เศร้าสลดสองพ่อลูกจูงมือผูกคอตายหนีปัญหาหนี้สิน

พ.ต.ต.สยาม อินทร์น้อย สารวัตรสอบสวน สภ.จอมทอง จ.ได้รับแจ้งมีเหตุคนแขวนคอตายที่ป่าละเมาะท้ายหมู่บ้าน หมู่ 2 ต.ข่วงเปา อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบแล้วเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมกับชุดสืบสวน เจ้าหน้าที่กู้ภัย

ที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่พบศพนายศักดิ์ อายุ 64 ปี ชาว จ.ลำพูน สภาพศพ สวมกางเกงขายาว สีดำ สวมเสื้อแขนสั้น สีน้ำตาล สวมรองเท้าแตะ สภาพลิ้นจุกปาก ใช้เชือกไนล่อนผูกกับต้นกะฐิน ห่างออกกันประมาณ 1 เมตร พบศพ น.ส.วนิดา อายุ 25 ปี ลูกสาว สภาพสวมกางเกงยีนส์ สีน้ำเงิน สวมเสื้อยืดแขนสัน สีดำ สวมทับด้วยเสื้อยีนส์ สีน้ำเงิน สภาพลิ้นจุกปาก ใช้เชือกไนล่อนผูกกับต้นกะฐินเช่นเดียวกัน สภาพศพทั้งสองไม่ม่ร่องรอยการถูกทำร้ายแต่อย่างไร จากการสอบสวนทราบว่าผู้ตายทั้งสองคนเป็นพ่อลูกกัน แต่มาเช่าทำสวนอยู่ใกล้กับบริเวณที่เกิดเหตุ ก่อนเกิดเหตุลูกสาวที่พึ่งจบปริญญาตรี มาไม่นาน มาทำธุรกิจเช่าที่นา เพื่อเตรียมปลูกพืชผักเลี้ยงสัตว์ขาย แต่ปัญหาไวรัสโควิด ทำให้เงินลงทุนขาดสภาพคล่อง จนต้องหยิบยืมและกู้เงิน หลายแห่งจนเป็นหนี้สินจำนวนมาก ก่อนเกิดเหตุก็มีคนมาทวงหนี้เป็นประจำ จนอยู่แทบไม่ได้ พ่อพยายามช่วยหาทางออกไปยืมเงินคนอื่นแต่ก็ไม่ได้ ช่วงกลางดึก.ทั้งสองคนตัดสินใจไปกระโดดน้ำปิงฆ่าตัวตาย แต่น้ำในแม่น้ำปิงตื้นและมีคนมาห้ามไว้ทัน จึงตัดสินใจชวนกันแขวนคอตายหนีปัญหาหนี้สินดังกล่าว

พ่อบ้านเมียทิ้งสติหลุดจุดไฟเผาบ้านก่อนปลิดชีพตัวเองด้วยปืนแก๊ปดับในกองเพลิง

ร.ต.อ. กิติศักดิ์ คำมานะ ร้อยเวร สภ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้บ้านเลขที่ 89 หมู่ 9 บ้านไม้สะเป่ ต.ปางหมู อ.เมืองแม่ฮ่องสอน มีผู้ถูกไฟคลอกเสียชีวิตคากองเพลิง 1 ศพ หลังรับแจ้งจึงเดินทางไปสอบสวนที่เกิด พร้อมด้วย พ.ต.อ. ภาสวินท์ แก้วต่าย ผกก.สภ.เมืองแม่ฮ่องสอน แพทย์เวร รพ.ศรีสังวาลย์แม่ฮ่องสอน ตำรวจวิทยาการกองพิสูจน์หลักฐานและเจ้าหน้าที่มูลนิธิบรรเทาสาธารณภัย จ.แม่ฮ่องสอน

บ้านที่เกิดเหตุตั้งอยู่กลางหมู่บ้าน รถดับเพลิงเทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน และอบต.ปางหมู จำนวน 2 คัน ได้ช่วยกันดับไฟแต่ทำได้ยากเพราะถนนเข้าไปในที่เกิดเหตุค่อนข้างแคบ และพยายามฉีดสกัดไม่ให้ไฟลุกลามไปยังบ้านข้างเคียงที่อยู่ติดกันหลายหลัง ส่วนบ้านต้นเพลิงซึ่งเป็นบ้านสองชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ถูกไฟเผาไหม้พร้อมสิ่งของวอดทั้งหลัง ในบ้านพบศพนาย จำรูญ อายุ 49 ปี เจ้าของบ้านถูกไฟคลอกดเสียชีวิตร่างเป็นตอตะโก ข้างศพมีอาวุธปืนแก๊ปยาววางอยู่ 1 กระบอกโดยมือขวาของผู้ตายยังกำอยู่ปลายกระบอกปืน ที่บริเวณใต้คางผู้ตายมีบาดแผลจากการถูกอาวุธปืนเป็นรูหลายแห่ง

จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า นายจำรูญ ผู้ตายน่าจะก่อเหตุขึ้นเอง เนื่องจากปกติผู้ตายมักจะดื่มสุราเป็นประจำ ก่อนหน้านี้ประมาณ 1 เดือน หลังมีอาการมึนเมาสุราก็ขู่จะฆ่าลูกเมียยกครัว จนผู้เป็นเมียกับลูกต้องย้ายออกจากบ้านไปอาศัยอยู่บ้านญาติที่อยู่ต่างหมู่บ้าน คาดว่าครั้งนี้ผู้ตายหลังจากนั่งดื่มสุราตลอดทั้งคืนคงน้อยใจที่ไม่มีใครเหลียวแล ประกอบกับเมื่อดื่มเหล้ามาก จึงขาดสติก่อเหตุจุดไฟเผาบ้านของตนเองขึ้นในช่วงใกล้ฟ้าสาง จากนั้นได้ใช้อาวุธปืนแก็ปของตนเองแนบลำตัวปลายปืนจ่อใต้คาง ใช้เท้าเหนี่ยวไกลปลิดชีพตนเองดังกล่าว

ลูกจ้างป่าไม้ปืนดุบุกยิงโฟว์แมนดับซัลโวเต็มอก4นัดซ้อนสาเหตุทะเลาะกันในวงเหล้า

พ.ต.อ.สุคนธ์ แสงอรุณ รอง ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ พ.ต.อ.อรุณศักดิ์​ บัวประเสริฐยิ่ง ผกก.สภ.กัลยาณิวัฒนา​ พร้อมด้วยชุดสืบสวนสภ.กัลยาณิวัฒนา จับกุมตัวนายพงษ์ศักดิ์​ อายุ 47 ปีชาว อ..กัลยาณิวัฒนา​ จ.เชียงใหม่ พร้อมของกลางอาวุธปืนสั้นขนาด 9 มม. 1 กระบอก ดำเนินดคีข้อหา”ฆ่าคนตายโดยเจตนา​, พาอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนไปในเมืองหมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุอันควร, ยิงอาวุธปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมืองหรือหมู่บ้าน”

สืบเนื่องเมื่อคืนวันที่ 27 ก.ค.ที่ผ่าน เกิดเหตุคนบุกยิง โฟร์แมนก่อสร้างที่รับเหมาสร้างถนนสาย สะเมิง​ -​ วัดจันทร์​ ช่วงระหว่าง​ กม.ที่​ 79-80 บ้านแจ่มน้อย​ ม.5​ ต.บ้านจันทร์​ อ.กัลนาณิวัฒนา​ จ.เชียงใหม่​ พบศพนายพีรยุทธ​ อายุ​ 25​ ปี​ ชาว อ.ขามทะเลสอ​ จ.นครราชสีมา​ ถูกยิงด้วยอาวุธปืน 9 มม. เข้าที่แผงหน้าอกจำนวน 4 นัดเสียชีวิตคาที่ ระหว่างเกิดเหตุมีเหล่าคนงานก่อสร้างอยู่กว่า 10 คนสร้างความแตกตื่นตกใจเหลายคนวิ่งหนี จากการสอบสวนทราบว่าคนร้ายรายนี้คือนายพงษ์ศักดิ์ เป็นลูกจ้างชั่วคราว จนท.ป่าไม้​ ชม.12​ (วัดจันทร์)​พื้นที่สะเมิง กัลยาณิวัฒนา โดยก่อนเกิดเหตุนายพงษ์ศักดิ์ ได้ขับรถกปิ๊กอัพมาจอดแล้วถามหาผู้ตายซึ่งกำลังคุมงานก่อสร้าง พอเจอถามผู้ตายถามว่าวันนั้น”มึงมีเรื่องกับกูใช่ไหม” พอผู้ตายบอกว่าใช่และขอโทษเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนั้น แต่นายพงษ์ศักดิ์ โมโหชักปืนออกมายิงใส่ 4 นัดซ้อนแล้วหลบหนีไปจนถูกำจับกุมตัวได้สอบสวนทราบว่าก่อนเกิดเหตุนายพงษ์ศักดิ์ มือปืนกับนายพีรยุทธ ผู้ตายเคยนั่งกินเหล้าด้วยกันแต่มีเรื่องทะลาะกันในวงเหล้าเพราะพูดจาผิดหูกันจึงตามมาล้างแค้นบุกยิงด้วยอาวุธปืนจนนายพีรยุทธ เสียชีวิตดังกล่าว

นายทุนหัวใสรุกป่าสงวนปลูกข้าวโพดบังหน้าด้านในยกแปลงปลูกกัญชาหลายร้อยต้นเจ้าหน้าที่สนธิกำลังบุกยึดทำลายขยายผลผู้อยู่เบื้องหลังดำเนินคดี

 

