กสศ.หนุนกลไกประชาชนร่วมแก้ปัญหาเหลื่อมล้ำ ยกกองทุน 10 บาท เชียงใหม่เป็นต้นแบบ

กสศ.หนุนกลไกประชาชนร่วมแก้ปัญหาเหลื่อมล้ำ ยกกองทุน 10 บาท เชียงใหม่เป็นต้นแบบ ชวนคนไทยร่วมเสนอความเห็นทิศทางกองทุน เวที 4 ภาค และ www.eef.or.th

นายกฤษณ์ ธนาวณิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานเปิดการประชุมเสวนา กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ร่วมกับ ภาคีเชียงใหม่เพื่อการปฏิรูปการศึกษา จัดการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นการกำหนดนโยบาย เป้าหมาย และแนวทางการดำเนินงานตามมาตรา 23 แห่ง พ.ร.บ.กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. 2561 ที่โรงแรมคุ้มภูคำ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า หนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญของ กสศ. ที่สนับสนุนให้ภารกิจสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาประสบความสำเร็จ คือการสร้างความเข้มแข็งให้กับกลไกภาคประชาชนมีส่วนร่วมออกแบบวิธีการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำตามบริบทของพื้นที่ตนเอง เช่นเดียวกับการเติบโตของภาคีเชียงใหม่เพื่อการปฏิรูปการศึกษา

จนนำมาสู่ การจัดตั้งกองทุนปฏิรูปการศึกษาเชียงใหม่ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ หรือกองทุน 10 บาท ระดมความร่วมมือและงบประมาณจากคนเชียงใหม่เพื่อสนับสนุนเด็กเยาวชนยากจนและด้อยโอกาสให้มีโอกาสทางการศึกษาและพัฒนาศักยภาพของตัวเองได้สำเร็จโดยไม่รอคอยความช่วยเหลือจากภาครัฐเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ กสศ.ยังเปิดช่องทางรับฟังความคิดเห็น ที่ www.eef.or.th จึงขอเชิญชวนประชาชน หน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม ร่วมกำหนดทิศทางการดำเนินงานในอนาคตให้เกิดประโยชน์สูงสุดร่วมกัน”

ดร.ประสาร กล่าวว่า ภายหลังขั้นตอนรับฟังความคิดเห็น สำนักงาน กสศ.จะนำทุกประเด็นความเห็นเสนอต่อคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เพื่อกำหนดนโยบาย หลักเกณฑ์ ระเบียบต่างๆ ต่อไป โดยกสศ.น่าจะมีผลงานใน 3 เรื่องสำคัญ คือ 1. ขจัดอุปสรรคต่อความเสมอภาคทางการศึกษาของนักเรียนยากจนพิเศษจำนวนประมาณ 620,000 คนทั่วประเทศ ด้วยการสนับสนุนเงินอุดหนุนอย่างมีเงื่อนไขเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว และมาตรการดูแลต่อเนื่องโดยครูและสถานศึกษา

2. X-ray พื้นที่ 15 จังหวัด ทุกภูมิภาคทั่วประเทศไทย ค้นหาเด็กเยาวชนนอกระบบการศึกษาอายุระหว่าง 3-18 ปี จำนวน 100,000 คนแรก ส่งต่อสู่ระบบการศึกษาและการพัฒนาทักษะอาชีพ ที่สอดคล้องกับความถนัดและศักยภาพของเด็กเป็นรายคน รวมทั้งสอดคล้องกับความต้องการของตลอดแรงงานในแต่ละพื้นที่ ในอนาคตจะสามารถเป็นต้นแบบการทำงานให้ครบทั้ง 77 จังหวัดได้ในปีงบประมาณต่อไป

3. สนับสนุนทุนการศึกษาสายอาชีพสำหรับนักเรียนยากจนระดับ ม.3 ที่มีศักยภาพสูง 12,000 ทุน โดยเมื่อสำเร็จการศึกษาจะมีงานทำได้ทันที ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของตัวเยาวชนและครอบครัวออกจากกับดักความยากจน ซึ่งถือเป็นการลดความเหลื่อมล้ำที่ยั่งยืนผ่านการส่งเสริมการเลื่อนชั้นทางสังคม (Social Mobility)

 

