สวนสัตว์เชียงใหม่เศร้าเปิดตัวลูกฮิปโปน้อยไปได้เพียง 2 วัน ล่าสุดตายแล้วเพราะปอดติดเชื้อ

สวนสัตว์เชียงใหม่เศร้า จากการเสียชีวิตของลูกฮิปโปน้อย ที่พึ่งเปิดตัวไปเมื่อวันเด็กที่ผ่านมา ผ่านมาได้เพียง 2 วัน ล่าสุดตายแล้วเพราะปอดติดเชื้อ

นายวุฒิชัย ม่วงมัน รักษาการผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่ เปิดเผยว่า วันนี้ได้รับแจ้งข่าวที่เศร้าสลดอย่างมาก ทางเจ้าหน้าที่ประจำส่วนจัดแสดงฮิปโป แจ้งว่าลูกฮิปโปน้อย ที่ทางสวนสัตว์เชียงใหม่ ได้เปิดตัวไปในช่วงงานวันเด็กแห่งชาติ วันที่ 13 ม.ค. 61 ที่ผ่านมา ขณะนี้ได้เสียชีวิตลงแล้ว

ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ได้ส่งซากลูกฮิปโปน้อยไปชันสูตรก็พบว่า มีอาการปอดติดเชื้อ ทั้งที่ก่อนหน้านี้สุขภาพร่างกายยังแข็งแรงดีอยู่ และทางเจ้าหน้าที่ก็ไม่พบอาการผิดปกติแต่อย่างใด เพียงแต่เข้าใกล้มากไม่ได้เนื่องจากแม่ของฮิปโปน้อยตัวนี้หวงมาก กระทั่งลูกฮิปโปเสียชีวิต ทำให้สวนสัตว์เชียงใหม่จากมีฮิปโปรวมกันทั้งหมด ทั้งสมาชิกใหม่ จำนวน 5 ตัว ต้องกลับไปเหลือเพียง 4 ตัวตามเดิม

ท่องเที่ยว ท้าลมหนาว สัมผัสชีวิตชาวเขาที่บ้านม้งดอยปุย

ดอยปุย คืออีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพปุย บนดอยแห่งนี้ได้มีจุดที่ชาวเขาเผ่าม้ง อาศัยอยู่รวมกันเป็นชุมชนขนาดใหญ่ ยังคงมีวิถีชีวิตชาวเขา แต่งกายในชุดประจำเผ่าคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเป็นมิตร

บ้านม้งดอยปุย การเดินทางไปเที่ยวนั้นไม่ยาก ถือได้ว่าเป็นหมู่บ้านชนเผ่าใกล้ตัวเมืองที่สุดก็ว่าได้ เพียง 20 กว่ากิโลเมตร โดยนักท่องเที่ยวสามารถใช้เส้นทางถนนศรีวิชัย หรือถนนขึ้นดอยสุเทพนั่นแหละ ผ่านวัดพระธาตุดอยสุเทพ และพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ จึงจะเห็นสามแยกเข้าสู่บ้านม้งดอยปุย แต่เส้นทางเป็นถนนลาดยาง ท่ามกลางเมฆหมอกและขุนเขา แต่เส้นทางค่อนข้างแคบ ดังนั้นควรขับรถด้วยความระมัดระวังด้วย

เมื่อไปถึง”บ้านม้งดอยปุย” ก็จะได้สัมผัสวิถีชีวิตแบบชาวเขาเผ่าม้ง อีกทั้งยังสถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งจำหน่ายของฝากมีทั้งกระเป๋า รูปทรงต่าง ๆ เสื้อผ้าชุดชาวเขา ผลไม้เมืองหนาว ต่างๆมากมาย รวมถึงอาหารพื้นบ้านพื้นเมืองของชาวเขา ก็มีจำหน่ายให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อ นอกจากนี้ภายในหมู่บ้านยังได้มีการจัดสวนซึ่งตกแต่งไปด้วยดอกไม้เมืองหนาวนานาชนิด รวมถึงดอกฝิ่นที่มีการจัดแสดงโชว์ให้นักท่องเที่ยวได้เห็นด้วย ภายในหมู่บ้านมีพิพิธภัณฑ์บ้านม้ง

เพื่อเป็นการแสดงถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเขาในสมัยก่อน ว่าเป็นอย่างไร ใช้ชีวิตกันยังไง เช่นการตำข้าว การนวดแป้ง อีกทั้งยังมีข้าวของเครื่องใช้ที่ใช้กันในสมัยโบราญให้นักท่องเที่ยวได้ชมอีกด้วย

สวนสัตว์เชียงใหม่ ได้สมาชิกใหม่ ลูกฮิปโปน้อย เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมความน่ารักแล้ว

