ชาวบ้าน อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน เดือดร้อนวอนรัฐบาลกันพื้นที่ 49 ชุมชน ออกจากพื้นที่เตรียมการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติ

ที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดแม่ฮ่องสอน คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาที่ดินและการออกเอกสารสิทธิในที่ดินสภาผู้แทนราษฏร นำโดย นายสมเกียรติ ศรลัมพ์ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ พร้อมคณะ , นายปัญญา จีนาคำ สส.แม่ฮ่องสอน และ นายจักรพงศ์ ชื่นดวง ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการ ลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นประเด็นปัญหาที่ดินและการออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินซึ่งเป็นปัญหาทับซ้อนในที่ดินทำกินของราษฏรที่เคยอยู่มาก่อน เพื่อนำเสนอหาแนวทางแก้ไขปัญหาให้กับราษฏรในพื้นที่ โดยมีนายสุวพงศ์ กิติภัทย์พิบูลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ส่วนราชการ และตัวแทนภาคประชาชนเข้าร่วมเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา

จากภาพถ่ายดาวเที่ยมจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 7 ล้านไร่ พื้นที่ป่าที่สมบูรณ์ 6 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 86.5 ของพื้นที่จังหวัด และเป็นพื้นที่ที่ไม่มีสภาพป่ากว่า 1 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 13.5 ของพื้นที่ทั้งจังหวัด ซึ่งพื้นที่ที่ไม่มีสภาพป่าในจังหวัดแม่ฮ่องสอนซึ่งมีอยู่กว่า 1 ล้านไร่ เป็นพื้นที่มีเอกสารสิทธิ 105,319 ไร่ เป็นพื้นที่ ส.ป.ก.25,000 ไร่ และพื้นที่ขอใช้ประโยชน์ 45,000 ไร่ นอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่ที่ราษฏรถือครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย 853,929.5 ไร่ โดยมีพื้นที่เป้าหมายโครงการ คทช.ในป่าสงวนแห่งชาติของจังหวัดแม่ฮ่องสอน 9 ป่า รวมเนื้อที่ 75,669 ไร่ มีประชาชนจากทุกอำเภอได้มาเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหา ทั้งในเรื่องการจัดที่ดินทางกิน ( คทช.) การประกาศเขตอุทยาน ฯ ซึ่งทับซ้อนที่ทำกินที่อยู่อาศัยของราษฏร ที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายทำกินมากว่า 100 ปี

นายกอดี วนาจรุง ตัวแทนสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ ( สกน.) ได้ชี้แจงให้คณะกรรมาธิการนำข้อเรียกร้องของประชาชนชาวแม่ฮ่องสอน ไปแก้ไขปัญหา โดยระบุว่าจากการแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินทำกินให้กับราษฏรในปัจจุบัน ที่ผ่านมาชาวบ้านได้มีความพยายามในการแก้ไขปัญหา กับหน่วยงานมาโดยตลอด ได้มีการเจรจากับรัฐบาลและหน่วยงานทีเกี่ยวข้องทั้งในระดับนโยบาย และระดับพื้นที่ แต่ปรากฏว่าการแก้ไขปัญหายังมีความล่าช้า ไม่มีความคืบหน้าอีกทั้งชาวบ้านยังประสบปัญหาความเดือดร้อน นอกจากนี้ในระหว่างการแก้ไขปัญหานั้นบ้านชาวบ้านต้องเผชิญกับแนวทางนโยบายของภาครัฐซึ่งสร้างผลกระทบและเดือดร้อน ได้แก่ การประกาศเขตอุทยานแห่งชาติแม่เงา ( ซึ่งเป็นอุทยานเตรียมการ) อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน

ตัวแทนชาวบ้านจังหวัดแม่ฮ่องสอนและสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือมีข้อเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการ ฯ นำเสนอรัฐบาล คือ กรณีการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติแม่เงา ( เตรียมการ) ที่ผ่านมามีการดำเนินการแก้ไขปัญหาได้รับความร่วมมือจากภาครัฐโดยเฉพาะอุทยานแห่งชาติแม่เงามีแนวทางการแก้ปัญหาร่วมกันมา โดยจะดำเนินการกันพื้นที่ของชุมชนออกจากแผนที่การเตรียมประกาศอุทยาน ฯ และได้จัดทำข้อตกลงร่วมกันแล้ว พร้อมทั้งเคยมีการตกลงจัดให้มีพื้นที่บางส่วนเป็นพื้นที่ร่วมกันในการบริหารจัดการระหว่างอุทยานและชุมชน แต่ปราฏว่าในปี 2562 ได้มีการออกกฎหมายอุทยานแห่งชาติฉบับใหม่( พ.รบ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 )จึงทำให้เกิดเงื่อนไขและข้อจำกัดในการดูแลจัดการพื้นที่ของชุมชน จึงขอให้กันพื้นที่ของชุมชนทั้งหมด 49 ชุมชนออกจากพื้นที่เตรียมการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติ โดยให้ยึดแนวเขตที่อุทยานและชาวบ้านเคยทำข้อตกงร่วมกันไว้ ให้มีการจัดเวทีสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับกฏหมายอุทยานฯฉบับใหม่ ให้กับชุมชนด้วย