นายไพรัช ใหม่ชมภู รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ และเลขานุการภาคีเชียงใหม่เพื่อการปฏิรูปการศึกษา กล่าวว่า จังหวัดเชียงใหม่มีเด็กยากจนราว 62,622 คน ในจำนวนนี้เป็นเด็กยากจนพิเศษจำนวน 26,098 คน ที่ผู้ปกครองมีรายได้เฉลี่ยเพียงเดือนละ 1,281 บาทต่อคน หรือเฉลี่ยเพียงวันละ 42.7 บาทเท่านั้น นักเรียนเหล่านี้ต้องได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนโดยเร่งด่วน ก่อนจะหลุดออกจากระบบการศึกษา และในการดำเนินงานของกองทุน 10 บาท ในปีแรกได้รับการสนับสนุนจากคนเชียงใหม่บริจาคคนละ 10 บาท ภายในระยะเวลา 1 เดือน ระดมทุนได้จำนวน 2.7 ล้านบาท

สามารถขยายผลช่วยเหลือเด็กและเยาวชน ด้อยโอกาส จำนวน 230 คน แบ่งการสนับสนุนหลายด้าน เช่น ทุนการศึกษาสายอาชีพ ทุนการศึกษาสายสามัญ ทุนสำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาที่ประกอบอาชีพเพื่อมีรายได้ระหว่างเรียน โดยการสนับสนุนนั้น มีตั้งแต่ระดับ 5,000-30,000 บาท ทั้งนี้ไม่ได้พิจารณาจากผลการเรียนเป็นตัวหลัก แต่เน้นเรื่องพฤติกรรม ความอดทน รับผิดชอบ การมีความใฝ่ฝัน และมีแรงบันดาลใจไม่ย่อท้อ โดยมีกระบวนการกลั่นกรอง คัดเลือกที่รอบคอบ มีการลงพื้นที่จริงเพื่อตรวจสอบ

ครูพิมพ์รดา ส่งชื่น กล่าวว่า จากการที่โรงเรียนมีระบบเยี่ยมบ้านและการใช้แอปพลิเคชัน “ระบบคัดกรองปัจจัยพื้นฐานนักเรียนยากจน” ภายใต้ระบบสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (Information System for Equitable Education : ISEE) ทำให้ครูทราบข้อมูลว่านักเรียนกว่าร้อยละ 90 มาจากครอบครัวหย่าร้าง อยู่ในชุมชนที่ห่างไกล สภาพพื้นที่เป็นดอยมีความยากลำบากในการเดินทางมายังโรงเรียน

ความยากจนทำให้เด็กๆ ต้องไปช่วยครอบครัวทำไร่ทำสวนเพื่อหารายได้หรือใช้แรงงานรับจ้าง จึงต้องขาดเรียนอยู่เป็นประจำ และไม่มีเวลาที่จะทบทวนบทเรียนเพราะต้องทำงาน ผลการเรียนจึงไม่ค่อยดีนัก และการที่ครูได้ไปเยี่ยมบ้านจะทำให้รู้ว่า เราจะส่งเสริมแต่ด้านวิชาการอย่างเดียวไม่ได้ เพราะถ้าเน้นวิชาการก็จะมีเด็กอีกหลายคนต้องถูกทอดทิ้ง

ดังนั้น ครูที่นี่ก็จะช่วยเหลือเด็กทุกคนโดยมองข้ามคำว่าเก่ง แต่จะดูว่าเด็กมีความสนใจในเรื่องอะไร ที่สำคัญก็คือการส่งเสริมเรื่องทักษะอาชีพ เด็กต้องมีทักษะการมีชีวิตสามารถเอาตัวรอดในสังคมได้ และต้องมีทักษะในการทำงาน สองสิ่งนี้คือสิ่งที่ชุมชนและโรงเรียนมุ่งหวัง เพื่อให้เด็กๆ ได้ค้นหาหรือค้นพบคำตอบตั้งแต่เรียนอยู่ในระดับชั้น ม.1-2 สามารถวางแผนชีวิตว่าจบแล้วจะไปเรียนต่อหรือทำอะไร จากนั้นสนับสนุนการฝึกทักษะอาชีพต่างๆ ให้กับนักเรียน และมีเป้าหมายในการดำเนินชีวิตในอนาคตทำให้หันมาให้ความสำคัญกับการเรียนมากขึ้น

สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง จัดกิจกรรรมปลูกข้าวเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9

นางสาวรุจิรา ริมผดี ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง เป็นประธานเปิดกิจกรรม“ปลูกข้าว” เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษา 12 สิงหาคม 2561 ซึ่งจัดขึ้นที่บริเวณสวนเกษตรทฤษฎีใหม่ อุทยานหลวงราชพฤกษ์ จังหวัดเชียงใหม่ โดยภายในงานได้เปิดโอกาสให้ประชาชน นักเรียน และนักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วมและร่วมเรียนรู้วิธีการปลูกข้าวตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

โดยการปลูกข้าวในครั้งนี้ มีจำนวน 3 ชนิด ได้แก่ “ข้าวทับทิมชุมแพ” เป็นข้าวที่ได้จากการการผสมพันธุ์ระหว่างข้าวขาวดอกมะลิ 105 และข้าวสังข์หยดพัทลุง มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง “ข้าวไรซ์เบอร์รี่” เป็นพันธุ์ข้าวที่ศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว และคณะกรรมการกรมวิจัยแห่งชาติร่วมกันวิจัยและปรับปรุงพันธุ์ขึ้นมา ได้จากการผสมพันธุ์ระหว่างข้าวหอมนิลและข้าวขาวดอกมะลิ 105 ทำให้ได้ข้าวพันธุ์ใหม่ที่มีลักษณะเด่นประจำสายพันธุ์ คือ เมล็ดข้าวมีสีม่วงเรียวยาวและมีผิวที่มันวาว สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี

“ข้าวเหนียวดำลืมผัว” เป็นข้าวนาปีพื้นเมืองเดิมของชาวเขาเผ่าม้งในภาคเหนือของประเทศไทย มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีรสชาดเฉพาะตัว และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก และในโอกาสเดียวกันผู้เข้าร่วมกิจกรรมยังได้รับเมล็ดพันธุ์ข้าวพระราชทานจากกรมการข้าว จำนวน 7 พันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ105 พันธุ์ข้าวปทุมธานี1 พันธุ์ข้าวสังข์หยดพัทลุง พันธุ์ข้าว กข6 พันธุ์ข้าว กข43 พันธุ์ข้าว กข57 และพันธุ์ข้าว กข71 อีกด้วย

ขนส่งเชียงใหม่ นำคณะเจ้าหน้าที่ลงนามถวายพระพร เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9

ขนส่งเชียงใหม่ นำคณะเจ้าหน้าที่ลงนามถวายพระพร เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9

นายชาญชัย กีฬาแปง ขนส่งจังหวัดเชียงใหม่นำคณะเจ้าหน้าที่สำนักงานขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ ลงนามถวายพระพร เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ณ สำนักงานขนส่งจังหวัดเชียงใหม่แม่เหียะ

แอร์เอเชียเปิดเส้นทางใหม่ บินตรง “เชียงใหม่-ฮานอย” 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์

เชียงใหม่ วันที่ 8 สิงหาคม 2561 – สายการบินแอร์เอเชียเปิดเส้นทางบินตรง “เชียงใหม่ – ฮานอย” 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ (จันทร์ / พุธ / ศุกร์ / อาทิตย์) เริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป พร้อมดันเชียงใหม่เป็นฮับบินสู่ต่างประเทศ ด้วยเส้นทางบินระหว่างประเทศทั้งหมด 8 เส้นทาง อีกทั้งยังมอบโปรโมชั่นราคาบินคุ้ม ราคาเริ่มต้นที่ 1,090 บาทต่อเที่ยวบิน เริ่มจองได้ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 19 สิงหาคม 2561 และเดินทางได้ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2561 ถึงวันที่ 29 มีนาคม 2562

นายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยแอร์เอเชีย เปิดเผยว่า สายการบินไทยแอร์เอเชียพร้อมขยายเส้นทางบินจากฐานปฏิบัติการบิน (ฮับ) เชียงใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเชียงใหม่ถือเป็นฮับที่สำคัญของแอร์เอเชีย มีเครื่องบินประจำการจำนวน 6 ลำ และมีเส้นทางบินออกจากเชียงใหม่เชื่อมทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ

ล่าสุดนี้แอร์เอเชียพร้อมแล้วที่จะเปิดเส้นทางบินใหม่ “เชียงใหม่-ฮานอย” เส้นทางบินระหว่างประเทศเส้นทางบินที่ 8 ต่อจากเชียงใหม่-มาเก๊า เชียงใหม่-ฮ่องกง เชียงใหม่-หางโจว เชียงใหม่-กัวลาลัมเปอร์ (AK) เชียงใหม่-ฉางซา เชียงใหม่-ย่างกุ้ง และเชียงใหม่-ไทเป ซึ่งแอร์เอเชียมีเส้นทางบินจากจากเชียงใหม่ไปยังต่างประเทศมากที่สุด ซึ่งจะทำให้ชาวเชียงใหม่หรือนักท่องเที่ยวมีทางเลือกในการเดินทางที่หลากหลายและสะดวกสบายมากขึ้น

“ตั้งแต่ต้นปี 2561 เราเปิดเส้นทางบินเพิ่มที่ฮับเชียงใหม่ โดยเน้นเส้นทางระหว่างประเทศ รวม 3 เส้นทาง 3 ประเทศแล้วคือ จากเชียงใหม่สู่ย่างกุ้ง ไทเป และล่าสุดที่ฮานอย โดยถือเป็นโอกาสที่เราจะได้รับนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มใหม่ๆ เพิ่มจากนักท่องเที่ยวจีนที่เติบโตดีแล้ว เพื่อมากระตุ้นด้านการท่องเที่ยวและสร้างโอกาสใหม่ๆ มากยิ่งขึ้น” นายสันติสุขกล่าว

สำหรับเมืองฮานอย เป็นเมืองหลวง ตั้งอยู่ทางเหนือของประเทศเวียดนาม ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวโดดเด่น โดยเฉพาะสถาปัตยกรรมแบบยุโรปในแถบเมืองโบราณ อาหารการกินที่อร่อยไม่แพ้ที่ใด ทั้งอาหารสตรีทฟู้ดที่ขึ้นชื่อ ร้านกาแฟเก๋ๆ หลากหลายสไตล์ เหมาะกับสายชิมกาแฟถ่ายรูปสวยๆ และในตัวเมืองที่มีการตกแต่งด้วยสตรีทอาร์ตที่งดงาม

รวมทั้งล่องเรือชมมรดกโลกที่อ่าวฮาลอง เบย์ สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังระดับโลก หรือเชื่อมต่อไปยัง “ซาปา” เมืองในม่านหมอกที่มีอากาศเย็นตลอดทั้งปี และนาขั้นบันไดสีเขียว สถานที่ยอดฮิตสำหรับนักเดินทางทุกคน และจากเมืองซาปายังสามารถนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นชมยอดเขาฟานซิปัน ยอดเขาที่ได้ชื่อว่าหลังคาแห่งอินโดไชน่าได้อีกด้วย

“ฮานอยยังคงเป็นเมืองที่มีมนต์เสน่ห์ไม่เสื่อมคลาย เหมาะกับนักท่องเที่ยวหลากหลายสไตล์ทั้งสายชิลล์ สายผจญภัย สายศึกษาวัฒนธรรม ซึ่งเหมาะกับทั้งกลุ่มวัยรุ่นที่อยากเดินทางไปต่างประเทศในราคาสบายกระเป๋า หรือแม้แต่กลุ่มที่เคยเดินทางไปเที่ยวฮานอยมาแล้ว ก็ยังสามารถกลับไปเที่ยวชมฮานอยในยุคใหม่ที่สวยงามแพ้เดิมอย่างแน่นอน และการเดินทางกับแอร์เอเชียังไปกับเครื่องบินขนาดใหญ่ 180 ที่นั่ง บินระยะเวลาสั้น ทำให้การเดินทางสะดวกสบาย” นายสันติสุข กล่าว

สำหรับการเปิดเส้นทางบินใหม่ เชียงใหม่-ฮานอย ครั้งนี้ แอร์เอเชียพร้อมมอบโปรโมชั่นราคาสุดพิเศษ เริ่มต้นที่ 1,090 บาทต่อเที่ยวบิน จองได้ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 19 สิงหาคม 2561 และเริ่มเดินทางได้ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2561 ถึงวันที่ 29 มีนาคม 2562 ผ่าน www.airasia.com และช่องทางอื่นๆ