สวนสัตว์เชียงใหม่โชคดีตั้งแต่ต้นปี ได้สมาชิกใหม่มาเพิ่มเป็นลูกฮิปโปน้อย ถือว่าเป็นการเปิดศักราชใหม่ ต้อนรับฤดูกาลท่องเที่ยวด้วย เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมความน่ารัก พร้อมกับเป็นการต้อนรับสู่บ้านหลังใหม่ บรรยากาศใหม่ที่ปรับปรุงเสร็จแล้ว

นายวุฒิชัย ม่วงมัน รักษาการผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่ เปิดเผยว่า ทางสวนสัตว์เชียงใหม่ ยังได้เปิดตัว ลูกฮิปโป เกิดใหม่ 1 ตัว ซึ่งเกิดเมื่อประมาณ 1 เดือนเศษที่ผ่านมา ขณะนี้ยังไม่ทราบเพศ ถือเป็นสมาชิกใหม่ตัวที่ 5 ของสวนสัตว์เชียงใหม่แล้ว โดยก่อนหน้านี้ทางสวนสัตว์เชียงใหม่ได้มีการปรับปรุงส่วนจัดแสดงฮิปโป ซึ่งใช้เวลาปรับปรุงกว่า 1 ปี และได้ย้ายไปอยู่ที่ส่วนจัดแสดงช้างแทน และวันนี้ถือว่าเป็นการปล่อยลูกฮิปโป ลงสู่ส่วนจัดแสดงที่ปรับปรุงแล้วเสร็จ

เพื่อให้ได้สัมผัสกับบรรยากาศและน้ำในส่วนจัดแสดงเป็นครั้งแรก เพื่อต้อนรับฤดูท่องเที่ยวไฮซีซั่น ให้เด็กๆ เยาวชน และนักท่องเที่ยว ได้เข้าชมความน่ารักของฮิปโปน้อย สมาชิกใหม่ตัวนี้ด้วย

ธ.ก.ส.ภาคเหนือมั่นใจช่วยลดปัญหาหนี้นอกระบบให้เกษตรกร คาดการณ์สิ้นเดือนมีนาคมนี้จะมีการกู้สินเชื่อเพิ่มสูงถึง 6,300 ล้านบาท

ธ.ก.ส.ภาคเหนือสรุปผลช่วยเหลือเกษตรกร ลดปัญหาหนี้นอกระบบและให้เกษตรกรชะลอขายข้าวตามโครงการไว้กว่า 20 ล้านตัน และคาดการณ์ว่าภายในสิ้นเดือน มี.ค.นี้ สินเชื่อของธนาคารจะเพิ่มสูงถึง 6,300 ล้านบาท

นายภานิต ภัทรสาริน ผู้อำนวยการ ธ.ก.ส.ฝ่ายกิจการสาขาภาคเหนือตอนบน กล่าวว่า ธ.ก.ส.ภาคเหนือตอนบนครอบคลุมทั้งหมด 8 จังหวัด ที่ผ่านมามีการเติบโตสินเชื่อเพิ่มจากต้นปีบัญชี 2560 จ่ายสินเชื่อเพิ่มขึ้นจำนวน 2,661 ล้านบาท คาดการณ์ว่าสิ้นบัญชี วันที่ 31 มี.ค. 61 จะเพิ่มขึ้นจากต้นปีประมาณ 6,300 ล้านบาท การเติบโตจำแนกกลุ่มลูกค้าเป้าหมายตามภารกิจของธนาคาร ประกอบด้วย กลุ่มลูกค้าผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้นอกระบบ กลุ่มลูกค้าภาคเกษตรทั่วไป และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการเกษตร จะดูแลเกษตรกร ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ มีจำนวน 9 โครงการ

โดยมีเป้าหมายให้สินเชื่อจำนวน 1,082 ล้านบาท มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ จำนวน 19,000 ราย มีพื้นที่การเกษตร จำนวน 179,000 ไร่ เปิดตลาดประชารัฐ 8 จังหวัดภาคเหนือกว่า 65 ตลาด มีร้านค้ากว่า 389 ราย โดยปี 61 นี้เตรียมเน้นการช่วยเหลือด้วยการลดอัตราผู้กู้นอกระบบให้มาอยู่ในระบบพร้อมดอกเบี้ยที่ต่ำ และเตรียมสรรหาบุคลากรให้เป็นที่ปรึกษาชุมชนละ 1 คน ให้คำปรึกษากับประชาชนที่เดือดร้อนในชุมชน ไม่ต้องไปกู้เงินนอกระบบอีก

