นายก”บิ๊กตู่” ควงแขน ผู้ว่าฯ 76 จังหวัด บินด่วนเชียงใหม่ร่วมกิจกรรมปลูกป่าอุทยานแห่งชาติน้ำตกบัวตอง – น้ำพุเจ็ดสี อำเภอแม่แตง 24 ก.ค.63

ที่ห้องประชุม 4 ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ นายวิรุฬ พรรณเทวี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานแถลงข่าวสื่อมวลชนประจำสัปดาห์ โดยมีวาระเรื่องการเตรียมจัดงานโครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่า ระหว่างวันที่ 23 – 24 ก.ค. 63 พร้อมต้อนรับนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ที่จะเดินทางมาเป็นประธานในพิธีปลูกป่า

นายนรินทร์ ประทวนชัย ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า โครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่า ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 24 ก.ค. 63 ณ อุทยานแห่งชาติน้ำตกบัวตอง – น้ำพุเจ็ดสี อำเภอแม่แตง เชียงใหม่ โดยโครงการนี้ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมคณะได้เข้าสำรวจเส้นทาง และเตรียมรายละเอียดไว้หลายจุด เพื่อจะจัดกิจกรรมปลูกต้นไม้เสริมความหนาแน่นของป่า ซึ่งจะเป็นกิจกรรมรวมพลครั้งใหญ่ มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 1,000 คน โดยจะมีบุคคลสำคัญระดับประเทศ และผู้ว่าราชการจังหวัด 76 จังหวัด เข้าร่วมกิจกรรมด้วย และโครงการดังกล่าว ศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนจัดขึ้น เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติ แสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2563

นายนรินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับโครงการนี้เป็นโครงการปลูกป่าในระยะยาว เริ่มในปี 63 – 70 พื้นที่ทั้งหมด 68 ไร่ ในวันที่ 24 ก.ค. จะเป็นพิธีเปิดโครงการ โดยวางชนิดกล้าไม้ทั้งหมด 10 ชนิด เป็นกล้าไม้พื้นถิ่น เช่น บุญนาค, จำปา, สัก, ประดู่ป่า, แคหางค่าง, คำมองหลวง, พะยอม, ตะเคียนทอง, รวงผึ้ง และรัง การเตรียมความพร้อมในขณะนี้ก็อยู่ในช่วงการจัดเตรียมสถานที่เพิ่มเติม รวมถึงการจัดจุดจอดรถ การปรับพื้นที่ผิวถนนเส้นทางเข้าสู่บริเวณการจัดงาน และการจัดงานครั้งนี้ถือว่า เป็นต้นแบบที่จะนำไปสู่การปลูกป่าในโครงการฯ ทั่วประเทศต่อไปในอนาคต

“เวียงพิงค์”พร้อมรับนักท่องเที่ยวแบบวิถีใหม่ New Normal Tourism

นายคมสัน สุวรรณอัมพา รอง ผวจ.เชียงใหม่ กล่าวหลังประชุมและพูดคุย กับผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดมาตรการดูแลนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาในอนาคต ทั้งเรื่องของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือปัญหาต่างๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งวันนี้ก็เตรียมความพร้อมในเรื่องของการท่องเที่ยว ที่ผ่านมาก็มีการประชุมอย่างต่อเนื่อง แต่สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 สักวันต้องผ่านไป หากเรามีการเตรียมสถานการณ์ไว้ล่วงหน้าก็จะได้ทันต่อความต้องการ

นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามา จำนวน 40,000 คน ในช่วงวันเข้าพรรษาที่ผ่านมา ซึ่งเดินทางมาโดยเส้นทางท่าอากาศยานเชียงใหม่ จำนวน 26,000 กว่าคน ที่เหลือมาจากทั้งสถานีรถไฟ รถบัสจากสถานีขนส่ง และรถส่วนตัว ที่ผ่านมามีการจองห้องพัก 7,300 กว่าห้อง ซึ่งภาพรวมของห้องพัก 34,000 ห้องของโรงแรม ในเวลาอันใกล้นี้ ก็จะมีเรื่องของวันหยุดยาว และนักท่องเที่ยวที่ได้รับการผ่อนคลายตามมาตรการ ก็คาดว่าน่าจะเข้ามาเที่ยวช่วงปลายเดือนนี้ ไม่น้อยกว่าช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมา ในวันนี้จึงเป็นเรื่องของการพูดคุย การเตรียมความพร้อม และสถานการณ์เองสักวันหนึ่งก็จะหมดไป ในอนาคตอาจจะเป็นการท่องเที่ยวในบ้านพี่เมืองน้องที่อยู่ใกล้ๆ ก่อน แล้วค่อยขยายไป แต่ได้เน้นย้ำทางผู้ประกอบการเรื่องสุขอนามัยอย่างเข้มงวด เพราะไม่อยากให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาแล้วได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 จึงขอเชิญชวนสถานประกอบการ ศูนย์การค้า ร้านอาหาร สถานประกอบการสปา โรงแรม อื่นๆ ให้เข้มงวดตลอดเวลา