พ.ต.อ.ศานุวงษ์ คงคาอินทร์ ผกก.4 บก.ปทส. สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 33 เข้าตรวจสอบกนณีกลุ่มนายทุยบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่หาดและป่าแม่ก้อ หมู่ที่ 5 บ้านโปงทุ่ง ตำบลโปงทุ่ง อ.ดอยเต่า จ.เชียงใหม่ พบพื้นที่ป่าสงวนถูกแผ้วถางทำลาย ทำเป็นแปลงข้าวโพดบังหน้า ด้านในปลูกกัญชาไว้หลายร้อยต้นโดยมีร่องรอยการนำเครื่องจักรกลขนาดใหญ่เข้าไปดำเนินการแผ้วถางกินพื้นที่กว่า 6 ไร่ 3 งาน 84 ตารางวา คิดเป็นค่าเสียหายของรัฐจำนวนเกือบ 5 แสนบาท ทางเจ้าหน้าที่จึงร่วมกันตัดทำลายต้นกัญชาเผาทั้งหมดทิ้ง และจะได้สืบสวนขยายผลหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป

รวบหนุ่มพม่าโหดมีดฟันคอนายจ้างดับ

พ.ต.อ.ชลเทพ ใหม่ไชย ผกก.สภ.พร้าว จ.เชียงใหม่ พร้อมด้วยชุดสืบสวน สภ.พร้าว จับนายทูน ไม่มีนามสกุล อายุ 32 ปีชาวเมียนมา พร้อมของกลาง เคียวเกี่ยวข้าว จอบ และมีด เปื้อนเลือด ควบคุมตัวดำเนินดคีข้อหา”ฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา” โดยก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.วาลพ สมาธิ รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.พร้าว จ.เชียงใหม่ได้รับแจ้ง ว่า มีเหตุฆ่ากันตาย เหตุเกิดข้างถนนริมทุ่งนาก่อนถึง บ้านป่าหญ้าไทร- บ้านเหล่า หมู่3 ต.ป่าไหน่ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ หลังจากได้รับแจ้งจึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบแล้วเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อม เจ้าหน้าที่กู้ภัยพร้าววังหิน และแพทย์เวรจาก รพ.พร้าว พบศพนางนะอายุ 50 ชาวบ้าน ต.ป่าไหน่ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ นอนเสียชีวิตสภาพศพนอนหงาย ถูกของมีคมฟันที่บริเวณแก้มซ้าย และท้ายทอย ในมือขวาผู้ตายกำเส้นผมของคนร้ายไว้จำนวนหนึ่ง กระเป๋าสะพายของผู้ตายมีร่องรอยการถูกรื้อค้นเปาทรัพย์สินไป ห่างจุดเกิดเหตุ 20 เมตรมีเพิงพักไม้ชั้นเดียวภายในพบตัวนายทูน ผู้ต้องหาหลบซ่อนอยู่ เมื่อเห็นตำรวจพยามจะหลบหนีจึงจับกุมตัวไว้ ค้นในเพิงพักก็พบเคียวเกี่ยวหญ้า จอบ และ มีด เปื้อนเลือด รวมทั้งเงินสดอีกจำนวนหนึ่ง สอบสวน เบื้องต้นนายทูน ให้การรับสารภาพว่าเป็นลูกจ้างทำนา ของผู้ตาย มาทำงานได้หลายเดือนแล้และอ้างว่าถูกดุด่าเป็นประจำ ล่าสุดเมื่อราว 3 ทุ่มคืนที่ผ่านมา ผู้ตายเดินมาหาแล้วดุด่าอีกว่า ว่าทำงานไม่คุ้มค่าจ้าง ด้วยความโมโห จึงคว้ามีดฟันที่ท้ายทอย และฟันหน้า พอเห็นผู้ตายล้มลงตาย ก็ขโมยทรัพย์สินแล้วกลับมาเก็บของที่เพิงพักเพื่อหลบหนีแต่ถูกจับกุมเสียก่อน

คุมตัวโชเฟอร์รถตู้โหดฆ่าปาดคอเศรษฐีนีใจบุญทำแผนสารภาพสิ้นขอยืมเงินคนตาย3แสนกลับได้แค่2หมื่นโมโหไม่ช่วยเหลือทั้งที่รู้จักกันมานาน5ปีติดหนี้ตกงานแถมติดพนันออนไลน์หนี้สินล้นถูกทวงทุกวันตำรวจไม่ปักใจเชื่อประเด็นทรัพย์สินผู้ตายหายอีกอื้อให้การวกวนตามทวงคืนญาติให้หมด

จากกรณี น.ส. สวย(นามสมมุติ) อายุ 70 ปี เศรษฐีใจบุญ ถูกนายนวฤทธิ์ อายุ 37 ปี ชาวอ.สันทราย จ.เชียงใหม่ คนขับรถตู้ ฆ่าปาดคอแล้วลากศพไปทิ้งอำพราง ในป่าละเมาะริมถนนสายแม่ออน – แม่ตะไคร้ ถนนหมายเลข 1230 ระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 19 ถึง 20 บ้านสหกรณ์ 6 ต.บ้านสหกรณ์ อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ ก่อนจะหลบหนีไปจังหวัดเชียงราย และถูกตำรวจจับกุมตัวได้ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ข่าวคืบหน้า พ.ต.อ.คมสันต์ สะอาดล้วน ผกก.สภ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ พร้อมทีมพนักงานสอบสวน และชุดสืบสวน ควบคุมตัวนายนวฤทธิ์  ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพบริเวณป่าริมถนนสายแม่ออน-แม่ตะไคร้ ถนนหมายเลข 1230 ระหว่าง กม. 19-20 ต.สหกรณ์  อ.แม่ออน ซึ่งเป็นจุดที่ผู้ต้องได้ใช้มีดฆ่าปาดคอ และแทงท้อง น.ส.สวย เมื่อวันที่ 11กค.ที่ผ่านมาก่อนจะลากศพทิ้งป่าข้างทาง และไปทำแผนจุดอื่นๆ เช่น ตอนย้อนกลับเข้าไปรื้อค้นทรัพย์สินของผู้ตายที่ห้องพักคอนโดมิเนียม ยาสนช้างคลาน ของผู้ตาย รวมทั้งจุดที่เอาตู้เซฟไปโยนทิ้งน้ำ ก่อนนำตัวมาสอบสวนเพิ่มเติมและจะนำตัวฝากขังศาลจังหวัดเชียงใหม่ต่อไป

จากการสอบปากคำและนำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ นายนวฤทธิ์ ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพและให้ความร่วมมือกับทางตำรวจด้วยดี และยอมรับสารภาพในการก่อเหตุฆ่า น.ส.สวย แต่ยังให้การวกวนเรื่องทรัพย์สินของผู้ตายที่คนร้ายได้ไป โดยผู้ต้องหามีปัญหาเรื่องการเงินหนักมากและมีหนี้สินกว่า 8 แสนบาท ทั้งค่างวดรถตู้ที่ขาดส่ง ค่าบ้าน ค่าหนี้อื่นอีกจำนวนหนึ่ง สาเหตุเนื่องจากการระบาดของโรคโควิด-19 ไม่มีแขกรถตู้ไม่ได้วิ่ง จึงถูกเจ้าหน้าทวงเงินที่ค้างจ่ายและติดหนี รวมทั้งนายนวฤทธิ์  ชอบเล่นพนันออนไลน์ด้วย ที่ผ่านมาติดหนี้และเสียเงินไปจำนวนมาก ทำให้เครียดหนัก ต้องหาเงินมาใช้หนี้โดยเร็วที่สุด จึงเอ่ยปากขอยืมเงินจำนวน 3 แสนบาท จาก น.ส.สวย ระหว่างทางไปส่งทำบุญเพราะรู้จักและขับรถรับส่งกันมานานกว่า 5 ปี แต่ นส.สวย ไม่ให้ยืมเงิน 3 แสนบาท ตามที่เอ่ยปากขอแต่จะช่วยเหลือได้แค่ 2 หมื่นบาทเท่านั้น ทำให้เกิดความโกรธและบันดาลโทสะข่มขู่จะขอยืมเงินจำนวนนี้ให้ได้ ผู้ตายได้ใช้โทรศัพท์ขอความความช่วยเหลือจากผู้อื่นให้มารับ คนร้ายจึงขับรถเข้าป่าข้างทางแล้วจอดนำมีดออกมาขุมขู่จับล็อคแล้วใช้มีดปาดคอ ลากเข้าไปในป่าลึกราว 20 เมตร แล้วจ้วงแทงซ้ำอีกหลายครั้งจนเสียชีวิตหลังลงมือแล้วได้ทิ้งศพไว้ตรงนั้นแล้วขับรถตู้ ไปที่คอนโดของ น.ส.สวย โดยขับผ่านกล้องวงจรปิด ทำเหมือนว่ากลับมาส่ง น.ส.สวย แล้ว ก่อนจะแอบขึ้นคอนโด เข้าค้นห้องหาของมีค่าก็เจอแต่ตู้เซฟ จึงยกตู้เซฟออกมาด้วยแต่เปิดไม่ได้ จึงเอาโยนทิ้งคันคลองชลประทาน ส่วนทรัพย์สินติดตัว น.ส.สวย มีเงินสดจำนวน 20,000 บาทก็เอาไปด้วย

ทางตำรวจเรายังไม่ปักใจเชื่อคำให้การของผู้ต้องหาประเด็นทรัพย์ของผู้ตายที่หายไปเพราะให้การหลายครั้งไม่เหมือนกัน ต้องหาหลักฐานพยานเชื่อมโยงอีกครั้ง เพราะตอนก่อนที่ผู้ตาย จะออกไปกับผู้ต้องหา ผู้ตายพึ่งไปเบิกเงินสดจำนวน 8 แสนบาท มาแต่ตอนนี้เงินตรงนี้หายไป และยังมีทรัพย์สินเช่นสร้อย แหวน ที่ยังไม่รู้ว่าหายไปไหนจึงต้องรอให้ทางญาติของผู้ตายมายืนยันอีกครั้ง ซึ่งจะตรวจสอบว่าผู้ต้องหานำเงินไปใช้อะไร โอนให้ใคร มีคนใกล้ชิดของผู้ต้องหาได้รับเงินอะไรบ้างไหม หากเกี่ยวกับของผู้ตายตำรวจก็จะดำเนินการเอากลับคืนมาทั้งหมด ส่วนตู้เซฟนั้นทางตำรวจได้มาแล้วหลังคนร้ายนำไปโยนทิ้ง และยังไม่สามารถเปิดดูข้างในว่ามีทรัย์สินอะไรบ้าง เพราะไม่ทราบระหัส ซึ่งจะได้ปรึกษาญาติของผู้ตายและให้ผู้เชี่ยวชาญมาทำการเปิดต่อไป

