป็นอยู่ และเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างทหารกับประชาชน

เนื่องจากห้วงนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูฝนทำให้มีฝนตกหนักถึงหนักมากในบางพื้นที่ และอาจเกิดพายุลมแรงทำให้เกิดฝนฟ้าคะนอง ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความเสียหายแก่บ้านเรือนของประชาชน รวมทั้งการทำงานที่โล่งแจ้งกรณีฝนตกฟ้าร้องฟ้าฝ่าได้ อาจจะทำให้สูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน จึงได้แจ้งเตือนอันตรายให้กับประชาชนได้ทราบ และได้รณรงค์เกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกไข้หวัด รวมทั้งมีการระบาดของโรคโควิด และเพื่อเป็นการป้องกันอีกทางด้วย ซึ่งนายสว่าง คำรังษี เป็นผู้ป่วยติดเตียง ไม่สามารถเดินได้ อีกทั้งเป็นผู้ด้อยโอกาส โดยได้พักอาศัยอยู่กับภรรยา ครอบครัวมีฐานะยากจน การดำรงค์ชีวิตประจำวันมีความยากลำบาก ไม่มีรายได้ประจำ ภรรยามีอาศัยการขายของชำ

เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประสบความทุกข์ยากจึงได้ผ้าห่มกันหนาวจาก บริษัทโตโยต้าเชียงราย จำกัด จำนวน 1 ผืน และผ้าห่มจาก ทบ. จำนวน 1 ผืน และในห้วงนี้กำลังเข้าสู่ห้วงฤดูฝน อาจจะได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศหนาวเย็นในห้วงเช้า พร้อมทั้งให้กำลังใจกับครอบครัว ขอให้สู้ต่อไป และหากมีอะไรให้ทหารได้ช่วยเหลือทางหน่วยยินดีให้ความช่วยเหลือเต็มขีดความสามารถ เพราะเราคือทหารของประชาชน ผลการปฏิบัติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

# จิตอาสาเราทำความดีด้วยหัวใจ
# เพื่อ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน
# น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น
# ทหารเป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกโอกาส

มทบ.37 ตรวจเยี่ยมการดำเนินโครงการประกอบอาชีพเสริมเพิ่มรายได้แก่ กำลังพล ทบ. ที่ปลดพิการทุพพลภาพ และครอบครัวประจำปี 2568

มทบ.37 ตรวจเยี่ยมการดำเนินโครงการประกอบอาชีพเสริมเพิ่มรายได้แก่ กำลังพล ทบ. ที่ปลดพิการทุพพลภาพ และครอบครัวประจำปี 2568

วันที่ 13 มิ.ย.68 เวลา 09.30 น. พ.ท.หญิง เยาวเรศ ชูก้าน ประธานสมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37 พร้อมด้วย สมาชิกสมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37 , คณะกรรมการ ศปปค.สาขา มทบ.37 และ รพ.ค่ายเม็งรายมหาราช ออกตรวจเยี่ยมการดำเนินโครงการประกอบอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ แก่กำลังพล ทบ. ที่ปลดพิการทุพพลภาพและครอบครัว ประจำปี 2568 ซึ่งได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯตามมาตรา 35(7) ได้แก่

1.โครงการเลี้ยงวัว ของ นาง เพชร ไชยชะนะ มารดา จ.ส.อ. วีรยุทธ ไชยชะนะ สังกัด ผพธ.มทบ.37 พื้นที่ทำโครงการฯ อ.เทิง จ.เชียงราย
2.โครงการเลี้ยงกระบือ ของ นาย พันธ์ โอบอ้อม บิดาของ จ.ส.ท. สุรเสกข์ โอบอ้อม สังกัด ฝกง.มทบ.37 พื้นที่ทำโครงการ อ.เทิง จ.เชียงราย

ทั้งนี้ ได้จัดแพทย์ และ จนท.พยาบาล ให้บริการทางการแพทย์ และให้ความรู้กับกำลังพลที่มีบุพการีพิการที่เข้าร่วมโครงการฯ รวมทั้งได้มอบเครื่องอุปโภค บริโภค สอบถามถึงปัญหาข้อขัดข้องพร้อมทั้งให้คำแนะนำ การจัดทำโครงการให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามวัตถุประสงค์ของ ทบ. ผลการปฏิบัติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

เชียงราย รมว.คลัง มอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุ โครงการ “ธนารักษ์เอื้อราษฎร์” สร้างความมั่นคงด้านที่ดินให้ประชาชนแม่สาย

เชียงราย รมว.คลัง มอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุ โครงการ “ธนารักษ์เอื้อราษฎร์” สร้างความมั่นคงด้านที่ดินให้ประชาชนแม่สาย

วันที่ 12 มิถุนายน 2568 นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ ชร.1154 ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ ตามโครงการ “ธนารักษ์เอื้อราษฎร์” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินให้แก่ประชาชนอย่างยั่งยืน ณ หอประชุมที่ว่าการอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

ภายในงานมี นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นเกียรติในพิธี และร่วมมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุให้กับประชาชนในพื้นที่

โดยมีประชาชนผู้ถือครองที่ดินในเขตอำเภอแม่สาย จำนวน 196 ราย ได้รับสัญญาเช่าอย่างเป็นทางการ รวมถึงมีการมอบเพิ่มเติมอีก 4 ราย รวมทั้งสิ้น 200 ราย คิดเป็นพื้นที่รวมประมาณ 31 ไร่ 3 งาน 90 ตารางวา ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน

โครงการ “ธนารักษ์เอื้อราษฎร์” เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาการถือครองที่ดินราชพัสดุ โดยเฉพาะในกลุ่มราษฎรที่มีการครอบครองก่อนวันที่ 4 ตุลาคม 2546 และยินยอมเข้าสู่กระบวนการเช่าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ภายใต้อัตราที่เหมาะสม ซึ่งกรมธนารักษ์ได้ดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก และเสริมสร้างความมั่นคงของประชาชน

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและท้องถิ่น ที่ร่วมผลักดันโครงการให้สำเร็จลุล่วง พร้อมเน้นย้ำเจตนารมณ์ของกระทรวงการคลังในการบริหารจัดการที่ราชพัสดุให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน โดยเฉพาะในด้านการอยู่อาศัย การเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐาน และโอกาสทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ประชาชนสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมั่นคง

ในโอกาสเดียวกัน นายเผ่าภูมิ และคณะยังได้ลงพื้นที่บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1 เพื่อติดตามความคืบหน้าในการก่อสร้างคันกั้นน้ำ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนป้องกันและลดความเสี่ยงจากปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนในระยะยาว

Cr. ณัฐวัตร ลาพิงค์