ปัจจุบัน ไทยแอร์เอเชียมีเส้นทางบินออกจากฐานปฏิบัติการบินเชียงใหม่ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวม 16 เส้นทางบิน (รวมฮานอย) แบ่งเป็นเส้นทางระหว่างประเทศ 8 เส้นทาง ได้แก่ เชียงใหม่-มาเก๊า เชียงใหม่-ฮ่องกง เชียงใหม่-หางโจว เชียงใหม่-ฉางซา เชียงใหม่-กัวลาลัมเปอร์ (AK) เชียงใหม่-ย่างกุ้ง เชียงใหม่ – ไทเป และเชียงใหม่ – ฮานอย

ขณะที่เส้นทางบินภายในประเทศรวม 8 เส้นทาง ได้แก่ เชียงใหม่-อุดรธานี เชียงใหม่-ขอนแก่น เชียงใหม่-พัทยา (อู่ตะเภา) เชียงใหม่ – สุราษฎร์ธานี เชียงใหม่-กระบี่ เชียงใหม่-หาดใหญ่ เชียงใหม่-ภูเก็ต และ เชียงใหม่-กรุงเทพฯ

สวนสัตว์เชียงใหม่ จัดครบรอบวันเกิดให้หมีแพนด้าช่วงช่วง ครบ 18 ปี พร้อมอวยพรให้สุขภาพแข็งแรง

นายวุฒิชัย ม่วงมัน ผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่ นำเจ้าหน้าที่และพี่เลี้ยงหมีแพนด้า จัดฉลองวันเกิดครบรอบ 18 ปี ให้กับหมีแพนด้าช่วงช่วง ทูตสันถวไมตรีไทย – จีน ที่ได้มาอยู่ภายในสวนสัตว์เชียงใหม่ ทางเจ้าหน้าที่ได้จัดเตรียมเค้กน้ำแข็ง ที่ตกแต่งด้วยผลไม้ที่ช่วงช่วง ชื่นชอบนำมาให้ มีทั้งองุ่นแดง แอปเปิ้ล แครอท ฟักทอง ข้าวโพด มันหวาน ไอศครีมหวานเย็น ในการจัดกิจกรรมนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศให้ความสนใจเป็นอย่างมาก

หลังจากที่ได้ปล่อยหมีแพนด้าช่วงช่วง ออกสู่ส่วนจัดแสดง แล้วทางช่วงช่วง ก็ได้มุ่งตรงลงมายังเค้กน้ำแข็ง ที่ทางเจ้าหน้าที่ได้จัดเตรียมไว้ให้ ก่อนจะเข้ามาดม มาเลือกดูผลไม้ และนอนกลิ้งไปบนเค้กน้ำแข็งอย่างสนุกสนาน ก่อนจะคว้าองุ่นแดง มากินเป็นอย่างแรก ซึ่งทางด้าน ผอ.สวนสัตว์เชียงใหม่ได้นำเจ้าหน้าที่ร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ อวยพรวันเกิดให้กับช่วงช่วงด้วย จากนั้นก็ได้มอบเค้กแบบเดียวกันให้กับหมีแพนด้าเพศเมีย หลินฮุ่ย เพื่อให้ร่วมฉลองวันเกิดให้กับช่วงช่วง ด้วยเช่นกัน

นายวุฒิชัย ม่วงมัน ผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่ กล่าวว่า สำหรับหมีแพนด้าเพศผู้ ช่วงช่วง และหมีแพนด้าเพศเมีย หลินฮุ่ย เป็นทูตสันถวไมตรีไทย-จีน ซึ่งได้มาอยู่ที่สวนสัตว์เชียงใหม่ แล้ว 15 ปี ให้กำเนิดลูกออกมา 1 ตัวคือ หลินปิง ทุกๆ ปีสวนสัตว์เชียงใหม่ จะจัดงานครบรอบวันเกิดให้กับหมีแพนด้าทั้งสองตัว และจัดกิจกรรมให้ในวันสำคัญ อย่างเช่นเทศกาลตรุษจีน ซึ่งครั้งนี้ก็เป็นอีกปีหนึ่งที่ครบรอบวันเกิดของช่วงช่วง ทางสวนสัตว์เชียงใหม่ จึงได้จัดกิจกรรมดังกล่าวขึ้น เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในสวนสัตว์เชียงใหม่ และการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ด้วย