ฆ่าปาดคอเศรษฐีนีใจบุญวัย70ปีลากศพทิ้งป่าละเมาะแม่ออนรวบหนุ่มวัย38ปีคนขับรถตู้สารภาพพาไปทำบุญทะเลาะกันระหว่างทางบันดาลโทสะพลั้งมือฆ่าก่อนยกตู้เซฟหนี

พ.ต.อ.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย รองผบก.สส.ภ.5 พ.ต.อ.คมสันต์ สอาดล้วน ผกก.สภ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ พร้อมพวก จับกุมนายนวฤทธิ์ อายุ 37 ปีชาว อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ดำเนินคดี ข้อหา”ฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา ข่อนเร้นปิดบังอำพรางศพ นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ ดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 14 กค.ที่ผ่านมา ญาติของ น.ส.สวย (นามสมมุติ) อายุ 70 ปี เข้าแจ้งความกับตำรวจว่า น.ส.สวย ได้นั่งรถตู้ออกจากคอนโด แล้วหายตัวไปทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิดโดยทั่วก็พบว่ารถตู้ดังกล่าวหมายเลขทะเบียน ฮจ 1536 เชียงใหม่ สีขาว มีนายนวฤทธิ์ เป็นเจ้าของรถ ได้ขับมารับ น.ส.สวย ออกจากคอนโด หลังจากนั้นเดินทางไปท่องเที่ยวที่บ้านแม่คำปอง อ.แม่ออน สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งรถตู้ดังกล่าวไว้แวะจอดบริเวณป่าริมถนนสายแม่ออน – แม่ตะไคร้ ถนนหมายเลข 1230 ระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 19-20 บ้านสหกรณ์ 6 ต.บ้านสหกรณ์ อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ ก่อนจะมีพยานเห็นคนร้ายเป็นชายลาก น.ส.สวย ลงจากรถแล้วฉุดกระชากหายเข้าไปในป่าละเมาะข้างทาง

ตำรวจและเจ้าหน้าที่กู้ภัยและฝ่ายปกครองจึงระดมคนปูพรมคนหาพื้นที่ป่าบริเวณดังกล่าว กระทั่งเช้ามืดวันที่ วันที่ 17 ก.ค. จึงพบศพของ น.ส.สวย สภาพศพถูกมีดปาดคอ เป็นแผลยาวและมีรอยถูกแทงด้วยมีดที่ท้องและลำตัวจำนวนหลายแผล นอนจมกองเลือดเสียชีวิต ณ จุดเกิดเหตุ ตำรวจชุดสืบสวนได้ไล่ล่า นายนวฤทธิ์ ฆาตกรโหดนี้ทันทีพบว่าหลบหนีไปที่ จ.เชียงราย และจับกุมตัวมาสอบสวนก็ให้การรับสารภาพว่า ได้ลงมือฆ่า น.ส.สวย จริง วันเกิดเหตุไปรับผู้ตายที่คอนโดมิเนียม ย่านถนนช้างคลาน หลังจากนั้นไปบริจาคสิ่งของให้กับเด็กที่วัดในพื้นที่บ้านแม่กำปอง ขากลับมาถึงที่เกิดเหตุได้ชวนผู้ตายลงจากรถมาพูดคุยเพื่อตกลงปัญหาบางอย่างกัน แต่ตกลงไม่ได้มีปากเสียงทะเลาะ จึงเกิดบันดาลโทสะใช้มีดปอกผลไม้ ที่อยู่ในรถตู้มาปาดคอและจ้วงแทงที่ท้องแล้วลากศพลงป่าข้างทาง หลังลงมือขับรถตู้กลับเข้าตัวเมืองมาที่ห้องที่คอนโดมิเนียมของผู้ตายแล้วยกตู้เซฟในห้องขึ้นรถไป แต่ไม่ทราบรหัสตู้เซฟทำให้เปิดไม่ได้ จึงนำตู้เซฟไปโยนทิ้งในบ่อน้ำ ในคันคลองชลประทาน ต.แม่เหียะ จากนั้นจึงกลับไปบ้านพักในอำเภอสันทราย เก็บข้าวของแล้วหลบหนีไปยังจังหวัดเชียงราย จนถูกจับกุมตัว

ตามแนวทางสืบสวนสอบสวนทราบวาส น.ส.สวย เป็นเศรษฐีนีมีฐานะร่ำรวย ใจบุญ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น มีญาติพี่น้องอยู่ที่ปรเทศสหรัฐอเมริกา เพิ่งขายที่ดินได้ผืนหนึ่ง ใน อ.สะเมิง ราคาหลายสิบล้านบาท มาซื้อคอนโดอยู่ย่านใจกลางเมืองเชียงใหม่ รู้จักับผู้ต้องหานานแล้วและเรียกใช้บริการรถตู้ของนายนวฤทธิ์ เวลาไปทำบุญและไหนมาไหนตลอด และ ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุ ให้การว่าไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ส่วนลงมือทำเพียงคนเดียวไม่มีบุคคลอื่นร่วมด้วย ซึ่งนายนวฤทธิ์ ยังไม่ยอมให้การในบางประเด็น โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์กับผู้ตาย และสาเหตุที่ลงมือฆ่า ซึ่งทางตำรวจจะสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้ง