ขณะที่ นายภูษิต ขจรวานิชไพบูลย์ รองผู้อำนวยการ ธ.ก.ส. ฝ่ายกิจการสาขาภาคเหนือตอนบน กล่าวเสริมว่า มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีการผลิต 2560/2561 ตามนโยบายของรัฐบาลเรื่อง โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2560/2561 เป้าหมายรวบรวมข้าวเปลือก 2.5 ล้านตัน วงเงินสินเชื่อ 12,500 ล้านบาท และโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2560/2561 ให้สินเชื่อกับเกษตรกรสหกรณ์ฯ กลุ่มสหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน โดยมีเป้าหมายในการชะลอไว้ในยุ้งฉางจำนวน 20 ล้านตัน วงเงินสินเลื่อ 21,010 ล้านบาท

มีเป้าหมายการโอนเงินให้เกษตรกรที่ได้รับการช่วยเหลือกว่า 3.9 ล้านราย คิดเป็นงบประมาณ 47,273.18 ล้านบาท เกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้รับเงินช่วยเหลือในอัตราไร่ละ 1,200 บาท ไม่เกินรายละ 10 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 12,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2560 ถึงวันที่ 31 กรกฏาคม 2561 ส่วนในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน 8 จังหวัด ก็เตรียมรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตร จำนวน 34 สถาบัน ปริมาณข้าว 226,311 ตัน สินเชื่อรวม 1,241 ล้านบาท

โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี เกษตรกรและสถานบันการเกษตร 792 ราย ปริมาณข้าว 3,675 ตัน ให้สินเชื่อรวม 39.29 ล้านบาท และการโอนเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวนาปีให้เกษตรกร 394,108 ราย จำนวนเงิน 2,912 ล้านบาท

“ผาช่อ” เชียงใหม่ หน้าผาอัศจรรย์ความงดงามธรรมชาติในดินแดนแกรนด์แคนยอนเมืองไทย

ผาช่อ ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่อีกแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ที่ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่วาง อ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ โดยสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้มีลักษณะเป็นกำแพงและเสาหิน มีขนาดสูงใหญ่ราว 30 เมตร เป็นบริเวณกว้าง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่เกิดจากการกัดเซาะของลมฝน

โดยเชื่อกันว่าเมื่อหลายพันปีก่อนบริเวณแห่งนี้เคยเป็นทางผ่านของแม่น้ำปิง จนกระทั่งแม่น้ำปิงได้เปลี่ยนสายย้ายทิศไหลผ่านไปที่อื่น บริเวณนี้จึงได้ยกตัวเป็น เนินเขาสูงตะกอนแม่น้ำปิงก่อตัวทับถมกันเป็นชั้นๆ ผ่านกาลเวลาและถูกลมและฝนกัดเซาะจนกลายเป็นหน้าผาและเสาดินที่มีรูปร่าง แปลกตาคล้ายกับที่แพะเมืองผีในจังหวัดแพร่

โดยที่มาของชื่อผาช่อ มาจากลักษณะของหน้าผา ที่มีการซ้อนกันเป็นช่อขึ้นมาลักษณะเหมือนเสาโรมัน และด้วยลักษณะทางธรรมชาติที่แปลกตาคล้ายกับแกรนด์แคนยอน จึงทำให้นักท่องเที่ยวต่างให้สมญานามว่าเป็น แกรนด์แคนยอนเมืองไทย สำหรับการเดินทางสู่ผาช่อนั้นก็ไม่ยาก โดยหากเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ เส้นทางที่สะดวกที่สุดคือเดินทางออกจากตัวเมืองไปทางอำเภอสันป่าตอง เข้าสู่อำเภอดอยหล่อ จากนั้นจะเห็นป้าย ข้างทางเขียนว่า แหล่งท่องเที่ยวผาช่อ ให้ขับไปตามเส้นทางนั้น เส้นทางเข้าผาช่อช่วงสุดท้าย ประมาณ 7 กม. เป็นเส้นทางดินลูกรัง ถนนไม่ค่อยดีต้องขับด้วยความระมัดระวัง แต่รถทุกชนิดเข้าถึง

เมื่อถึงลานจอดรถต้องเดินเท้าไปอีกประมาณ 500 เมตรผ่านเส้นทางศึกษาธรรมชาติมี โดย ระยะเวลาที่เหมาะจะมาเที่ยวชม คือ ช่วงเช้าและอีกช่วงคือบ่ายแก่ๆ ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถบันทึกภาพเพื่อเก็บความประทับได้อย่างเต็มที่ เพราะถึงแม้ว่าที่ผาช่อจะมีบริเวณเดียวให้เดินเที่ยวชม แต่ว่าเมื่อเราเดินเปลี่ยนมุมไป มุมมองของผาช่อก็จะเปลี่ยนไปตาม ถือเป็นอีกหนึ่งมนต์ความงามที่มีมุมให้ถ่ายรูปกันหลายจุดทีเดียว ทั้งนี้การมาเที่ยวสถานที่แห่งนี้ควรเตรียมน้ำดื่มไปให้พร้อม รวมถึง เสื้อผ้า รองเท้าที่เหมาะสม เพราะทางเดิน เป็นดิน และอากาศค่อนข้างร้อน