เมื่อถามว่ากังวลกับการแพร่ระบาดรอบสองหรือไม่ จังหวัดเชียงใหม่เป็นจังหวัดใหญ่ ที่ผ่านมาก็ได้ควบคุมได้อย่างดีมากทางด้านสาธารณสุข ก็มั่นใจเรื่องระบบการรักษา และได้ให้นายอำเภอทั้ง 25 อำเภอ รวมถึงพี่น้อง อสม. และ อส. พี่น้องประชาชน หน่วยงานต่างๆ ช่วยเป็นหูเป็นตา หากพบว่าสถานประกอบการไหนที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันก็สามารถแจ้งมาได้

ส่วนนางปริษา ปานพรหม ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยกองมาตรฐานและกำกับความปลอดภัยนักท่องเที่ยวได้สนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานเพื่อแก้ไขปัญหานักท่องเที่่ยว เพื่อให้เครือข่ายด้านการท่องเที่ยวได้มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวในด้านต่างๆ เพื่อประสานความร่วมมือได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น เป็นการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ วิธีการให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง บูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง สร้างความเชื่อมั่นในด้านการท่องเที่ยวอย่างปลอดภัยในพื้นที่ สร้างเครือข่ายด้านการท่องเที่ยวในการแก้ไขปัญหานักท่องเที่ยวที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ในทุกมิติ ทั้งในด้านการใช้รถใช้ถนน การช่วยเหลือนักท่องเที่ยวกรณีเกิดเหตุล่วงละเมิดทางเพศ เป็นต้น และให้บุคลากรด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้มีความรู้เกี่ยวกับการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ New Normal Tourism การเป็นเจ้าบ้านที่ดี สร้างความเชื่อมั่นในการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวตามวิถีใหม่

ตำรวจภูธร จ.ลำพูน ติวเข้มโครงการสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมป้องกันอาชญากรรม

ที่หอประชุมสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ มหาวิทยาลัยมหาจุหลงกรณ์ราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ลำพูน(มจร.ลำพูน) หมู่ 2 ต.ต้นธง อ.เมือง จ.ลำพูนพล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผบช.ภาค 5 เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมประชาชนโครงการสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมระดับตำบล เพื่อแสวงหาความร่วมมือจากทุกภาคส่วนให้มีส่วนร่วมในการป้องกันอาชญากรรม โดยมี พล.ต.ต.นฤชิต เนียวกุล ผบก.ภ.จว.ลำพูน , พ.ต.อ.ผล ปวนเบี้ย รอง ผบก.ภ.จว.ลำพูน , ผู้กำกับการสถานีตำรวจในสังกัดฯ , เจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดฯ , กต.ตร.ภ.จว.ลำพูน และประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมการฝึกอบรมฯให้การต้อนรับ

พ.ต.อ.ผล ปวนเบี้ย รอง ผบก.ภ.จว.ลำพูน กล่าวว่า ตามที่ตำรวจภูธรภาค 5 ได้มอบหมายให้ตำรวจภูธร จ.ลำพูน ดำเนินการตามโครงการสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการป้องกันอาชญากรรมระดับตำบล เพื่อแสวงหาความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ให้มีส่วนร่วมในการป้องกันอาชญากรรมโดยการสร้างเครือข่ายภาคประชาชน สนธิกำลังความร่วมมือกับองค์กรภาครัฐ , องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) และ องค์กรภาคเอกชน สนับสนุนเจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจในการเฝ้าระวังป้องกันอาชญากรรม และร่วมรับผิดชอบต่อสังคมให้ปลอดภัยจากปัญหาอาชญากรรม โดยมีเป้าหมายสร้างเครือข่ายภาคประชาชนเพื่อป้องกันอาชญากรรมของสถานีตำรวจ ในสังกัดตำรวจภูธร จ.ลำพูนให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้าน ทุกชุมชน