“รฎาวัญ”ช่วยเหลือคนติดโควิด-19สร้างภูมิคุ้มกัน9วิธีกินยาไทยของโครงการแพทย์แผนไทยช่วยชาติส่งให้ฟรีถึงบ้าน

นางรฎาวัญ วงศ์ศรีวงศ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานองค์กรภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย เปิดเผยว่า ตามที่ได้จัดโครงการแพทย์แผนไทยช่วยชาติร่วมกับสภาครูแพทย์แผนไทย ทับลานคลินิกการแพทย์แผนไทย และแพทย์แผนไทยอาสาจำนวนหนึ่ง ตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน 2564 เป็นต้นมา ได้เปิดสายด่วนรับเรื่องร้องทุกข์จากผู้ป่วยที่มีอาการ เจ็บคอ ไอ มีไข้ ไม่สามารถไปรักษาที่ตัวโรงพยาบาลได้ ต้องกักตัวรอเตียงอยู่ในบ้าน โดยไม่มียารับประทานเป็นจำนวนกว่า 10,000 คน แต่สามารถผลิตตำรับยาแผนไทยส่งให้รับประทานที่บ้านได้เพียง 2,000 คนเท่านั้น เราพบว่าในจำนวนนี้หลายคนมีอาการน่าเป็นห่วง คือมีไข้สูง อาเจียน แน่นหน้าอก จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส อ่อนเพลียไม่มีแรง แต่ก็ไม่มีโรงพยาบาลใดส่งรถไปรับอ้างว่าเตียงเต็มแล้ว และมีจำนวนไม่น้อยที่รับแจ้งทางโทรศัพท์หลังการตรวจแล้วว่าติดเชื้อให้กักตัวที่บ้านโดยไม่มีเอกสารยืนยันเลย นับว่าเป็นวิกฤตสุขภาพที่รุนแรงมาก

นางรฎาวัญ กล่าวว่าคณะแพทย์แผนไทยช่วยชาติเราทำงานกันด้วยจิตอาสาออกค่าใช้จ่ายกันเอง มีประชาชนร่วมบริจาคยาและค่าผลิตยาแผนไทยมาส่วนหนึ่ง พบว่าคนที่ได้รับประทานยาแผนไทยสามตำรับคือ ยาห้าราก ยาจันทลีลา ยาประสะฟ้าทะลายโจร บางรายต้องทานยาสัตตะโกฐเพิ่ม ล้วนมีอาการดีขึ้นภายในเวลา 5 วันหลายรายมีผลตรวจเป็นลบไม่พบเชื้อโควิด-19มีใบรับรองแพทย์ยืนยันได้ว่าหายป่ายแล้ว ด้วยเหตุนี้ดิฉันและคณะแพทย์ทุกท่านจึงจะทำโครงการแพทย์แผนไทยช่วยชาติเฟส2ต่อไปอีกเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ป่วยไข้ไร้ที่พึ่ง โดยตั้งเป้าจะระดมทุนผลิตยาทั้งสามตำรับ จำนวน 3,000,000 แค้ปซูลสำหรับผู้ป่วยที่มีเอกสารยืนยันผลตรวจเป็นบวกติดเชื้อโควิด-19ประมาณ 10,000 คน เพื่อจะช่วยคนที่มีผลตรวจเป็นบวกให้ได้รับประทานยาแผนไทยบรรเทาอาการป่วยไข้ในระยะเริ่มต้นระหว่างรอไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล

แพทย์เวชกรรมไทย ณิชกรณ์วัน วัดพุทธญาณวงศ์ หัวหน้าทีมแพทย์แผนไทยช่วยชาติ กล่าวว่า เรามีกำลังใจและมีความเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้นเมื่อเราให้ผู้ป่วยที่มีอาการตรงกับไข้พิษ ไข้เหนือ ไข้กาฬ ตามคัมภีร์ตักกะศิลาแล้วมีอาการดีขึ้นภายใน 5วันในช่วงสองเดือนกว่านับตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ เราส่งยาไปให้ที่บ้านแล้วก็มีการแนะนำวิธีรับประทานยาอย่างถูกต้อง มีการติดตามผลตลอด 5 วันอย่างใกล้ชิด ซึ่งจำเป็นมากที่การจ่ายยาให้คนป่วยจะต้องทำโดยแพทย์เวชกรรมไทย เพราะข้อมูลทางสรีระของแต่ละคนจะแตกต่างกัน เราไม่สามารถให้ยาเท่ากันได้ทุกคน เราต้องละเอียดรอบคอบที่สุดเพราะนี่คือการรักษาชีวิตของประชาชนที่ป่วยไข้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของแพทย์แผนไทยทุกคนค่ะ