จังหวัดเชียงใหม่ นำร่อง 1 ใน 9 แห่งของประเทศ จัดกิจกรรมรณรงค์ส่งเสริมการท่องเที่ยวเส้นทางจาริกแสวงบุญ 9 วัดสำคัญ

จังหวัดเชียงใหม่ นำร่อง 1 ใน 9 แห่งของประเทศ จัดกิจกรรมรณรงค์ส่งเสริมการท่องเที่ยวเส้นทางจาริกแสวงบุญศาสนสถานสำคัญ 9 แห่ง เพื่อส่งเสริมให้วัดและศาสนสถานได้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและสามารถสร้างรายได้ให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน

ที่วัดเจ็ดยอด พระอารามหลวง อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ นายประจวบ กันธิยะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานเปิดกิจกรรมรณรงค์ส่งเสริมการท่องเที่ยวเส้นทางจาริกแสวงบุญศาสนสถานสำคัญ 9 แห่ง : ตามรอยสักการะ 108 พระปฏิมา พระบรมธาตุ พุทธรัตนมณีมรดกของแผ่นดิน ภายใต้โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเส้นทางจาริกแสวงบุญในมิติทางศาสนา ประจำปีงบประมาณ 2561 โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ตัวแทนมัคคุเทศก์ เครือข่ายท่องเที่ยว นักเรียน นักศึกษา เข้าร่วมในกิจกรรม พร้อมกับเยี่ยมชมศาสนสถานเก่าแก่ภายในวัดเจ็ดยอดพระอารามหลวง

ทั้งนี้ โครงการรณรงค์ส่งเสริมการท่องเที่ยวเส้นทางจาริกแสวงบุญศาสนสถานสำคัญ 9 แห่ง จัดขึ้นโดยกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ให้เป็นจังหวัดนำร่อง 1 ใน 9 แห่งของประเทศ ในการจัดกิจกรรมดังกล่าว เพื่อส่งเสริมให้วัดและศาสนสถานได้เป็นแหล่งท่องเที่ยวในมิติทางศาสนาที่มีศักยภาพความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมไปถึงประชาชนทุกกลุ่มทุกวัย ได้เรียนรู้หลักธรรมทางศาสนา ประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาจากวิถีชุมชน เพื่อการเสริมสร้างรายได้แก่ประชาชนในพื้นที่อีกด้วย

สำหรับ วัดทั้ง 9 แห่ง ที่ได้กำหนดให้เป็นเส้นทางจาริกแสวงบุญ ศาสนสถานสำคัญในจังหวัดเชียงใหม่ ประกอบด้วย 1)พระเจ้าเก้าตื้อ วัดสวนดอกพระอารามหลวง 2)พระพุทธสิหิงค์ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร 3)พระอัฎฐารส วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร 4)พระธาตุวัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร 5)วัดพระธาตุศรีจอมทอง วรวิหาร 6)พระธาตุวัดพระสิงห์ วรมหาวิหาร 7)พระธาตุวัดสวนดอก พระอารามหลวง 8)พระธาตุวัดเจ็ดยอด พระอารามหลวง และ 9)วัดเชียงมั่น วัดแห่งแรกของนครเชียงใหม่ ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับมรดกทางวัฒนธรรมของจังหวัดเชียงใหม่ที่สืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ พร้อมเชิญชวนให้ชาวเชียงใหม่ร่วมกันแสดงศักยภาพในการเป็นเจ้าบ้านที่ดี โดยในวันพรุ่งนี้ (4 ส.ค.61) จะนำคณะสื่อมวลชน มัคคุเทศก์ เครือข่ายท่องเที่ยว เข้าเยี่ยมชมพร้อมรับฟังคำบรรยายของศาสนสถานทั้ง 9 แห่ง เริ่มตั้งแต่เวลา 09.30 น. เป็นต้นไป

เทศบาลนครเชียงใหม่จัดพิธีลงนามภาคีเครือข่ายพัฒนาคุณภาพผู้สูงอายุในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่

นายณัฐฐ์ชูเดช วิริยดิลกธรรม รองนายกเทศมนตรีนคร เชียงใหม่ ได้เดินทางไป เป็นประธานในพิธีลงนามความร่วมมือภาคีเครือข่ายในการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพผู้สูงอายุในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ และอบรมแกนนำผู้สูงอายุ ในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ ซึ่งจัดขึ้นที่บริเวณห้องประชุม โรงแรมบีพีเชียงใหม่ซิตี้ ถนนราชมรรคา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