ตำรวจภูธร จ.ลำพูนได้ดำเนินการตามโครงการดังกล่าวข้างต้น โดยมอบหมายให้ทุกสถานีตำรวจในสังกัด จัดตั้งเครือข่ายภาคประชาชนในทุกหมู่บ้านประกอบด้วย ผู้นำชุมชน ผู้นำภาคราชการ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำตามธรรมชาติ หรือผู้ที่ประชาชนในหมู่บ้านให้ความเคารพนับถือ และมีความสมัครใจ มีจิตอาสาเป็นเครือข่ายโดยแต่งตั้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ รับผิดชอบประจำหมู่บ้าน เป็นผู้ดำเนินการในการประสาน เครือข่ายภาคประชาชนที่ได้จัดตั้งไว้ โดยมีประชาชนเข้าร่วมเป็นเครือข่ายในพื้นที่ให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้าน ทุกชุมชน

เพื่อให้เครือข่ายภาคประชาชน ได้มีความรู้ความเข้าใจในบทบาท หน้าที่ความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของประเทศในด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง รวมถึงการเป็นพลังของแผ่นดิน ในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน การรักษาความสงบเรียบร้อยและการป้องกันอาชญากรรมในหมู่บ้าน ชุมชนของตนเอง ตำรวจภูธรจังหวัดลำพูน จึงได้จัดให้มีฝึกอบรมครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมขึ้น โดยมีประชาชนที่เป็นเครือข่ายเข้ารับการฝึกอบรมจำนวนทั้งสิ้น 1,200 คน

ป.ป.ช.ลำพูน ร่วมกับ ชมรมสตรอง-จิตพอเพียงต้านทุจริต หนุนภาคประชาชนร่วมเดินหน้าเฝ้าระวังการทุจริตภาครัฐ ยกระดับความโปร่งใสให้เมืองลำพูน

นางสาววิศรา รัตนสมัย ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดลำพูน เปิดเผยว่า ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่ได้กำหนดแนวทางการป้องกันการทุจริตเชิงรุกไว้ในยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ ยึดหลักธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการ และมีความโปร่งใสตรวจสอบได้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของภาคประชาชนที่ช่วยผลักดันภารกิจการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของประเทศไทยให้สัมฤทธิ์ผล สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดลำพูน จึงได้เริ่มดำเนินการโครงการ STRONG – จิตพอเพียงต้านทุจริต ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2562 โดยสนับสนุนภาคประชาชนผ่านโครงการสตรอง จิตพอเพียงต้านทุจริตในพื้นที่จังหวัดลำพูน ซึ่งเริ่มจัดตั้งชมรมเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2561 ปี ซึ่ง ปี 2563 นี้ ได้ก้าวสู่ปีที่ 2 ของการจัดตั้งชมรม STRONG ฯ การดำเนินการของชมรมมีความเข้มข้นมากขึ้นโดยมีสำนักงาน ป.ป.ช. ส่วนกลางที่กำหนดทิศทางระดับประเทศ และสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดทั่วประเทศเป็นหน่วยขับเคลื่อนกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ ภายใต้กรอบแนวคิดโมเดล STRONG – จิตพอเพียงต้านทุจริต

 

ด้านนายธีระศักดิ์ ชัยวิศิษฐ์ ประธานชมรม STRONG จิตพอเพียงต้านทุจริต จังหวัดลำพูน กล่าวว่า ปัจจุบันมีโค้ชและสมาชิกชมรมครบทุกเขตอำเภอในจังหวัดลำพูน ประมาณ 130 คน ที่ผ่านมานั้นตนมีความพึงพอใจในผลการดำเนินการของชมรมเป็นอย่างมาก จุดแข็งของชมรมฯ คือภาคประชาชนในพื้นที่จังหวัดลำพูนมีความตื่นตัวในเรื่องการทุจริตขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมากขึ้น จากเดิมที่ละเลยหรือหวาดกลัวที่จะแจ้งเบาะแสการทุจริตในพื้นที่ของตน แต่จากการที่ได้ร่วมสังเกตการณ์-ตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานภาครัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ชุมชนของตนเอง/สำรวจพื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริตและพื้นที่เสี่ยงต่อการผิดกฎหมายการขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Conflict of Interest : COI) ทำให้ภาคประชาชนสามารถกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาการทุจริตให้เหมาะสมกับบริบทพื้นที่ชุมชนของตนได้ รวมทั้งมีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ขยายผลการเฝ้าระวังต่อไป ทั้งยังส่งผลให้หน่วยงานในพื้นที่มีความระมัดระวังในการปฏิบัติงานและการใช้เงินงบประมาณ ตลอดจนการชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่มากขึ้นด้วย