คัดเลือกทหาร อ.เชียงคำ จ.พะเยา วางมาตรการป้องกันโการแพร่เชื้อโควิด19 เข้ม

 

ที่อาคารแหล่งสโมสร ร.17 พัน 4 ค่ายขุนจอมธรรม อ.เชียงคำ จ.พะเยา ได้มีการจัดคัดเลือกทหารกองเกินเข้าประจำการ 2563 ซึ่งปีนี้ยกขบวนคัดเลือกทหารมาไว้ที่ค่ายทหารตามนโยบายของกองทัพบก ที่ป้องกันในเรื่องของปัญหาโรคโควิด-19 ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ทั้งนี้มีชายไทยอายุครบ 21 ปีบริบูรณ์เข้าร่วมการคัดเลือกในวันนี้ 318 คน และก็ได้มีสาวประเภทสอง เดินทางมาร่วมการยืนคัดเลือกเช่นกัน สำหรับวันนี้นั้นเป็นคิวของตำบลหย่วน, เวียง, เชียงบาน,ฝายกวางและแม่ลาว โดยบรรยากาศช่วงเช้าเป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย

พ.ต.จีรศักดิ์ จันทร์แจ่มแจ้ง นายทหารฝ่ายยุทธการ ค่ายขุนจอมธรรม ผู้ควบคุมดูแลพื้นที่ในการคัดเลือกทหารกล่าวว่า สำหรับวันนี้ถือว่าทุกฝ่ายทำงานกันอย่างเข้มงวด เพราะจะต้องป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดของเชื้อโควิดแพร่กระจายในพื้นที่คัดเลือกได้ ซึ่งในแต่ละจุดตนเองได้ให้เจ้าหน้าที่ทหารวางเครื่องป้องกันต่าง ๆ ที่สามารถป้องกันเชื้อโรคได้ ไม่ว่าจะเป็น จุดล้างมือ จุดวัดไข้ แผงพลาสติกกั้นเวลาพูดคุย และที่สำคัญการจัดจุดที่มีระยะห่างที่เหมาะสม ทางด้านญาติที่มาด้วยนั้นตนเองก็ได้ให้การจัดวางเต้นเพื่อพักคอย โดยจะมีน้อง ๆ ทหารในค่ายขออำนวยความสะดวกในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าการคัดเลือกทหารวันแรกนี้จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดีอย่างแน่นอน

รวดเร็วปลอดภัยทีม”สกายด๊อกเตอร์”ช่วยผู้ป่วยฉุกเฉินจากแม่ฮ่องสอนนำส่งรักษา รพ.นครพงค์ จ.เชียงใหม่

หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 17 กองกำลังนเรศวร (ฉก.ร.17 กกล.นเรศวร) ได้มอบหมายให้ ชุดปฏิบัติการบินกองทัพบกหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 17 (ชปบ.ทบ.ฉก.ร.17) จัด เฮลิคอปเตอร์ แบบใช้งานทั่วไป รุ่นเบลล์ 212 (ฮ.ท.212) จำนวน 1 ลำ ร่วมกับ ทีมแพทย์ฉุกเฉิน รพ.ศรีสังวาลย์ อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน (ทีมสกายด๊อกเตอร์) เพื่อทำการช่วยเหลือเคลื่อนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉินของ รพ.สบเมย อ.สบเมย จำนวน 1 คน คือ นายโดโพ พาลี อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 143 ม.10 ต.สบโขง อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีอาการเจ็บใต้ลิ้นปี่ ร้าวขึ้นหน้าอก