ผาช่อเป็นอีกหนึ่งความมหัศจรรย์เล็กๆทางธรณีวิทยาอันชวนทึ่ง เป็นแหล่งท่องเที่ยวน้องใหม่ที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องเที่ยวอย่างมีสำนึก และช่วยกันอนุรักษ์เอา ทั้งนี้สำหรับผู้ที่สนใจจะเดินทางไปท่องเที่ยวยังสถานที่ดังกล่าวสามารถ สอบถามข้อมูลเกี่ยวผาช่อและการเดินทางสู่ผาช่อเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติแม่วาง โทร. 0-5381-8348,081-881-4729 หรือสอบถามข้อมูลการเดินทาง ที่พัก ร้านอาหาร และสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆใน จ.เชียงใหม่ เชื่อมโยงกับผาช่อได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานเชียงใหม่ โทร. 0-5327-6140-2

ลุงพิการ ชื่นชมกลุ่มตำรวจชุดสืบสวนภาค 5 รวมเงินกันซื้อรถไฟฟ้าพร้อมมอบเงินยังชีพ เจ้าตัวปลื้มนำเงินไปซื้อหวยมาขายเลี้ยงชีพ

ลุงพิการ ชื่นชมกลุ่มตำรวจชุดสืบสวนภาค 5 รวมเงินกันซื้อรถไฟฟ้าพร้อมมอบเงินยังชีพ เจ้าตัวปลื้มนำเงินไปซื้อหวยมาขายเลี้ยงชีพ

 

ที่กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 5 พ.ต.อ.ณธีพัฒน์ อัครพงศ์ธิติ ผกก.สส.2 บก.สส.ภ.5 พร้อมตำรวจในสังกัดสืบสอง กว่า 50 นายได้ร่วมกันมอบจักรยานไฟฟ้า มูลค่า 12,500 บาท และเงินทุนสำหรับครองชีพอีกจำนวน 10,000 บาท ให้แก่คุณลุงวิสิทธิ์ จันทร์โสภา อายุ 68 ปี ชาวบ้านในจ.ลำพูน ลุงผู้พิการขาเดินไม่ได้

 

พ.ต.อ.ณธีพัฒน์ อัครพงศ์ธิติ ผกก.สส.2 บก.สส.ภ.5 เปิดเผยว่าตนเองไปเจอลุงวิสิทธิ์ โดยบังเอิญเวลาตี 2 ที่ถนนสายซูปเปอร์ซึ่งลุง กำลังใช้จักยานแบบคันโยก โยกจากเชียงใหม่เพื่อกลับบ้านที่ จ.ลำพูน จึงนำเรื่องมาเรียนผู้บังคับบัญชา และเพื่อนในกองสืบสวน รวมถึงบรรดาลูกน้องในกองงาน ทุกคนก็พร้อมใจกันบริจาคเงินตามกำลัง แล้วนำไปจัดซื้อจักยานไฟฟ้า ให้ลุงวิสิทธิ์ เพื่่อจะได้ไม่ต้องใช้แรงในการโยกเดินทางเชียงใหม่ลำพูน ซึ่งมีระยะทางกว่า 30 กิโลเมตร

อีกทั้งยังให้เงินไว้ใช้เพื่อดำรงค์ชีพ เพราะลุงไม่มีใครดูแล ต้องหาเลี้ยงตัวเองทุกวันลำพักเบี้ยยังชีพกับเบี้ยคนพิการไม่พอใจ ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่ตำรวจทุกคนนอกจากทำงาน แล้วก็ยังมีจิตอาสา ช่วยเหลือเพื่อมนุษย์ ยามลำบาก

 

ด้านคุณลุงวิสิทธิ์ กล่าวว่าตนดีใจมากที่ได้รับน้ำใจจากกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีใครช่วยเหลือ สมัยก่อนเมื่อ 14 ปีก่อนตนทำงานการไฟฟ้า แต่เกิดลื่นล้มสมองชีกซ้ายไม่ทำงาน ทำให้นอนป่วยเดินไม่ได้กว่า 4 ปี ได้เงินจากการไฟฟ้ามา 7 แสน ก็ตะเวนหาหมอไทยรักษาตัว จนพอลุกได้ช่วยตัวเองได้เล็กน้อย แต่เงินก็หมด ก็อยู่ได้ด้วยการเก็บของขาย กับเบี้ยยังชีพที่รัฐบาลให้ ต่อมาตนได้รับพระราชทานรถจักยานคันโยก จากนายหลวง ร. 9 เมื่อ 7 ปีก่อน ตนก็จะโยกรถจักยานจากจังหวัดลำพูน มาเชียงใหม่ไปกลับทุกวัน เพื่อหาเงินเลี้ยงชีพโดยเก็บขวดขาย