โดยภายในงานได้มีการได้มีการจัดอบรมแกนนำผู้สูงอายุ ในหัวข้อ “ส่งเสริมผู้สูงวัย ใส่ใจรักสุขภาพ” นอกจากนี้ยังได้มีการลงนามความร่วมมือภาคีเครือข่ายในการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพผู้สูงอายุในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ โดยมีตัวแทนผู้สูงอายุจาก 97 ชุมชนในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้

สำหรับในปัจจุบัน จังหวัดเชียงใหม่ มีจำนวนผู้สูงอายุทั้งสิ้น 29,374 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 23.80 ของประชากรทั้งหมด และมีแนวโน้มว่าจะมีเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเพื่อเป็นการรองรับและการดูแลผู้สูงอายุอย่างครบวงจร ทางเทศบาลนครเชียงใหม่ จึงได้มีการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เพื่อต้องการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ทั้งทางด้านสุขภาพ รวมไปถึงสภาพจิตใจ เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เป็นการช่วยให้ผู้สูงอายุเข้าใจในชีวิต และมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นต่อไป

เชียงใหม่ เปิดรับของบริจาคช่วย สปป.ลาว พร้อมเปิดรับบริจาคทุกวันที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดเชียงใหม่

ที่บริเวณประตูท่าแพ ถ.คชสาร ต.พระสิงห์ อ.เมืองเชียงใหม่ นายศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งร่วมกับกองกำลังรักษาความสงบจังหวัดเชียงใหม่ นำโดยพลตรี สาธิต ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 นายไพรินทร์ ลิ่มเจริญ หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมส่วนราชการทั้งพลเรือน ทหาร ตำรวจและประชารัฐชาวเชียงใหม่ เปิดรับบริจาคสิ่งของบรรเทาทุกข์เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยที่แขวงอัตตะปือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

สำหรับสิ่งของในครั้งนี้ ได้รับความศรัทธาจากชาวจังหวัดเชียงใหม่ ตลอดทั้งนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมาร่วมบริจาคเงินสด สิ่งของ ตลอดทั้งสิ่งของยังชีพเป็นจำนวนมาก พร้อมกันนี้ นางปัทมา เอี่ยมสุวรรณ ประธานชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงใหม่มาร่วมบริจาคและรับมอบสิ่งของสมทบให้กับศูนย์รับบริจาคสิ่งของอีกด้วย ทั้งนี้ นับตั้งแต่วันที่ 30 ก.ค.61 กำหนดเปิดรับบริจาคเงินสดและสิ่งของบรรทุกข์เฉพาะที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดเชียงใหม่ ตั้งอยู่ชั้นล่างศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่เท่านั้น โดยจะเปิดรับบริจาคในวันและเวลาราชการ เริ่มตั้งแต่ 08.30-16.30น.

กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ จัดเวที สานงาน เสริมพลัง ภาคีเครือข่ายสุขภาวะภาคเหนือตอนบน

 

ที่ โรงแรมดิเอมเพลส จ.เชียงใหม่ ได้มีการจัดเวที “สานงาน เสริมพลัง ภาคีเครือข่ายสุขภาวะภาคเหนือตอนบน : ข่วงกำกึ๊ดล้านนา” โดยทางด้านนายประจวบ กันธิยะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานเปิดงาน ซึ่งภายในงานได้มีแกนนำภาคีเครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน กว่า 25 ภาคี กว่า 8010 คน เข้าร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลการทำงาน เชื่อมโยงภาคีเครือข่ายเพื่อพร้อมรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดการหนุนเสริมซึ่งกันและกันในระดับพื้นที่ ส่งผลให้เกิดการขับเคลื่อนงานสร้างเสริมสุขภาวะในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน

 