โดยทีมแพทย์ฉุกเฉิน รพ.สบเมย ร่วมกับ หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 36 (ฉก.ทพ.36) ได้ทำการช่วยเหลือเคลื่อนย้ายผู้ป่วยขึ้นอากาศยาน ยกตัวจาก สนาม ฮ. ฉก.ร.17 ไปรับผู้ป่วยที่ สนาม ฮ.ชั่วคราว รร.สบเมยวิทยา ต.แม่สวด อ.สบเมยฯ และยกตัวไปยัง สนาม ฮ.ชั่วคราว กองพันพัฒนาที่ 3 (พัน.พัฒนา 3) เพื่อส่งต่อเข้ารับการรักษา ที่ รพ.นครพิงค์ จ.เชียงใหม่ สามารถส่งผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้อย่างรวดเร็ว ตามนโยบายกองทัพบก

เกณฑ์ทหาร “เมืองสามหมอก” คึกคักผู้สมัครอยากรับใช้ชาติเป็นทหารเกินครึ่งของจำนวนที่ต้องการ

ที่อาคารหอประชุมที่ว่าการอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน พันเอก อนุชาติ กลิ่นฤทธิ์ สัสดีจังหวัดแม่ฮ่องสอน และ พันโท สมนึก ธูปเทียน ประธานกรรมการการตรวจเลือก จากมณฑลทหารบกที่ 33 พร้อมเจ้าหน้าที่ ได้เข้าดำเนินการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ากองประจำการของกองทัพภาคที่ 3 ในพื้นที่อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน โดจัดระบบขั้นตอนมาตรการรักษาระยะห่างเฝ้าระวังป้องกันโรคระบาด โควิด 19 อย่างเคร่งครัดในการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ากองประจำการในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ปี 63 นี้ มีชายไทยที่มีอายุ 21-29 ปี เข้ามาแสดงตนในการตรวจเลือกทั้งจังหวัด จำนวน 2,223 คน ซึ่งกองทัพต้องการทหารในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน เพียง 489 คน มีผู้ขอผ่อนผันทั้งสิ้น 736 คน โดยทหารเกณฑ์ผลัดที่ 1 ที่จะต้องเข้ากองประจำการในวันที่ 1 ก.ย.63 จำนวน 246 คน ส่วนผลัดที่ 2 เข้ากองประจำการในวันที่ 1พ.ย.63 จำนวน 243 คนโดยทหารใหม่ปี 63 ที่เข้าตรวจเลือกในพื้นที่ อ.เมือง , อ.ขุนยวม , อ.ปางมะผ้า และ อ.ปาย จะเข้าประจำการที่ กองพันทหารราบที่ 5 กรมทหารราบที่ 7 ค่ายโสณบัณฑิตย์ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ส่วนผู้ที่เข้าตรวจเลือกในพื้นที่ .แม่ลาน้อย , อ.แม่สะเรียง และ อ.สบเมย เข้ากองประจำการ ณ มณฑลทหารบกที่ 33 จ.เชียงใหม่

โดยในพื้นที่อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน มีผู้มาแสดงตนเข้ารับการตรวจเลือก จำนวน 471 คน ขอผ่อนผัน จำนวน 124 คน มีความต้องการทหาร จำนวน 94 คน มีชายไทยยื่นความจำนงค์ของสมัครเป็นทหาร จำนวน 63 คน เหลือที่จะต้องจับใบดำใบแดงเข้ามาเป็นทหาร จำนวน 31 คน จากผู้ที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน 186 คน ในช่วงจับใบดำใบแดงก็ได้สร้างความสนุกสนานให้กับประชาชนญาติพี่น้องกันอย่างครึกครื้นโดยเฉพาะผู้ที่จับได้ใบแดงได้รับเสียงเฮ เสียงตบมือแสดงความดีใจกันอย่างสนุกสนาน

พื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีทั้งหมด 7 อำเภอ เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปทำการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้าเป็นทหารกองประจำการหรือทหารเกณฑ์ ไปแล้ว 3 อำเภอ ได้แก่ อ.เมือง อ.ปาย และ อ.ปางมะผ้า ยังเหลืออีก 4 อำเภอได้แก่ อ.ขุนยวม อ.แม่ลาน้อย อ.แม่สะเรียง และ อ.สบเมย อยู่ระหว่างเข้าไปทำการตรวจเลือก สำหรับ อ.ปาย มีจำนวนเข้ารับการตรวจเลือก 238 คน ขอผ่อนผันไป 87 คน ต้องการทหาร จำนวน 50 คน มีผู้สมัครขอเข้าเป็นทหาร 19 คน ส่วนอำเภอปางมะผ้า มีจำนวนผู้เข้ารับการตรวจเลือก 154 คน ขอผ่อนผัน 28 คน ต้องการทหาร 40 คน มีผู้สมัครขอเข้าเป็นทหาร 15 คน

คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาที่ดินและการออกเอกสารสิทธิในที่ดิน สภาผู้แทนราษฎร ลงพื้นที่ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ชาวบ้านแห่ยื่นหนังสือร้องทุกข์ให้ข้อมูลเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหา

ที่ห้องประชุมอำเภอแม่สะเรียง นายสมเกียรติ ศรลัมพ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี(ปฏิบัติงานกระทรวงวัฒนธรรม) ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ และประธานคณะทำงานภาคเหนือ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาที่ดินสภาผู้แทนราษฎร และคณะ พร้อมด้วยผู้แทนกรมที่ดิน ผู้แทนงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กรมป่าไม้ เดินทางลงพื้นที่ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อรับข้อมูลปัญหาการโต้แย้งสิทธิที่ดินที่ทำกินระหว่างหน่วยงานรัฐกับประชาชนในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมี นายสังคม คัดเชียงแสน นายอำเภอแม่สะเรียง ตลอดจนหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ตัวแทนราษฏร ผู้นำชุมชน เข้าร่วมชี้แจ้งเสนอปัญหาอุปสรรคต่างๆ เกี่ยวกับการถือครองที่ดินที่ยังไม่มีเอกสารสิทธิ์ในการครอบครอง

ทั้งนี้ประเด็นหลักๆ ของราษฏรในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นปัญหาที่ดินที่ทำกินที่อยู่อาศัยที่ส่วนใหญ่อยู่ในแนวเขตป่าสงวน แนวเขตป่าไม้ถาวร แนวเขตปฏิรูปที่ดิน แนวเขตอุทยานฯ และ แนวเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าฯ และบางพื้นที่ทับซ้อนทำให้เกิดความล่าช้าในการพิจารณาการออกโฉนดที่ดิน ซึ่งราษฏรต้องการให้มีการพิจารณาการออกเอกสารสิทธิ์ในพื้นที่ทำกิน ที่อยู่ที่อาศัย ทั้งนี้ ทางคณะฯ ได้ทำการชี้แจ้งลำดับขั้นตอนการทำงานของภาครัฐเพื่อให้รับทราบแนวทางการแก้ไขปัญหาเรื่องที่ทำกินของราษฏร

ตัวแทนราษฏรได้ยื่นหนังสือผ่าน นายสมเกียรติ ประกอบไปด้วย นายตุ๊ดตู่ มาลาศรีสมร ในฐานะประธานเครือข่ายฟื้นฟูวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ลุ่มน้ำยวม-สาละวิน ได้ยื่นหนังสือ ขอให้พิจารณาออกเอกสารสิทธิ์ของที่อยู่ที่อาศัยที่ทำกินของพื้นที่บ้านแม่หาร บ้านป่าหมาก ต.บ้านกาศ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน และ การขอจัดทำอ่างเก็บน้ำเพื่อใช้ประโยชน์ในหน้าแล้งในพื้นที่บ้านแม่หาร ซึ่ง จะมีหมู่บ้านใกล้เคียงใช้ประโยชน์ร่วม จำนวน 6 หมู่บ้าน นายชัชฤทธิ์ พิมพ์ศิริพัฒน์ ผู้ใหญ่บ้านบ้านทุ่งแล้ง ขอความอนุเคราะห์การพิจารณาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนที่ไม่สามารถออกโฉดที่ดินได้ ในพื้นที่บ้านทุ่งแล้ง ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน และ พระเสนอ รักษาการวัดป่าหมาก อ.แม่ลาน้อย ขอให้ติดตามเรื่องการขอใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าเพื่อก่อสร้างวัด ซึ่งอยู่ในพื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ยวมฝั่งซ้าย และ นายมานพ เพียรชอบไพร ประเด็นเรื่องการใช้ประโยชน์จากป่าลุ่มน้ำชั้นหนึ่งและชั้นสองโดยการสร้างงานสร้างรายได้ของราษฏรผู้ปลูกกาแฟในพื้นที่ป่าบ้านแม่เหาะที่ไม่สามารถออกโฉนดได้ โดยคณะฯจะได้รวบรวมปัญหาอุปสรรคข้อเรียกร้องต่างๆ รวมถึงการติดตามความคืบหน้าต่างๆ ของปัญหาในพื้นที่ของราษฏรเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนและเป็นการลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับรัฐที่เป็นปัญหามานาน