สำหรับกิจกรรมในไตรมาส 3-4 ปี 63 ได้แก่ การประชุมบริหารจัดการชมรมเป็นรายไตรมาส ซึ่งได้จัดประชุมเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2563 ณ ห้องประชุมฮัดเดิ้ล อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน และได้จัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของชมรมฯ และกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมต่อต้านการทุจริต ในวันที่ 17 กรกฎาคม 2563 ณ ห้องประชุมฮัดเดิ้ล ป่าซาง ซึ่งสมาชิกให้ความสนใจเข้าร่วมการประชุมเป็นจำนวนมากถึง 160 คน จากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 80 คน เพื่อให้สมาชิกได้รับทราบแนวทางการดำเนินการและผลงานของชมรม ตลอดจนได้มีส่วนร่วมและกำหนดบทบาทในการขับเคลื่อนในการเฝ้าระวังการทุจริตในแต่ละอำเภอ ซึ่งตนเชื่อมั่นว่าโครงการ STRONG – จิตพอเพียงต้านทุจริต จังหวัดลำพูน เป็นการติดอาวุธให้ภาคประชาชนเข้มแข็ง กระตุ้นเตือนให้สังคมมุ่งประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว ถ้าหน่วยงานภาครัฐไม่ละเลย ภาคประชาชนไม่นิ่งเฉย ทุกภาคส่วนมาช่วยกันแก้ไขปัญหาการทุจริตอย่างตรงจุด ขจัดคนโกง เพื่อสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต

รมช.เกษตร ผบช.ภ.5 ลงพื้นที่เชียงคำ ให้ความรู้ผู้นำชุมชนเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมระดับตำบล

ที่หอประชุม รร.เชียงคำวิทยาคม จ.พะเยา ได้มีการจัดการอบรมโครงการสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมระดับตำบล ซึ่งในวันนี้ได้มีทาง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ เดินทางมาเป็นประธานเปิดการอบรมในครั้งนี้โดยมีพล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผบช.ภ.5 รวมทั้ง พ.อ.วรเทพ บุญยะ เสธ.มทบ. 34 จ.พะเยา ได้เดินทางมาเป็นวิทยากรบรรยายพิเศษให้ความรู้ในครั้งนี้เช่นกัน โดยมี นายชุติเดช มีจันทร์ รอง.ผวจ.พะเยา พ.ต.อ.เฉลิมชาติ ยาวิชัย ผกก.สภ.เชียงคำพร้อมทั้งนายกนก ศรีวิชัยนันท์ นายอำเภอเชียงคำพร้อมทั้งข้าราชการผู้นำชุมชนในพื้นที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น สำหรับโครงการดังกล่าวในวันนี้นั้นจัดขึ้นโดยตำรวจภูธร จ.พะเยา

โดย พ.ต.อ.เฉลิมชาติ กล่าวว่า โครงการนี้ได้ถูกจัดขึ้นเป็นรุ่นที่ 2 แล้ว ซึ่งมีผู้เข้าร่วมการอบรมในครั้งนี้ถึง 500 คน โดยจะแบ่งออกเป็น 5 อำเภอคือ ปง เชียงม่วน จุน เชียงคำและภูซาง ทั้งนี้ผู้เข้ารับการอบรมนั้นส่วนใหญ่จะเป็น ผู้นำชุมชนและชาวบ้านที่ให้ความสนใจในเรื่องของการมีส่วนร่วมในภาคประชาชนในการที่จะป้องกันอาชญากรรมที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ที่ทุกคนอาศัยอยู่และจะได้รู้จักป้องกันและสามารถแจ้งเรื่องราวที่เกี่ยวกับอาชญากรรมให้ทางตำรวจในพื้นที่รับรู้รับทราบรวมทั้งลงพื้นที่ช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านต่าง ๆ ในพื้นที่ให้รับรู้ได้ทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งในวันนี้ก็ได้เห็นแล้วว่าชาวบ้านที่เข้าร่วมนั้นได้ให้ความสนใจเป็นอย่างดีต่อเรื่องราวที่จัดการอบรมในครั้งนี้