โดยทางด้าน นพ.วีระพันธ์ สุพรรณไชยมาตย์ รองประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กล่าวว่า สำหรับการดำเนินงานในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือกันระหว่าง สำนักภาคีสัมพันธ์และวิเทศสัมพันธ์ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ในการนำแกนนำภาคีเครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน มาร่วมกันเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนทักษะในการทำงาน โดยใช้ยุทธศาสตร์ “ไตรพลัง” ได้แก่ พลังปัญญา พลังนโยบาย และพลังสังคม เพื่อขับเคลื่อนเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาวะและคุณภาพชีวิตที่ดี

 

ส่งเสริมให้ภาคีเครือข่ายมองเห็นช่องทางในการทำงานร่วมกันในระดับภูมิภาค ภาคเหนือตอนบน และยังเป็นเวทีนำเสนอ “ผลงานสร้างเสริมสุขภาพ” ที่เป็นรูปธรรมชัดเจน เพื่อประโยชน์ในการยกระดับการขับเคลื่อนงานสุขภาวะ ทั้งเชิงพื้นที่และเชิงนโยบายให้มีความกว้างขวางและยั่งยืนต่อไป

 

จิตอาสาจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมโครงการจิตอาสาพระราชทาน “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” พัฒนาพื้นที่คลองแม่ข่าวันสุดท้าย

จิตอาสาจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมโครงการจิตอาสาพระราชทาน “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” พัฒนาพื้นที่คลองแม่ข่าวันสุดท้าย โดยมีประชาชนมาสมัครเป็นจิตอาสาอย่างต่อเนื่องตลอดวัน

พันเอกเศรษฐพล เกตุเต็ม รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 ค่ายกาวิละ เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมโครงการจิตอาสาพระราชทาน “เราทำความดี ด้วยหัวใจ” พร้อมนำจิตอาสากล่าวคำปฏิญาณ ที่ บริเวณตลาดนัดเลอตะวันเชียงใหม่ ซึ่งในวันนี้เป็นการทำกิจกรรมวันสุดท้าย โดยแบ่งจุดปฏิบัติภารกิจการพัฒนาคลองแม่ข่าเป็น 3 จุด ได้แก่

จุดที่ 1 ด้านตะวันตกคลองแม่ข่า สะพานหลังวัดแสนฝาง – สะพานช้างม่อย, จุดที่ 2 ถนนทางเลียบคลองแม่ข่า สะพานหลังวัดแสนฝาง – ถนนช้างม่อยตะวันออก และจุดที่ 3 ถนนท่าแพ – สะพานวัดแสนฝาง โดยได้มีการเก็บขยะในคลองแม่ข่า, ทำความสะอาดถนน ปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบให้สะอาด เพื่อเป็นการพัฒนาให้คลองแม่ข่ามีความสะอาดปราศจากสิ่งปฏิกูลต่างๆ และสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนในพื้นที่ได้ร่วมกันพัฒนาคลองแม่ข่า

ในส่วนของยอดรับสมัครจิตอาสาพระราชทาน “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ”ของ จังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 17 – 18 กรกฎาคม ที่ผ่านมา มียอดรวมที่รายงานตัวแล้ว 6,132 คน ซึ่งในวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเปิดรับสมัคร และประชาชนยังคงทยอยมาสมัครกันอย่างต่อเนื่องตลอดวัน

ในการนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทาน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้กองทัพบก จัดครัวพระราชทานเพื่อประกอบเลี้ยงประชาชนจิตอาสา ที่มาสมัครร่วมเป็นประชาชนจิตอาสาเราทำความ ดี ด้วยหัวใจ ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และพื้นที่ปฏิบัติงานจิตอาสาพัฒนาคลองแม่ข่า

สำหรับการทำกิจกรรมของประชาชนจิตอาสา “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” ในครั้งนี้ก็เพื่อ สืบสานพระราชปณิธาน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่จะมุ่งมั่นด้วยการ “ทำความดี ด้วยหัวใจ” และให้ประชาชน หน่วยงานราชการ ทหาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีความรักความสามัคคี ได้รู้จักการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และเป็นการ ทำกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ให้บ้านเมืองน่าอยู่ สะอาด เกิดความสวยงาม สร้างภูมิทัศน์ที่ดีแก่สถานที่ท่องเที่ยว ที่สาธารณะ ปลูกจิตสำนึกและสร้างความตระหนักเรื่อง การรักษาความสะอาดกับทุก ภาคส่วน ตลอดจน เป็นการปรับภูมิทัศน์สถานที่ท่องเที่ยวให้สะอาดสวยงาม