ฮือฮาร้านกาแฟ น้องวิน พิการหูหนวกสู้ชีวิตสั่งกาแฟและขนมในร้านต้องใช้ภาษามือเท่านั้น แปลกใหม่ลูกค้าแห่อุดหนุนแน่นร้าน

เป็นที่ฮือฮาสำหรับนักท่องเที่ยวและคอกาแฟเป็นอย่างมาก ที่ร้าน Baked by win ตั้งอยู่ภายในโครงการ หมู่บ้านริมน้ำ ถนนสายเชียงใหม่ – แม่โจ้ ต.สันผีเสื้อ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ร้านแห่งนี้ พนักงานภายในร้าน และเจ้าของร้านเป็นคนพิการ เมื่อต้องการสั่งเครื่องดื่มจึงต้องใช้ภาษามือสั่งเท่านั้น และตั้งแต่หน้าร้าน รวมถึงป้ายเมนู ก็จะมีรูปแบบของภาษามือให้กับนักท่องเที่ยวได้เรียนรู้ด้วยว่าจะสั่งกาแฟชนิดไหนควรทำภาษามืออย่างไร

นายวิน กระแสเวส อายุ 21 เจ้าของเปิดเผยข้อมูล โดยมีนางศิรินันทา กระแสเวส อายุ 57 ปี แม่ของน้องวิน เป็นล่ามแปลภาษามือให้ โดยน้องวิน เล่าว่า ตนเองพิการทางการได้ยิน หรือเป็นโรคหูหนวกมาตั้งแต่กำเนิด ต่อมาทางครอบครัวก็ได้พยายามที่จะสื่อสาร ก็ได้เรียนรู้ภาษามือเป็นเวลากว่า 2 ปี จนสื่อสารกันได้ และด้วยความคิดที่อยากมีร้านกาแฟ และเบเกอรี่เป็นของตนเอง ก็ได้ไปเรียน ซึ่งช่วงแรกนั้นแม่จะไปเรียนด้วย เพราะต้องเป็นล่ามในการแปลภาษาระหว่างครูกับน้องวิน แต่ด้วยอาการของโรคปวดหลัง พักหลังแม่จึงไม่ได้ไปเรียนด้วย น้องวินจึงได้เดินทางไปเรียนด้วยตนเอง ซึ่งน้องวินพอจะอ่านปากของอาจารย์ที่สอน และจดจำวิธีการสอนได้ จากนั้นก็เริ่มกลับมาทดลองเองจนสามารถเปิดร้านนี้ได้

ในช่วงแรกนั้นวางแผนว่าจะขายให้กับเพื่อนของแม่ และคนรู้จัก ก่อนจะวางแผนที่จะเปิดร้านอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคม แต่เนื่องด้วยการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ร้านต้องเลื่อนทำการเปิด หลังจากที่ทางรัฐบาลเริ่มผ่อนปรน ทางร้านก็ทดลองเปิด และสิ่งหนึ่งที่เป็นความท้าทายคือการติดต่อสื่อสาร และการมีพนักงาน ก็ได้นำเอาเพื่อนที่เป็นคนพิการ มาเป็นพนักงานที่ร้านด้วย เพราะจะได้เข้าใจในการสื่อสารได้ สำหรับลูกค้า ก็ได้ใช้วิธีการทำเมนูพิเศษ เป็นป้ายภาษามือ พร้อมข้อความว่า หากลูกค้าจะสั่งกาแฟอะไร จะต้องทำภาษามืออย่างไร เมื่อพนักงานรับออร์เดอร์และทวนภาษาให้กับลูกค้าแล้ว ก็จะบันทึกออเดอร์ลงในกระดาษให้กับลูกค้าดูอีกรอบ และบางครั้งแม่ก็จะช่วยเป็นล่ามแปล และช่วยสอนภาษามือให้กับลูกค้าด้วย ในช่วงแรกก็มีลูกค้าหลายคนกังวลและลังเล แต่ก็เหมือนกับของแปลกที่ลูกค้าต้องการอยากลองเรียนรู้ ก็เริ่มมีคนสนใจมากขึ้น และมีลูกค้าเข้ามาอุดหนุนอย่างต่อเนื่อง