 

จนมาเจอกลุ่มตำรวจที่เสนอจะให้รถไฟฟ้า เพื่อจะได้ไม่เหนื่อยเวลาเดินทาง อีกทั้งยังได้รับเงินทุน ซึ่งตนก็จะนำไปลงทุนซื้อโควต้าหวยคนพิการ มาจายก็พอมีกำไรที่จะยังชีพไปในแต่ละเดือน ก็ขอขอบคุณน้องๆตำรวจทั้งหลาย เพราะปรกติภาพลักษณ์ของตำรวจไม่ดี แต่วันนี้ตนคงต้องมองใหม่ ตำรวจนอกจากช่วยเหลือปกป้องประชาชน ยังมีน้ำใจที่งดงามอีกด้วย

องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่เปิดศูนย์รับบริจาค “กองทุน 10 บาท”ลดความเหลื่อมล้ำสู่เชียงใหม่4.0

องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ เปิดศูนย์รับบริจาค “กองทุน 10 บาท” ลดความเหลื่อมล้ำ สู่เชียงใหม่ 4.0

ที่ลานเอนกประสงค์ วิทยาลัยเทคโนโลยีโปลิเทคนิคลานนา เชียงใหม่ นายไพรัช ใหม่ชมภู รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ อาจารย์ศิรภพ เจริญกุศล นายกสมาคมโรงเรียนเอกชนจังหวัดเชียงใหม่ อาจารย์ประสิทธิ์ ชูดวง รองผู้อำนวยการฝ่ายกิจการนักศึกษาโรงเรียนโปลิเทคนิคลานนา พร้อมด้วยนักเรียนภายในโรงเรียนกว่า 3,000 คน ได้ร่วมกันเปิดโครงการ”กองทุนปฏิรูปการศึกษาเชียงใหม่ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและช่วยเหลือเด็กชายขอบ(กองทุน 10 บาท) โดยบรรดาผู้บริหารวิทยาลัย และผู้บริหารโรงเรียนเอกชน และนักเรียนร่วมกันบริจาคคนละ 10 บาท เข้ากองทุน

นายไพรัช ใหม่ชมภู รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่าการเปิดกิจกรรมรับบริจาค “กองทุน 10 บาท” กองทุนปฏิรูปการศึกษาเชียงใหม่ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สู่เชียงใหม่ 4.0 นี้เป็นการดำเนินโครงการในแผนยุทธศาสตร์ปฏิรูปการศึกษาเชียงใหม่ การลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาการศึกษาเชียงใหม่ พร้อมทั้งสนับสนุนการบริหารขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาเชียงใหม่ ซึ่งโครงการนี้ทางอบจ. ร่วมกับภาคีเชียงใหม่เพื่อปฏิรูปการศึกษา ขอเชิญพี่น้องชาวเชียงใหม่ทุกหมู่เหล่า ร่วมบริจาค “กองทุน 10 บาท”

โดยขอให้บริจาคคนละ 10 บาท เพื่อนำเงินทั้งหมดมาช่วยเหลือด้านการศึกษาของกลุ่มเด็กชายขอบ เพราะในปัจจุบันการศึกษาของนักเรียนในจังหวัดเชียงใหม่ขาดความเท่าเทียม โดยเฉพาะเด็กนักเรียนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ทาง อบจ. จึงจัดโครงการนี้ขึ้นมาเพื่อระดมเงินทุน เข้าไปช่วยเหลือโรงเรียน และกลุ่มเด็กนักเรียน ให้มีเทคโนโลยีในการเรียนการสอนที่ทันสมัย ให้เท่าเทียมกับเด็กในเมือง

หากท่านใดมีจิตศรัทธาสามารถบริจาคได้ที่โรงเรียน สถานศึกษา หน่วงงานทางการศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทุกแห่งในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่หรือ โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาท่าแพ ชื่อบัญชี กองทุนปฏิรูปการศึกษาเชียงใหม่ เลขที่บัญชี 501-099988-9

 

เชียงใหม่ไนท์บาซาร์ “ค่ำคืนนี้ยังอยู่ดี สบายดีอยู่หรือ”