แพทย์เวชกรรมไทย โสภณภัคจ์ วัดพุทธญาณวงศ์ ประธานสภาครูแพทย์แผนไทย กล่าวว่า วันนี้คนไทยทุกคนควรภาคภูมิใจที่ในหลวงรัชกาลที่5ทรงโปรดเกล้าฯให้บันทึกคัมภีร์ตำรับยาแผนไทยไว้ในตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์แห่งชาติ ซึ่งทับลานคลินิกการแพทย์แผนไทยและอีกหลายคลินิกทั่วประเทศก็ได้ปรุงยาตามคัมภีร์ตักกะศิลาและคัมภีร์อื่นๆรักษาโรคให้ผู้ไข้ตลอดมา ก่อนการระบาดของไวรัสโควิด-19แล้ว ขณะนี้สภาครูแพทย์แผนไทยกำลังขอให้อาจารย์รฎาวัญ วงศ์ศรีวงศ์ ประธานองค์กรภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยหาทุนมาจัดอบรมถ่ายทอดทักษะประสบการณ์การให้ยาแผนไทยแก่ผู้ป่วยโควิด19ซึ่งมีอาการคล้ายโรคไข้พิษเหนือกาฬในอดีตให้แก่แพทย์เวชกรรมไทยที่สนใจ รุ่นแรกจำนวน 250 คน จะจัดอบรมใน 5 ภาค คือภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคละ 50 คน เพื่อจะได้มีแพทย์แผนไทยที่มีความรู้เฉพาะโรคอุบัติใหม่กระจายกันดูแลรักษาประชาชนที่ป่วยไข้ทั่วประเทศ

นางรฎาวัญ กล่าวอีกว่า องค์กรภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยจะนำร่องโครงการใหม่ “บ้านคือโรงพยาบาล แม่คือหมอในครอบครัว” โดยจะให้บทบาทแก่สตรีเพศแม่คือ แม่ ภรรยา พี่ ป้า น้า อา ย่า ยาย ในครอบครัวผู้ป่วยทั้ง 10,000 คนที่เราจะส่งยาแผนไทยไปให้ถึงบ้านฟรี มีความรู้เรื่องการใช้ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยสร้างภูมิคุ้มกันโรค ป้องกันการติดเชื้อ และลดอาการรุนแรงของการป่วยไข้ให้แก่ญาติพี่น้องที่พักอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน รวมทั้งในทุกครอบครัวทั่วประเทศ โดยจะเผยแพร่องค์ความรู้ที่นำไปปฏิบัติได้ในทุกช่องทางการสื่อสาร และเครือข่ายแพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ หมอพื้นบ้านและหมอชนเผ่าทั่วประเทศ

“เราเตรียมผลิตและเผยแพร่สื่อองค์ความรู้ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยที่นำไปปฏิบติในครอบครัวได้ง่ายๆสามารถเสริมสร้างความแข็งแรงให้เม็ดเลือดแดง ปอด หัวใจ อวัยวะทุกส่วนในร่างกาย โดยประหยัด ไม่สิ้นเปลืองเงินมากมายเลย “โครงการบ้านคือโรงพยาบาล แม่คือหมอในครอบครัว” เป็นโครงการที่ดีมากควรจะเป็นภาระกิจของส่วนราชการที่รับผิดชอบด้านคุณภาพชีวิตและด้านสุขภาพของประชาชน เช่นกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้สนับสนุนงบประมาณ เข้ามาร่วมดำเนินการกับองค์กรภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยเพื่อจัดทำในทุกหลังคาเรือน ทุกห้องพัก ทุกอพาร์ทเม้นท์ ทุกคอนโดมีเนียม คือใช้ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยป้องกันการติดเชื้อ. และใช้ตำรับยาแผนไทยรักษาอาการไข้ ก็จะช่วยลดการแพร่ระบาด การป่วยไข้และการเสียชีวิตจากไวรัสโควิด19ได้อย่างรวดเร็ว ผู้ที่มีเอกสารผลตรวจเป็นบวกกักตัวรอเตียง ประชาขนกลุ่มเสี่ยง สตรีและประชาชนทั่วไป ติดต่อแพทย์แผนไทยช่วยชาติที่สะดวกที่สุดได้ที่ สายด่วน 081-8352895 , 083-2936644 ,062-5982355 ” นางรฎาวัญ กล่าวในที่สุด

มาได้ไงไอ้เข้ยาว2เมตรซุกพงหญ้าชาวบ้านออกหาเห็ดจ๊ะเอ๋วิ่งป่าราบ

เจ้าหน้าที่กู้ชีพเทศบาลสันโป่ง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า พบจระเข้ขนาดใหญ่ในพื้นที่ชายป่าบ้านป่าติ้ว หมู่ที่ 2 ตำบลสันโป่ง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ จึงได้นำกำลังเข้าไปตรวจสอบ พบกับจระเข้ ขนาดลำตัวยาวกว่า 2 เมตร นอนขดอยู่ในพงหญ้า ทางเจ้าหน้าที่จึงช่วยกันจับตัวจระเข้ดังกล่าวมัดไว้ได้