ร้านกาแฟและเบเกอรี่ที่ใช้ภาษามือในการสื่อสารนี้ ในเชียงใหม่น่ามีที่นี่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น ซึ่งน้องวิน นอกจากจะทำกาแฟเองแล้ว ยังทำเค้ก และเบเกอรี่เองทั้งหมด ไม่ได้มีการสั่งซื้อจากที่อื่นมาขาย แต่เป็นฝีมือของน้องวิน ที่ตั้งใจทำทุกวัน นอกจากนี้ภาพวาดที่อยู่บนกำแพงภายในร้าน เป็นภาพดอกไม้ ผีเสื้อ ก็เป็นเพื่อนที่เป็นผู้พิการและทำงานในร้าน ใช้เวลากว่า 3 เดือนในการวาดขึ้นมา เพื่อตกแต่งภายในร้านให้สวยงาม และสิ่งสำคัญที่ต้องการเปิดร้านของตนเอง เพราะอยากให้ทุกคนเห็นว่า คนพิการก็สามารถที่จะทำงานในสิ่งที่ตนเองชอบได้และต้องต่อสู้กับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ขอเป็นกำลังใจให้กับผู้พิการที่ในอนาคตอาจจะเปิดร้านเหมือนกับของตน น้องวิน กล่าวให้กำลังใจคนพิการและไม่พิการในการต่อสู้กับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน

หนุ่มไทยพ่ายรักน้อยใจเมียพม่าหอบลูกหนี แขวนคอตายคาเพิงพักกลางดอย

เวลา 10.00 น. วันที่ 25 ก.ค 63 ร.ต.อ. เกียรติศักดิ์ คำมานะ ร้อยเวร สภ.เมืองแม่ฮ่องสอน รับแจ้งเหตุมีคนแขวนคอตายบริเวณเพิงพักกลางดอย บ้านสบสอย ต.ปางหมู อ.เมือง จ. แม่ฮ่องสอน หลังรับแจ้งจึงไปสอบสวน ร่วมกับแพทย์เวร รพ.ศรีสังวาลย์ เจ้าหน้าที่มูลนิธิบรรเทาสาธารณภัยแม่ฮ่องสอน

ที่เกิดเหตุอยู่บริเวณแยกก่อนเข้าหมู่บ้านสบสอย ซึ่งเป็นดอยสูงพบศพชายสวมเสื้อเชิ้ตแขวนสั้นสีฟ้า และกลางเกงวอร์มขาสั้นสีดำ สภาพศพขึ้นอืดมีกลิ่นเหม็น ใช้แปลผ้าร่มมัดคอติดกับคานเพิงพัก ทราบชื่อผู้ตายต่อมาคือ นายสุริยันต์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 42 ปี เป็นชาวบ้านสบสอย แพทย์ระบุเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 วันไม่พบบาดแผลหรือร่องรอยการถูกทำร้าย บนแคร่เพิงพัก พบซองยาฆ่าหญ้าและขวดเครื่องดื่มชูกำลังวางทิ้งอยู่ ไม่มีร่องรอยการต่อสู้แต่อย่างใด

สอบสวนนางอำมา อายุ 57 ปี พี่สาวผู้ตายให้การณ์ว่า “ เดิมทีนายสุริยันต์ น้องชายมีภรรยาเป็นชาวเมียนมา และมีลูกด้วยกัน 1 คน ต่อมามีปัญหาภายในครอบครัว ภรรยาจึงหอบลูกหนีกลับบ้านที่ฝั่งประเทศเมียนมา หลังจากนั้นมานายสุริยันต์กลายเป็นคนเร่ร่อน และดื่มสุรามึนเมาอยู่เป็นประจำ ทางญาติจึงพาไปบวช แต่บวชได้ไม่นาน นายสุริยันต์ ก็แอบสึกออกมา และยังดื่มสุราเป็นประจำ หลังการสอบสวนญาติไม่ติดใจสาเหตุการเสียชีวิต จึงมอบศพให้ไปดำเนินการตามประเพณีต่อไป

สภ.แม่สะเรียง สร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการ “ป้องกันอาชญากรรม ระดับตำบล ตำรวจภูธรแม่ฮ่องสอน”

ห้องประชุมโรงเรียนแม่สะเรียงบริพัตรศึกษา พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ บุญประสิทธิ์ รองผู้บังคับการสถานีตำรวจภูธรจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นประธานเปิดการอบรม “การสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการป้องกันอาชญากรรม ระดับตำบล ของ สถานีตำรวจภูธรแม่สะเรียง โดยมี พ.ต.อ.วงศพัทธ์ สิทธิวัฒนภัสร์ ผู้กำกับการตำรวจภูธรแม่สะเรียง นำ หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ ผู้เข้าร่วมอบรม ร่วมพิธีเปิดอบรม