เชียงใหม่ไนท์บาซาร์ค่ำคืนนี้ ยังอยู่ดี สบายดีอยู่หรือ จากแหล่งค้าขายแบบล้านนา เลือนหายเศรษฐกิจซบเซา เป็นเพียงแค่แหล่งขายเสื้อยืด กระเป๋าและแว่นตา หากไม่ช่วยกันฟื้นฟูตลาดไนท์บาซาร์อาจเหลือแค่ความทรงจำ

หากจะพูดถึงแหล่งท่องเที่ยวในยามราตรีของเมืองเชียงใหม่ แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้น “เชียงใหม่ไนท์บาซาร์” ซึ่งถือเป็นตลาดนัดกลางคืนที่ได้รับความนิยมมากในหมู่นักช้อปชาวต่างชาติ ที่ต้องการจะมาเดินเลือกซื้อสินค้าหัตถกรรมพื้นเมือง ของที่ระลึก ของตกแต่งบ้าน ภาพวาด เครื่องเขิน เครื่องเงิน และสินค้าอื่นๆ จนส่งผลทำให้ตลาดไนท์บาซาร์กลายเป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัดเชียงใหม่

สำหรับไนท์บาซาร์ นั้นมีความหมายตรงตัว ว่าเป็นตลาดขายของกลางคืน ตั้งอยู่ในย่านใจเมืองเชียงใหม่บนถนนช้างคลาน โดยจุดเริ่มต้นของตลาดแห่งนี้ถือกำเนิดจากกแนวคิดของกลุ่มพ่อค้าชาวจีนในเชียงใหม่ ในนามของมูลนิธิสามัคคีการกุศล ที่ต้องการให้มีพื้นที่สำหรับการตั้งขายสินค้า จำพวกหัตถศิลปะ เครื่องจักรสาน ผ้าและเครื่องประดับพื้นเมืองฝีมือของชาวเชียงใหม่ โดยมีกลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มลูกค้าหลักเป็นชาวต่างชาติ เพราะเห็นว่าในยุคนั้นชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวตะวันตกนิยมซื้องานจำพวกหัตถศิลป์ของเชียงใหม่กลับไปเป็นที่ระลึก

โดยตลาด “เชียงใหม่ไนท์บาซาร์” จะเปิดขายบริเวณริมถนนตั้งแต่หัวถนน เจริญประเทศ ไปถึงถนนช้างคลาน เริ่มตั้งแต่เวลาประมาณ 17.00 – 24.00 น. ของทุกวัน ซึ่งตลอดสองฝั่งข้างทางจะได้มีร้านรวงให้ช้อปปิ้งเยอะแยะมากมายตลอดระยะทางกว่า 2 กิโลเมตร โดยจะมีการแบ่งเป็น 3 โซนหลักๆ คือ กาแล ตลาดอนุสารและไนท์บาซาร์ ซึ่งแต่ละจุดนั้นมีวัตถุประสงค์ต่างกัน เช่น ตลาดอนุสารจะเป็นศูนย์รวมของอาหารหลากรส โดยช่วงแรกเป็นศูนย์รวมของร้านอาหารจำพวกซีฟู้ดอาหารทะเล ที่มีราคาค่อนข้างสูง แต่ต่อมาก็มีการปรับเปลี่ยนเป็นอาหารนานาชาติ สำหรับนักท่องเที่ยวและคนไทยที่มาเดินเลือกซื้อสินค้า

แต่ในปัจจุบันบรรยากาศของการท่องเที่ยวย่านเชียงใหม่ไนท์บาซาร์กลับซบเซาลงอย่างมาก โดยทางด้านนางสุดารัตน์ แสงทอง แม่ค้าภายในตลาดไนท์บาซาร์ ได้เปิดเผยว่า แต่เดิม “ไนท์บาซาร์” เป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่ออันดับหนึ่ง ของจังหวัดเชียงใหม่ มาหลายทศวรรษ มีจุดขายคือ เป็นศูนย์รวมของสินค้าหัตถกรรม สินค้าที่ระลึก และมีบรรยากาศอบอวลของความเป็น ท้องถิ่น และล้านนา แต่ปัจจุบันเสน่ห์เหล่านี้กลับเลือนหายไป จนกลายเป็นแหล่งการค้าเสื้อยืด เนกไท กระเป๋า รองเท้า แว่นตา

ทำให้บรรยากาศของความเป็นล้านนาหายไป ขาดการสร้างจุดขายที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศ ทำให้ยอดขายลดลงไปมาก แต่โดยส่วนตัวแล้ว ตนยังมองว่าไนท์บาซาร์ยังมีเสน่ห์ ซึ่งหากว่าจะทำให้กลับมาคึกคักอีกครั้งต้องร่วมกันหลายฝ่ายทั้งรัฐและเอกชน ในการปรับเปลี่ยน และจัดระเบียบร้านค้าพลิกฟื้นภาพลักษณ์และเสน่ห์ของความเป็นเชียงใหม่ขึ้นมาพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ที่สำคัญ คือการช่วยต่อลมหายใจผู้ประกอบการ และเศรษฐกิจเชียงใหม่ได้อย่างแน่นอน