จากการสอบถามชาวบ้านทราบว่าก่อนเกิดเหตุ ชาววบ้านได้ออกไปหาเห็ดในป่าเขตติดต่อระหว่างบ้านป่าติ้ว หมู่ 2 และบ้านใหม่จอมแตง หมู่ 11 ต.สันโป่ง แม่ริม ขณะที่กำลังเดินหาเห็ดอยู่ในป่านั้นก็ได้สังเกตเห็น จระเข้ขนาดใหญ่นอนอยู่ในพงหญ้า ชาวบ้านต่างตกใจวิ่งหนีออกจากป่ามาแจ้งเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบ และจับตัวดังกล่าว โดยเบื้องต้นคาดว่าจระเข้ตัวนี้เป็นจระเข้ที่ถูกเลี้ยงไว้จากชาวบ้านหรือจากฟาร์มหลุดออกมา ซึ่งจะได้ประสานให้เจ้าหน้าที่กรมประมงมารับตัวเพื่อนำไปเลี้ยงดูและสืบหาเจ้าของต่อไป

 

รวบแล้วครบแก๊งโจรจี้ร้านทองเยาวราชเวียงแหงหลังหนีกบดานเมียนมา

จากกรณีเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. ได้มีคนร้ายเป็น ชาย 2 คน ขับขี่รถจยย. มาจอดหน้าร้านห้างทองเยาวราชเวียงแหง เลขที่ 327/1 หมู่ 4 ต.เมืองแหง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ โดยคนร้ายจำนวน 1 คน เดินเข้ามาในร้าน โดยทำทีสอบถามราคาทอง หลังจากนั้นได้กระโดดขึ้นมาใช้ค้อนและก้อนหินทุบไปยังตู้กระจกที่เก็บทองรูปพรรณไว้ และคนร้ายได้ชักอาวุธปืนพกชนิดลูกโม่ ยิงไปที่เจ้าของร้านหลายครั้ง แต่กระสุนไม่ลั่น และคนร้ายได้กวาดทองรูปพรรณ ใส่กระเป๋าเป้ไป จำนวน 32 บาทก่อนหลบหนีไป ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมตัวนายอะเลปะ จันจา อายุ 31 ปีอาศัยอยู่ในบ้านเช่าไม่มีเลขที่ ที่บ้านเปียงหลวง หมู่ 1 ต.เปียงหลวง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดเชียงใหม่ ที่ จ.379/2564 ในข้อหา”ร่วมกันชิงทรัพย์โดยมีหรือใช้อาวุธปืน โดยร่วมกระทำผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองทรัพย์ โดยมียานพาหนะเพื่อกระทำผิดหรือพาทรัพย์นั้นไปเพื่อให้พ้นการจับกุม และพยายามฆ่า” ซึ่งตัวนายอะเลปะ ทำหน้าที่ขับขี่รถจยย. พาคนร้ายก่อนเหตุ ได้หลบหนีข้ามชายแดนไปกบดานที่ฝั่งประเทศเมียนมา ตามข่าวที่ได้เสนอไปแล้วนั้น

เมื่อวันที่ 10 ก.ค.64 กองกำลังทหารเมียนมา(เชื้อสายว้า) สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ในเขตประเทศเมียนมาจึงประสานมายังเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย พ.ต.อ.อัครภณ วริศเจริญ ผกก.สภ.เวียงแหง พ.ต.อ.นพฤทธิ์ กันทา ผกก.สส.ภ.จว.เชียงใหม่ พร้อมกำลังจากกองบังคับการควบคุมที่ 1 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 5กองกำลังผาเมือง โดย ร.ท.สิทธินนท์ เกิดโถ เป็น หน.ชุด ได้ทำการรับตัวผู้ต้องหาที่บริเวณ เขตชายแดนติดกับ ฐานฯกองเฮือบิน ต.เปียงหลวง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่.

ก่อนนำตัวทั้ง 3 คนมาสอบสวนทราบชื่อนายปริวัฒน์ อายุ 37 ปี ชาว ต.เมืองคอง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ผู้ต้องหาตามหมายจับที่ จ.384/2564 ในข้อหา”ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีหรือใช้อาวุธปืนโดยทำอันตรายสิ่งกีกกั้นสำหรับคุ้มครองทรัพย์ โดยมียานพาหนะเพื่อกระทำผิดหรือพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นการจับกุม” นาย อาชา (ผู้ต้องสงสัย) และ(ผู้ต้องสงสัย)อีก 1 คน โดยนำตัวทั้งหมดออกจากพื้นที่ป่า จะมาสอบสวนที่สภ.เวียงแหงโดยแนวทางการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบว่าการปล้นร้านทองครั้งนี้มีการทำเป็นขบวนการมีการวางแผน ก่อนลงมือมีการขับขี่รถจักรยานยนต์ และรถและรถยนต์มาดูต้นทาง ดูเส้นทางหลบหนี ก่อนลงมือ ซึ่งจะได้สืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงขยายผลต่อไป