สกู๊ปพิเศษ /.อาเซียนต้า โปรโมทท่องเที่ยวเชียงใหม่ หวังปลุกกระแสไทยเที่ยวไทยแบบนิวนอร์มอล นำร่องชูปางช้างแม่สา ปางช้างเก่าแก่เป็นต้นแบบ เผยวิกฤตโควิด 19 พ่นพิษท่องเที่ยวทั่วอาเซียนกระเทือนหนัก

จากการสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจบริการและการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่อย่างหนัก นักท่องเที่ยวต่างชาติหดหายรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นศูนย์ แม้วันนี้จะมีการผ่อนปรนและปลดล็อกให้สถานที่และแหล่งท่องเที่ยวต่างๆกลับมาเปิดให้บริการได้ แต่หลายแห่งก็มีรูปแบบการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป เช่นที่ปางช้างแม่สา ปางช้างเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของประเทศไทย ตั้งอยู่ในอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ที่กลับมาเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้มีการปลดโซ่และแหย่งช้าง ยกเลิกการแสดง และนั่งบนหลังช้าง เปลี่ยนมาให้นักท่องเที่ยวเข้าชมช้างฟรี เพื่อป้อนอาหาร และช่วยดูแลช้าง โดยเปิดให้เข้าชมช้างวันละ 3 รอบ ตั้งแต่เวลา 09.00 น. ถึงเวลา 15.00 น.

ขณะที่ล่าสุดสมาพันธ์การท่องเที่ยวอาเซียน (ASEANTA : ASEAN TourismAssociation) หรือ อาเซียนต้า ได้ลงพื้นที่เพื่อถ่ายทำคลิปวิดีโอประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวแบบวิถีใหม่ หรือ นิวนอร์มอล เพื่อเผยแพร่ในประเทศไทย และกลุ่มประเทศสมาชิกในอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวเกิดความมั่นใจ

นางมิ่งขวัญ เมธเมาลี ประธานสมาพันธ์การท่องเที่ยวอาเซียน หรือ อาเซียนต้า เปิดเผยว่า หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ทั่วโลกทำให้ต้องมีการปิดเมืองส่งผลกระทบต่อธุรกิจการท่องเที่ยวเมื่อมีการเปิดล๊อกและให้ประชาชนสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ และทางรัฐบาลก็ได้มีการให้ประชาชนลงทะเบียนเที่ยวปันสุข ดังนั้นทางสมาคมอาเซียนซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจการท่องเที่ยวที่มีสมาชิกหลากหลายประเทศจึงต้องการโปรโมทสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละพื้นที่ของประเทศไทยที่เลือกปางช้างแม่สา เพราะปัจจุบันสถานที่ทุกแห่งต้องมีการท่องเที่ยวแบบนิวเนอร์มอล ซึ่งปางช้างแม่สาถือว่าเป็นปางช้างที่เก่าแก่ที่มีช้างมากถึง 78 เชือกลุกขึ้นมาต่อสู้ กล้าปลดโซ่ ปลดแหย่ง และไม่ให้มีการแสดงช้าง ซึ่งที่ผ่านมาชาวต่างชาติพากันโจมตีมาตลอด

ด้านนางปริษา ปานพรหม ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ในส่วนของท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่นั้นได้เข้ามาสนับสนุนสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในจังหวัดเชียงใหม่เพื่อเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวโดยเฉพาะโครงการเรารักเชียงใหม่ ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวทุกแห่งเข้าร่วม และจะมีการนำเสนอทั้งการท่องเที่ยว สินค้า อาหาร ซึ่งจะจัดทำเป็นแพ็คเกจให้กับนักท่องเที่ยวเชิญชวนนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวโดยเฉพาะไทยเที่ยวไทยเพื่อช่วยกันส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศให้กลับมาฟื้นตัวอยู่ โดยจะมีการเปิดตัววันที่ 12 สิงหาคมนี้เพื่อเป็นทางเลือกให้นักท่องเที่ยวที่กำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยว ได้ตัดสินใจเดินทางมาเที่ยวเชียงใหม่กันมากขึ้น