ยุคสมัยเปลี่ยนวัดและพระก็ต้องปรับตัว ฮือฮาปั้น“กุมภัณฑ์ 4 จี” กุศโลบายธรรมมะดึงคนเข้าวัด

เป็นกระแสจากโลกออนไลน์ว่าที่วัดท่าไคร้ บ้านท่าไคร้ หมู่ 2 ต.แม่สา อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ได้มีการสร้างยักษ์กุมภัณฑ์ ยุค 4 จี ที่สุดเท่แปลกแหวกแนวไม่เหมือนใคร คอยเฝ้าทางขึ้นพระธาตุโดยตนหนึ่งนั่งสูบขี้โย (บุหรี่ของคนรุ่นเก่า) สวมรองเท้ายี่ห้อคอนเวิร์ส ออลสตาร์ Converse All Star ส่วนยักษ์อีกตนหนึ่งก็นั่งสูบขี้โย ชูมือเป็นรูปสัญญาลักษณ์ไอเลิฟยู สวมรองเท้าโบราณแบบคีบ เป็นที่แปลกตาของประชาชน ทางผู้สื่อข่าวจึงได้เดินทางไปสอบถามพระอาจารย์ไกรสร กิตติเวที เลขารองเจ้าคณะอำเภอแม่ริม เจ้าอาวาสวัด ถึงที่มาที่ไป

โดยทางด้านพระอาจารย์ไกรสร กิตติเวที เลขารองเจ้าคณะอำเภอแม่ริม เจ้าอาวาสวัด ได้เปิดเผยว่า วัดแห่งนี้เป็นวัดเก่าแก่ของชุมชนในตำบลแม่สา ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าประชาชนกลุ่มวัยรุ่นหรือคนรุ่นใหม่เริ่มห่างเหินจากวัดไม่ค่อยใส่ใจพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเหมือนสมัยก่อน ทางวัดจึงมีแนวคิดว่าทำไงจะดึงคนเข้าวัดให้ได้เพื่อให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจวัดมากขึ้น จึงได้มีการสร้างยักษ์กุมภัณฑ์ ขึ้นมาสองตน

โดยตนหนึ่งนั่งสูบขี้โย สวมรองเท้าคอนเวิร์ส ออลสตาร์ Converse All Star อีกตนหนึ่งก็นั่งสูบขี้โย ชูมือเป็นรูปสัญญาลักษณ์ไอเลิฟยู สวมรองเท้าคีบ แบบที่คนล้านนาหรือคนโบราณใช้กัน ปรากฏว่าได้ผลเป็นที่สนใจของประชาชนและกลุ่มวัยรุ่น ที่มักจะมาถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึกจำนวนมาก ซึ่งยักษ์กุมภัณฑ์ทั้งสองตนนั้นได้มีการแฝงไปด้วย “กุศโลบาย ธรรมมะ” เพราะอยากให้ระลึกถึงคนรุ่นเก่าในหลากหลายเรื่องทั้งคุณความดี อดีตที่ควรจดจำ ส่วนยักษ์อีกตน ที่สวมรองเท้าของชาวต่างชาติเพราะต้องการให้เข้ากับสมัยใหม่ ดึงดูดชาวต่างชาติให้หันมาสนใจและเข้ามาที่วัด เพื่อเผยแพร่ศาสนาต่อไป

ส่วนในพระธาตุยังมีเรื่องเล่าทางศาสนาที่ใส่ตัวการ์ตูนสมัยใหม่เพื่อให้เด็กสนใจเรื่องราวประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนาอีกด้วยพระอาจารย์ไกรสร กล่าว

ปิดตำนานสิ้นแล้วกระเทยประตูท่าแพเชียงใหม่ หลายฝ่ายดีใจภาพลักษณ์การท่องเที่ยวดีขึ้น

ปิดตำนานสิ้นแล้วกระเทยประตูท่าแพ จ.เชียงใหม่ เศรษฐกิจซบเซา ตำรวจไล่จับ หันไปทำผ่านออนไลน์แทนการยืนเรียกแขกจนภาพออกมาฉาวโฉ่ หลายฝ่ายดีใจภาพลักษณ์การท่องเที่ยวดีขึ้น