โดยมีสมาชิกเครือข่ายประชาชน สภาเทศบาล, ส.อบต., กำนัน, ผู้ใหญ่บ้าน, อสม., ผู้นำชุมชน, คณะกรรมการหมู่บ้าน, อส.ตร., อปพร., ชรบ. และประชาชนในพื้นที่ จำนวน 500คน ซึ่งเป็นไป ตามนโยบายของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ให้ทุกหน่วยดำเนินการโครงการ “สร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการป้องกันอาชญากรรม ระดับตำบล” เพื่อแสวงหาความร่วมมือจากเครือข่ายประชาชน, เจ้าหน้าที่ของรัฐ, องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, ผู้นำท้องที่ และเอกชน ให้เข้ามามีส่วนร่วมเป็นเครือข่าย ในการแก้ไขปัญหาและป้องกันอาชญากรรม

“ลดาวัลลิ์”ลั่น!เดินหน้าตั้ง”พรรคเสมอภาค”พร้อมทำงานการเมืองอย่างสร้างสรรค์

“พรรคเสมอภาค”ตั้งความหวังให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่มีความเสมอภาคด้วยนโยบายที่เด่นชัด เป็นทางเลือกให้กับประชาชน”ต้อย-ลดาวัลลิ์”เผยความในใจในการจัดตั้งพรรคให้เป็นทางเลือกใหม่กับประชาชน ลั่นถึงเวลาประเทศชาติต้องเดินหน้าด้วยความสง่างามทั้งการเมืองเศรษฐกิจและสังคมต้องมีความเสมอภาคกันอย่างทั่วหน้า

นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน จะเดินทางไปยื่นแจ้งเตรียมการจัดตั้งพรรคเสมอภาค ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคารB)วันพฤหัสบดี ที่ 30 กรกฎาคม 2563 เวลา 10:00 น. พร้อมกับให้สัมภาษณ์ แนวทางทางการเมืองของพรรคเสมอภาค และแนวนโยบายการแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจของชาติ ปัญหาสังคมที่มีความเลื่อมล้ำ ปัญหาความยากจนและพืชผลทางการเกษตร

นางลดาวัลลิ์ กล่าวย้ำว่า”ตนเองมีความตั้งใจและไฝ่ฝันมานานตั้งแต่ได้เริ่มลงสนามการเมืองและทำการเมืองตั้งแต่เริ่มต้นที่จะเลือกเดินบนถนนสายนี้ ความตั้งใจที่จะทำให้ประเทศชาติประชาชน ที่ผ่านมาได้ร่วมงานกับพรรคการเมืองมาหลายพรรค แต่ความมุ่งหวังและความตั้งใจช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้องให้ได้ผลอย่างยั่งยืนยังไปไม่ถึงนโยบายที่ตั้งใจไว้ วันนี้ถึงเวลาอันควรแล้วจึงได้เตรียมยื่นแจ้งในการจัดตั้ง “พรรคเสมอภาค” หลังจากยื่นจดทะเบียนกับทางกกต.ไปแล้ว ทีมเสมอภาคจะเดินสายเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นต่อนโยบายส่วนหนึ่งที่ร่างไว้และจะนำข้อเสนอจากประชาชนมากำหนดเป็นนโยบายเพิ่มเติม และจะมีการแถลงข่าวตอบข้อซักถามสื่อมวลชนภายหลังการยื่นจัดตั้งพรรคเป็นที่เรียบร้อย” นางลดาวัลลิ์ กล่าว.

กรรมาธิการการพลังงาน วุฒิสภา ลงพื้นที่เร่งแก้ไขปัญหาพลังงานไฟฟ้า โดยนำร่องเลือกแม่ฮ่องสอนให้เป็นโมเดล เพื่อให้หมู่บ้านทั่วประเทศได้มีไฟฟ้าใช้ทุกพื้นที่

พลเอก สกนธ์ สัจจานิตย์ ประธานคณะกรรมาธิการการพลังงาน วุฒิสภา พร้อมด้วยคณะ ลงพื้นที่บ้านห้วยแก้วบน บ้านห้วยแก้วล่าง หมู่ 7 ต.ผาบ่อง อ.เมืองแม่ฮ่องสอน จ.แม่ฮ่องสอน พบปะประชาชน แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนในพื้นที่ ที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน

การลงพื้นที่ของ คณะกรรมาธิการการพลังงาน วุฒิสภา เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนในหมู่บ้านที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้หรือไฟฟ้าเข้าไม่ถึง โดยให้จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นจังหวัดนำร่องหรือแม่ฮ่องสอนโมเดล ทั้ง 3 ประเด็นเป็นเรื่องหลักที่ต้องเร่งดำเนินการ เช่น แก้ไขปัญหาหมู่บ้านที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ให้สามารถมีไฟฟ้าใช้ได้โดยไม่ขัดต่อกฎหมายและไม่ทำให้บุกรุกป่าเพิ่มขึ้น เป็นต้นแบบ ที่มีปัญหาแบบเดียวกัน , พิจารณาจัดแบ่งกลุ่มหมู่บ้านที่มีคุณสมบัติ สามารถได้รับการผ่อนผันให้อยู่ได้รวมทั้งจัดระบบไฟฟ้าที่เหมาะสมและยั่งยืนแทนการวางสายไฟฟ้า ทำให้ชุมชนดูแลระบบไฟฟ้ากันเองเพื่อความยั่งยืน และสุดท้ายจัดกลุ่มหมู่บ้านและพัฒนาระบบไฟฟ้าที่เหมาะสมแล้วเสนอให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคนำไปดำเนินการรวมทั้งการจัดหาแหล่งเงินทุนการทำให้ชุมชนสามารถดูแลระบบกันเองใช้เป็นแนวทางสำหรับหมู่บ้านในจังหวัดอื่นๆ ดำเนินการต่อไป ซึ่งปัญหาดังกล่าว คณะกรรมาธิการการพลังงาน วุฒิสภา มุ่งหวัง ที่จะแก้ไขอย่างเร่งด่วนให้กับประชาชน โดยต้องหาแนวทางให้การดำเนินงานพัฒนาพลังงานไฟฟ้า ที่บางส่วนต้องดำเนินการในพื้นที่ป่า เพราะไฟฟ้าคือหนทาง ในการนำความเจริญ เข้ามาสู่พี่น้องประชาชน เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตทั้งด้านการศึกษาและการสาธารณสุขต่อไป

สำหรับการเลือกจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นจังหวัดนำร่อง 115 หมู่บ้านที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ ให้มีไฟฟ้าใช้ โดยมีการคัดเลือกหมู่บ้านห้วยแก้วล่างห้วยแก้วบนเป็นหมู่บ้านโมเดล เนื่องจากหมู่บ้านดังกล่าว อยู่ไม่ใกลจากตัวเมืองและมีเสาไฟฟ้าเดินสายเข้ามาในหมู่บ้านนานหลายปีแต่ไม่สามารถนำไฟฟ้ามาให้ประชาชนใช้ได้ ที่ผ่านมาการแก้ไขปัญหาดังกล่าวมีข้อจำกัดด้วยข้อกฎหมาย บางแห่งอยู่ในลุ่มน้ำ 1 เอ และส่วนใหญ่หมู่บ้านอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งคณะกรรมาธิการการพลังงาน วุฒิสภา อยากให้คนอยู่กับป่า ได้โดยไม่มีการบุกรุก

ขณะที่ ผู้แทนกรมพลังงานทดแทน ระบุว่าบ้านห้วยแก้วบน มีการดำเนินงานเข้ามาติดตั้งระบบไฟฟ้าพลังน้ำ ตั้งแต่ปี 2559 และมีการติดตั้งสมบูรณ์ ในปี2561 แต่มีข้อกำจัด เนื่องจากปริมาณน้ำน้อยตลอดทั้งปี บ้างช่วงเกิดฝนแล้ง และบ้านเรือนประชาชนบางหลังมีการใช้แบตเตอรี่ แต่ก็ทรุดโทรม และในอนาคตจะมีการสนับสนุนโซล่าเซลล์ เพื่อให้ไฟฟ้ามีไฟเสถียรมากขึ้น ส่วนที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มีการปักเสา แต่ยังไม่สามารถส่งกระแสไฟฟ้ามาได้ เนื่องจากติดปัญหาด้านพื้นที่ ด้านพลเอกสกนธ์ สัจจานิตย์ ประธานคณะกรรมาธิการการพลังงาน วุฒิสภา ระบุว่านายกรัฐมนตรี ได้พยายามแก้ปัญหาบางส่วนแล้ว ขอเวลาอีกนิด และจะรวมกันแก้ไขปัญหาต่อไป โดยจะนำจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นตัวตั้งนำร่อง ในการแก้ไขปัญหาให้ชาวบ้านมีไฟฟ้าใช้ แก้ไขกฎหมาย ก่อนจะนำไปแก้ไขหมู่บ้านทั่วประเทศ