กรมทหารพรานที่ 36 มอบทุนการศึกษาบุตรธิดากำลังพล บำเพ็ญกุศล เนื่องในวันทหารพราน

ที่ค่ายเทพสิงห์ กรมทหารพรานที่ 36 อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน พ.อ.สมรรถชัย แปงสาย ผู้บังคับการกรมทหารพรานที่ 36 พร้อมกำลังพล ร่วมจัดงานวันทหารพราน เพื่อบำเพ็ญกุศลให้กับกำลังพลที่เสียชีวิต และเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลแก่กำลังพลและครอบครัว โดยได้จัดพิธีบวงสรวงศาล 3 มหาราช ศาลเจ้าพ่อเทพสิงห์ พร้อมประกอบพิธีทางศาสนา สวดเจริญพระพุทธมนต์ ฟังเทศน์ ตักบาตร พระสงฆ์ จำนวน 9 รูป นอกจากนี้ ผู้บังคับการกรมทหารพรานที่ 36 ได้จัดพิธีประดับยศนายทหารประทวน ส.อ. เป็น จ.ส.ต. จำนวน 2 นาย และพิธีมอบทุนการศึกษาให้บุตรข้าราชการ และอาสาสมัครทหารพราน จำนวน 157 ทุน เป็นเงิน 225,000 บาท

ทั้งนี้ วันที่ 18 กรกฎาคมของทุกปี ถือเป็นวันทหารพราน จัดขึ้นเพื่อระลึกถึงคุณงามความดีของกำลังพลทหารพราน ที่ได้เสียสละในการปกป้องชาติบ้านเมืองมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับภารกิจหลักของ หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 36 คือ การเฝ้าตรวจและป้องกันชายแดน การจัดระเบียบพื้นที่ และการแก้ไขปัญหาความมั่นคง ในพื้นที่ชายแดน การประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมไปถึงการสนธิกำลังกับส่วนอื่นๆ ในการติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุ ตั้งจุดตรวจจุดสกัด ลาดตระเวนเส้นทาง ตลอดจนรักษาความปลอดภัยสถานที่และบุคคลสำคัญ

คัดเลือกทหารช่วงโควิด ให้กองเชียร์ติดตามแค่ 1 คนเท่านั้น ย้ำขอความร่วมมือทุกคนที่ได้หมายเรียกให้ทำตามคำแนะนำและกฏระเบียบโดยเคร่งครัด

ที่ค่ายขุนจอมธรรม(ร.17 พัน 4) อ.เชียงคำ จ.พะเยา พ.ท.ขวัญเอก รัชดาธนวัฒน์ ผู้บังคับกองพัน ได้มอบหมายให้ พ.ต.จีรศักดิ์ จันทร์แจ่มแจ้ง นายทหารฝ่ายยุทธการและ ร.ต.เก่งกาจ สิริ นายทหารฝ่ายการข่าว ค่ายขุนจอมธรรมนำพา พ.ต.สานิตย์ ห่วงศร เจ้าหน้าที่ สัสดี อ.เชียงคำพร้อมทั้งผู้สื่อข่าว ลงพื้นที่เพื่อดูขั้นตอนการวางแผนเตรียมการในเรื่องของที่จะมีการคัดเลือกทหารกองเกินเข้าประจำการประจำปี 2563 ซึ่งอยู่ในช่วงที่มีโรคโควิด-19 ระบาดและเฝ้าระวังอยู่ในขณะนี้

 