ลานเอนกประสงค์ข่วงประตูท่าแพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นแลนด์มาร์กอีกจุดหนึ่งที่ใครมาก็ต้องมาถ่ายภาพบริเวณประตู และป้ายประตูท่าแพ ซึ่งมีความสวยงาม รวมถึงเป็นสถานที่จัดกิจกรรมต่างๆ มากมาย แต่สิ่งที่ตามมาคือ กลายเป็นแหล่งทำเงินให้กับหลายอาชีพ โดยเฉพาะทางด้านธุรกิจทัวร์ ที่มีนักท่องเที่ยวมาเดินบริเวณลานเอนกประสงค์ข่วงประตูท่าแพกันมากขึ้น แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังก็คือ “กลุ่มสาวประเภทสอง” หรือเรียกว่า กระเทยท่าแพ เป็นกลุ่มหนึ่งที่ได้แฝงตัวออกมา โดยจะแต่งกายเป็นเหมือนผู้หญิง ออกมายืนในช่วงยามค่ำคืน เพื่อชักชวนให้นักท่องเที่ยวไปในเชิงด้านค้าประเวณีทำให้เกิดภาพลบในด้านการท่องเที่ยวของเมืองเชียงใหม่

ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ออกมากวาดล้าง ไล่จับกุม จนกระทั่งกลุ่มเหล่านี้ได้เคลื่อนออกจากประตูท่าแพ ไปอยู่ตามมุมตึก ตามปากซอยที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกับลานประตูท่าแพแทน

แต่ปัจจุบันหากนักท่องเที่ยวไปก็จะพบว่ากลุ่มสาวประเภทสองเหล่านี้ที่ ได้เริ่มสูญหายไปมากแล้ว ด้วยสาเหตุหลายอย่าง และจากการสอบถามข้อมูลก็ทำให้รู้ว่า หลายคนไม่อยากออกมายืนแล้ว เพราะปัจจุบันทางด้านเศรษฐกิจก็ไม่ค่อยดี ไม่มีลูกค้ามา บางวันก็ได้บางวันก็ไม่ได้ และยังเสี่ยงหากถูกจับด้วย เมื่อถูกจับก็ต้องเสียค่าปรับ ก็ตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพัน

หลายคนก็เคยถูกจับกุมทำประวัติมาก่อน แต่ก็ต้องกลับมาทำอีกเพราะไม่รู้จะไปทำงานอะไร แต่ก็มีเหมือนกันที่บางคนเลิกทำแล้วไปลองทำอาชีพอื่น บางคนก็ไปจับกลุ่มกันขึ้นมา แล้วทำเฉพาะกลุ่มแบบออนไลน์ มีลูกค้าประจำ ลูกค้าขาจรติดต่อผ่านเข้ามา เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ต้องถูกจับ แต่ก็มีบ้างที่บางครั้งออกมายืนอยู่บริเวณริมถนน แต่ก็ไม่ได้ทุกวัน

 

นายวัลลภ นามวงศ์พรหม คณะกรรมการสภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ในมุมมองส่วนตัวคิดว่า เรื่องที่กลุ่มกระเทยท่าแพหายไปเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะประตูท่าแพนั้นขึ้นกับทางกรมศิลปกากร ถือเป็นมรดกของจังหวัดเชียงใหม่ หากใครไปทำสิ่งไม่ดีไม่งาม ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควร ส่วนทางด้านเศรษฐกิจนั้นก็อาจจะเป็นปัจจัยส่วนหนึ่ง แต่ก็น้อย ซึ่งคิดว่าเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่หลายๆ ฝ่าย รวมถึงประชาชน มีความร่วมมือที่เข้มแข็ง ทำให้ลานท่าแพ เป็นลานกิจกรรม เป็นลานท่องเที่ยว

หลายภาคส่วนจับตาดูตลอดเวลา ทำให้กลุ่มเหล่านี้หายไปจากตรงนี้มากกว่า และหลายคนก็อาจจะมีช่องทางที่ไปติดต่อกันทางอื่นด้วย ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนเหล่านี้หายไป หากกลับมายืนบริเวณลานท่าแพ หรือใกล้กับลานท่าแพ ก็อาจถูกมองเหมือนเป็นสิ่งไม่ดี และเป็นการรบกวนนักท่องเที่ยว หากคนเหล่านี้ยังมีอยู่ นักท่องเที่ยวถูกรบกวน ก็จะส่งผลกระทบด้านการท่องเที่ยวไม่มีใครอยากมาเดิน แต่ปัจจุบันคนเหล่านี้หายไป จะเห็นว่านักท่องเที่ยวออกมาเดินบนลานท่าแพทั้งตอนเช้าและตอนกลางคืนมากขึ้น เห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีมากที่มีชุมชนและเจ้าหน้าที่ที่เข้มแข็ง ทำให้คนเหล่านี้ไม่ออกมายืนและสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีให้กับเมืองเชียงใหม่อีก