โดย พ.ต.จีรศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับการคัดเลือกทหารกองเกินปีนี้ ทางค่ายขุนจอมธรรม ได้มีการเตรียมการวางแผนเป็นอย่างดีเพราะในทุก ๆ ปีการคัดเลือกทหารกองเกินนั้นจะทำกันที่หอประชุมที่ว่าการอำเภอเชียงคำ จ.พะเยา แต่ปีนี้เรากำลังเผชิญกับปัญหาโรคโควิด-19 ที่กำลังระบาดไปทั่วโรครวมถึงประเทศไทยเอง ทางกองทัพบกจึงมีนโยบายปรับเปลี่ยนแผนในการคัดเลือกทหารกองเกินของปีนี้จากหอประชุมอำเภอไปเป็นในค่ายทหารแทน แต่ส่วนต่างอำเภอนั้น หากไม่มีค่ายทหารก็ใช้หอประชุมอำเภอที่เดิมเหมือนทุกครั้งก็ได้ ในส่วนของการเตรียมการนั้นทางค่ายก็จะจัดให้มีการคัดกรองตามจุดต่าง ๆ ที่วางไว้ ผสมกับช่วงก่อนที่มีการประชุมทางอำเภอนั้นทางนายกนก ศรีวิชัยนันท์ นายอำเภอเชียงคำ ได้ขอความร่วมมือไปยังผู้นำชุมชนในทุกพื้นที่ให้ประชาสัมพันธ์ในเรื่องของญาติที่จะเข้ามาส่งบุตรหลานภายในค่ายทหารให้ติดตามได้เพียง 1 ต่อ 1 รายเท่านั้น ส่วนผู้ติดตามนั้นก็จะมีที่พักคอยให้ภายในค่ายทหารต่อไป ทั้งนี้ทางค่ายขุนจอมธรรมจะวางมาตรการป้องกันต่าง ๆ เพื่อป้องกันโรคไม่ให้โควิดที่อาจจะแพร่กระจายในพื้นที่ที่มีการคัดเลือกทหารกองเกินแห่งนี้แพร่หลายออกไปทางด้านจุดจอดรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์รวมถึงรถขายของนั้น ทางค่ายจะให้จอดบริเวณสนามยิงปืนและภายในสนามบินเก่า เท่านั้น

ทางด้าน พ.ต.สานิตย์ กล่าวเสริมว่า ในปีนี้ทางอำเภอเชียงคำนั้น จะคัดเลือกด้วยกันอยู่ 2 วัน คือวันที่ 27 และ 29 ก.ค.63 โดยแต่ละวันการคัดเลือกจะแบ่งตำบลที่มีการคัดเลือกตามนี้คือ ในวันที่ 27 ก.ค.จะมีการคัดเลือกของตำบลหย่วน, เวียง, เชียงบาน, ฝายกวางและร่วมเย็น ส่วนของวันที่ 29 ก.ค.ก็จะเป็นส่วนของตำบลแม่ลาว, เจดีย์คำ, อ่างทอง, น้ำแวนและทุ่งผาสุข ทั้งนี้ในการคัดเลือกทหารกองเกินปีนี้นั้นมียอดผู้เข้ารับการคัดเลือกประมาณ 600 กว่าคน แต่ในส่วนของยอดที่ทางหน่วยคัดเลือกต้องการนั้นยังไม่นิ่งจึงยังไม่สามารถบอกได้ ทั้งนี้ตนจึงอยากขอฝากในเรื่องของผู้ที่มาคัดเลือกทหารกองเกินและรวมถึงญาติที่มาส่งนั้นในวันจริงขอให้ช่วยทำตามที่เจ้าหน้าที่แนะนำด้วย

ช่วยด้วย.เกษตรกรปายวอนช่วยซื้อกระเทียมตกค้างกว่า 2 ล้าน กก.

นายสิงหล สุขก๋า ตัวแทนเกษตรกรผู้ปลูกกระเทียมอำเภอปาย จ.แม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 16 ก.ค.2563 ที่ผ่านมา ได้นำตัวแทนเกษตรกรผู้ปลูกกระเทียม ชาวอำเภอปาย ได้เดินทางไปยื่นหนังสือต่อ ว่าที่ร้อยตรีนพรัตน์ ศุภกิจโกศล นายอำเภอปาย เพื่อขอความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกกระเทียม ที่ประสบกับปัญหาความเดือดร้อนไม่สามารถจำหน่ายกระเทียมออกสู่ท้องตลาด จนทำให้มีกระเทียมตกค้างรอจำหน่ายถึง 2,670,000 กิโลกรัม หรือ 2,670 ตัน โดยทางกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกกระเทียม เสนอให้รัฐบาลช่วยเหลือรับซื้อกระเทียมในราคา กก.ละ 35-40 บาท ซึ่งปัจจุบันกระเทียมได้แห้งเต็มที่ไม่มีความชื้นและเนื้อของกระเทียมแน่นมีคุณภาพดีสูงสุด

ปัญหาการไม่ได้จำหน่ายกระเทียมสาเหตุหลักมาจากช่วงโรคโควิด-19 ระบาดใหม่ ๆ ทางรัฐบาลได้มีการล๊อคดาวน์พื้นที่และประกาศเคอร์ฟิว ทำให้พ่อค้าผู้รับซื้อกระเทียมจากต่างจังหวัด ไม่สามารถเดินทางมารับซื้อกระเทียมในพื้นที่อำเภอปายได้ ส่งผลทำให้มีกระเทียมตกค้างจำนวนมาก และเกษตรกรต้องเดือดร้อนไม่มีเงินใช้สอย ต้องเป็นหนี้ ธกส. และหนี้ค่าปุ๋ย ค่ายา กับร้านค้าต่าง ๆ ในพื้นที่ หากทางรัฐบาลไม่รีบช่วยเหลือ กลุ่มเกษตรกรคงต้องลำบากแน่

2 เครือข่ายต้นกล้า อบจ.แม่ฮ่องสอน อำเภอแม่ลาน้อย เปิดกล่อง “ขวดพลาสติกร่วมรักษ์โลก” ลดปริมาณขยะในพื้นที่ เปลี่ยนขยะเป็นตัวเงินนำรายได้มอบให้ชุมชน

เครือข่ายต้นกล้า อบจ.แม่ฮ่องสอน อำเภอแม่ลาน้อย ได้แก่ เครือข่ายต้นกล้าโรงเรียนแม่ลาน้อยดรุณสิกข์ และเครือข่ายต้นกล้าโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 21 เห็นว่าขยะนับเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีความสำคัญและต้องการความร่วมมือร่วมใจของทุกคนในชุมชนในการร่วมกันรณรงค์เพื่อลดภาระให้กับสังคมและโลก จึงได้คิดโครงการ “ขวดพลาสติกร่วมรักษ์โลก” ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดปริมาณขยะขวดพลาสติก และเปลี่ยนขยะเป็นตัวเงิน เพื่อให้เยาวชน ได้เรียนรู้และพัฒนาแนวคิดการทำกิจกรรมอย่างเป็นประโยชน์และสร้างสรรค์ และได้มีส่วนร่วมในการทำงานร่วมกับชุมชน มีจิตสำนึกในการเสียสละเพื่อสังคม และใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์

ซึ่งองค์การบริหารส่วนจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้สนับสนุนกล่องตาข่ายสำหรับใส่ขวดพลาสติก ให้กับเครือข่ายต้นกล้า อบจ. ทั้ง 7 อำเภอ เพื่อจัดวางในพื้นที่ชุมชน ด้านอำเภอแม่ลาน้อย ได้รับกล่องตาข่ายฯ จำนวน 5 กล่อง จัดวางไว้ที่ โรงเรียนแม่ลาน้อยดรุณสิกข์ จำนวน 1 กล่อง , โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 21 จำนวน 1 กล่อง , บริเวณหน้าเซเว่นแม่ลาน้อย 2 กล่อง และบริเวณชุมชนกลางบ้าน หมู่ 1 ตำบลแม่ลาน้อย จำนวน 1 กล่อง โดยเครือข่ายต้นกล้า อบจ. แม่ลาน้อย (โรงเรียนแม่ลาน้อยดรุณสิกข์ และโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 21) จะเป็นผู้รับผิดชอบในการสำรวจ เปิดกล่องฯ จัดเก็บขยะขวดพลาสติกและนำไปจำหน่าย โดยรายได้จากการจำหน่ายขยะขวดพลาสติกจะนำไปมอบให้โรงเรียน หรือมอบให้ชุมชนเพื่อนำไปทำประโยชน์ต่อไป

สำหรับเครือข่ายต้นกล้า อบจ.แม่ฮ่องสอน เป็นเครือข่ายเยาวชน ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อทำงานร่วมกับ อบจ.แม่ฮ่องสอนในพื้นที่อำเภอต่าง ๆ รวม 7 อำเภอ จาก 13 โรงเรียน ร่วมทำกิจกรรมต่างๆ ในชุมชน ระหว่างกลุ่มนักเรียนในโรงเรียน ประชาชนในหมู่บ้าน โดยส่งเสริมและสนับสนุนพัฒนาฝึกอบรมให้ความรู้ให้มีแนวคิดด้านจิตอาสา และปลูกฝังจิตสำนึกความเป็นเยาวชนจิตอาสาในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม