เลขา ป.ป.ส. นำกำลังร่วมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตัดฟันทำลายไร่ฝิ่นในพื้นที่อำเภอปายแม่อ่องสอน

เลขา ป.ป.ส. สนธิกำลังร่วม นำกำลังร่วมกับตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง ลงพื้นที่ตัดฟันทำลายไร่ฝิ่นในพื้นที่อำเภอปายแม่อ่องสอน และพบว่าสถานการณ์ลักลอบปลูกปีนี้ลดลง ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ เพราะการปราบปรามและสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย

นายศิรินทร์ยา สิทธิชัย เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) พร้อมด้วย พล.ต.จิตติวัศร์ ศรสุวรรณ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการ กองบัญชาการเฉพาะกิจ ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กองทัพภาคที่ 3 และหน่วยเฉพาะกิจกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 นายประจวบ อาจารพงษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน พ.ต.อ.พศวีร์ โชติเทียนชัยวัต รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 5 นายชลัยสิน โพธิเจริญ รองเลขาธิการ ป.ป.ส.

พร้อมด้วย นางทิพาพร ทัศนภักดิ์ ผู้อำนวยการสถาบันสำรวจและติดตามการปลูกพืชเสพติด และอดีตผู้บริหารสำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมติดตามผลการดำเนินการสำรวจและควบคุมพืชเสพติด พร้อมทั้งร่วมตัดฟันทำลายฝิ่นของกลุ่มผู้ที่ลักลอบปลูก พื้นที่กว่า 1 ไร่ ในพื้นที่ตำบลโป่งสา อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน

นายศิรินทร์ยา สิทธิชัย เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) กล่าวว่า การสำรวจพื้นที่ลักลอบปลูกฝิ่นในประเทศไทย โดยสำนักงาน ป.ป.ส. เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2522 ช่วงแรกเป็นไปอย่างยากลำบากเนื่องจากคมนาคมที่ไม่สะดวก รวมทั้ง ยังพบว่าผู้ลักลอบจะย้ายพื้นที่แปลงปลูกฝิ่นเสมอ

สำนักงาน ป.ป.ส. จึงได้ให้สถาบันสำรวจและติดตามการปลูกพืชเสพติด ดำเนินการสำรวจและติดตามสถานการณ์การลักลอบปลูกฝิ่น รวมทั้งประสานการตัดทำลายกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กองทัพภาคที่ 3 กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 3 และศูนย์ปฏิบัติการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดจังหวัด/อำเภอ ส่งผลให้การตัดทำลายฝิ่นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับความเข้มงวดและจริงจังของมาตรการปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาล ทำให้นายทุนและผู้ปลูกเกรงกลัว พื้นที่ลักลอบปลูกฝิ่นลดลงอย่างมาก โดยเปรียบเทียบจากห้วงปี 2545-2546 ซึ่งมีพื้นที่ปลูก 5,265.58 ไร่ และในปี 2559-2560 ลดลงมาเหลือเพียง 1,885.02 ไร่

จากการสำรวจพื้นที่ปลูกฝิ่นในปีนี้ พบว่าลดลงจากปี 2560 มากกว่าร้อยละ 40 เนื่องจากความเข้มงวดและจริงจังของการควบคุมพื้นที่ปลูกฝิ่นและด้านการใช้มาตรการทางกฎหมาย ประกอบกับสภาพอากาศค่อนข้างแปรปรวนส่งผลทำให้พื้นที่ปลูกฝิ่นลดลง เห็นได้จากผลการสำรวจทางอากาศและภาคพื้นที่ดินพื้นที่การลักลอบปลูกฝิ่นตั้งแต่กันยายน 2560 – มกราคม 2561 (ข้อมูล ณ วันที่ 19 มกราคม 2561)

พบมีการลักลอบปลูกฝิ่นโดยชาวเขาในพื้นที่ภาคเหนือ 4 จังหวัด 9 อำเภอ รวมพื้นที่ทั้งสิ้น จำนวน 313 แปลง พื้นที่ 212.41 ไร่ โดยแยกเป็นรายจังหวัดที่มีการลักลอบปลูกฝิ่น คือ จังหวัดเชียงใหม่ 168 แปลง พื้นที่ 119.53 ไร่ จังหวัดตาก 84 แปลง พื้นที่ 62.83 ไร่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน 22 แปลง พื้นที่ 12.49 ไร่ จังหวัดเชียงราย 39 แปลง พื้นที่ 17.56 ไร่ จากจำนวนดังกล่าวได้ดำเนินการตัดทำลายไปแล้ว 210 แปลง 149.66 ไร่ คิดเป็น ร้อยละ 70.46 และยังคงเร่งดำเนินการสำรวจพื้นที่ปลูกฝิ่น และจัดทำแผนที่เป้าหมายร่วมกับหน่วยที่รับผิดชอบดำเนินการตัดทำลายอย่างต่อเนื่อง

ในวันนี้ ป.ป.ส. ได้ร่วมกับ ทหาร ตำรวจ ปกครอง ลงพื้นที่อำเภอปายเพื่อตัดฟันทำลายไร่ฝิ่นขนาดพื้นที่ 1,808 ตารางเมตร หรือ 1.13 ไร่ นอกจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้มีการประชาสัมพันธ์ และใช้สื่อเพื่อรณรงค์ถึงพิษภัยของฝิ่นและโทษตามกฎหมายโดยใช้ภาษาชนเผ่า ซึ่งส่งผลให้การดำเนินงานป้องปรามการปลูกฝิ่นมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมถึงการบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานต่างๆ และนำโครงการหลวง โดยโครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาการปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน ซึ่งเน้นมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตพื้นฐานและส่งเสริมอาชีพให้กับชาวเขาผู้ปลูกฝิ่น เพื่อให้ผู้ปลูกฝิ่นมีอาชีพสุจริตในการดำเนินชีวิต

ปัจจุบันประเทศไทยยังมีการลักลอบปลูกฝิ่นอยู่ รูปแบบของการปลูกนั้นมีทั้งปลูกเพื่อใช้เสพในครัวเรือนและเพื่อเป็นการค้าในพื้นที่โดยมีนายทุนคอยให้การสนับสนุน พื้นที่ปลูกจะมีขนาดแปลงเล็กลงแต่จะมีการกระจายตัวอยู่ในบริเวณเดียวกันหลายแปลง แต่พื้นที่ปลูกจะอยู่ห่างไกลและกันดารยิ่งขึ้น เช่น บริเวณพื้นที่สูงใน อำเภออมก๋อย อำเภอแม่แตง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ และ อำเภออุ้มผาง อำเภอแม่ระมาด อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก

พังน้ำเพชรซุปตาร์ช้างน้อยวัย 2 ขวบ อวดความฉลาดเกินวัย กลายเป็นเน็ตไอดอล

พังน้ำเพชรซุปตาร์ช้างน้อยวัย 2 ขวบ อวดความฉลาดเกินวัย กลายเป็นเน็ตไอดอล มีแฟนคลับแห่ชม-กดไลท์เกือบแสนวิว

ผู้สื่อข่าวรายงาน ในโลกโซเชียล ได้มีการแชร์ภาพของ พังน้ำเพชร ช้างน้อยวัย 2 ขวบ ที่ปางช้างแม่สา อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ จนมียอดผู้ชมแล้วกว่า 78,000 วิว กลายเป็นเน็ตไอดอล โด่งดังชั่วข้ามคืนกับความน่ารักและฉลาดแสนรู้มากกว่าช้างในวัยเดียวกัน หลังควาญช้างได้นำคลิปภาพขณะเล่นกับพังน้ำเพชร โพสต์ในเฟสบุ๊คส่วนตัว “rod jummung” ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปสอบถามข้อมูลที่ปางช้างดังกล่าว ก็พบว่า ควาญช้ากำลังพาพังน้ำเพชร ออกมาเดินเล่นบริเวณสนามหญ้าในพื้นที่ของสถานอนุบาลช้างน้อย หรือ แม่สา เอลีแฟน เนิสเซอรี่

ซึ่งพังน้ำเพชร ดูลักษณะเป็นช้างร่าเริง ชอบเล่นกับควาญช้าง และไม่มีนิสัยดุร้ายแม้แต่น้อย ขณะเดียวกันยังสามารถทำตามคำสั่งของควาญช้างได้หลายอย่าง ทั้ง สวัสดี นั่ง นอน เดินเล่น เป่าเม้าท์ออแกน เมื่อควาญช้างพูดคุยด้วยก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง ใช้งวงสื่อสารตอบโต้ เหมือนกับฟังภาษาคนรู้เรื่อง สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวที่ได้ไปพบเห็น

นายรอด ควาญช้าง บอกว่า พังน้ำเพชรมีอายุ 2 ปี 2 เดือน เกิดจากพลายกุ้ง อายุ 28 ปี และ แม่ทองศรี อายุ 18 ปี มีนิสัยฉลาดร่าเริงและเรียนรู้ได้เร็วกว่าช้างในวัยเดียวกัน นอกจากนี้ยังคุ้นเคยกับผู้คนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นควาญ เจ้าหน้าที่ และ นักท่องเที่ยว เมื่อเห็นใครมาใกล้ก็พยายามเข้าไปเล่นด้วย ตนเองเลี้ยงพังน้ำเพชรมาตั้งแต่เกิดทำให้เห็นพัฒนาการที่รวดเร็วมาอย่างต่อเนื่อง

และล่าสุดเมื่อวันที่ 16 มกราคม ที่ผ่านมา ระหว่างที่ฝึกทบทวนคำสั่งและเล่นกับพังน้ำเพชร เห็นว่าพังน้ำเพชรอารมณ์ดีเป็นพิเศษจึงได้ถ่ายคลิปนำไปโพสต์ ปรากฏว่ามีชาวเนตเข้าชมและชื่นชมความรักกันเป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นซุปตาร์ช้างน้อย ซึ่งตนเองก็รู้สึกดีใจที่ผู้คนชื่นชอบในช้างไทยและอยากให้ความน่ารักของพังน้ำเพชรทำให้คนไทยสนใจช้างไทยซึ่งเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองคนไทยให้มากขึ้น

นายศราวุธ ใหม่จันทร์ ผู้จัดการปางช้างแม่สา บอกว่า พังน้ำเพชรเป็นช้างที่เรียนรู้ได้เร็ว สังเกตได้ว่าตั้งแต่เกิดพังน้ำเพชรมักจะคอยฟังเวลาที่ควาญกับแม่ช้างพูดคุยสื่อสารกัน ทำให้เมื่อโตขึ้นสามารถเรียนรู้เรื่องที่สอนได้เร็ว ขณะที่เดียวกันพังน้ำเพชรยังเป็นช้างตัวแรกของปางช้างแม่สาที่เข้าเรียนในหลักสูตรใหม่โรงเรียนอนุบาลช้าง ที่มีการผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาครูบาช้างจากสุรินทร์ วิถีกระเหรี่ยง และ เทคนิคการฝึกช้างสมัยใหม่ เป็นหลังกสูตรฝึกสอนช้างน้อยที่มีตารางเรียนเหมือนกับเด็กอนุบาล มีวิชาสอนทั้งศิลปะ ดนตรี กีฬา และ การฟังคำสั่งทั่วไป และยังมีชั่วโมงนอนพักผ่อน ทั้งหมดนี้เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมตามธรรมชาติและพัฒนาทักษะช้าง

ปัญหานักท่องเที่ยวให้อาหารนกพิราบและการแพร่พันธุ์ข่วงประตูท่าแพ หวั่นเกิดโรคระบาด วอนช่วยกันหาทางออก

นกพิราบ เป็นเป็นนกในวงศ์นกพิราบและนกเขามีขนสีเทาอ่อน มีแถบสีดำสองแถบบนปีกแต่ละข้าง ในอดีต นกชนิดนี้เป็นนกที่มนุษย์คุ้นเคยเป็นอย่างดี ในสมัยโบราณจะใช้ในการสื่อสาร เนื่องจากเป็นนกที่มีประสาทสัมผัสเป็นอย่างดีในการที่จะหาทางกลับมาสู่ถิ่นฐานที่จากมา แม้ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหนก็ตาม แต่ในปัจจุบันพบว่านกเหล่านี้มีการขยายพันธุ์เป็นจำนวนมาก จนส่งผลให้นเป็นที่รวมของเชื้อโรคชนิดต่าง ๆ ที่ติดต่อมาสู่มนุษย์ได้ อาทิ โรคสมองอักเสบจากเชื้อรา, ปอดอักเสบ, ท้องเสีย, เครียด หรือแม้กระทั่งหมัดจากตัวนก ซึ่งทำให้มนุษย์อย่างเราป่วยป่วยได้

ซึ่งในปัจจุบันที่จังหวัดเชียงใหม่ ก็ได้ประสบปัญหาเหล่านี้อยู่ โดยเฉพาะที่บริเวณลานข่วงประตูท่าแพ ในตัวเมืองเชียงใหม่ พบว่าได้มีนกพิราบจันวนหลายพันตัวได้อาศัยทำรังอยู่ที่บริเวณดังกล่าว เนื่องจากกนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่มักจะเแวะเวียนมาให้อาหารนกที่บริเวณดังกล่าว และถ่ายรูปเป็นที่ระลึกที่บริเวณนี้ ส่งผลให้บริเวณนี้กลายเป็นแหล่งอาหารชั้นดีของนกพิราบที่แพร่ขยายพันธุ์จนเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดผลกระทบจากมูลและสิ่งปฏิกูลต่างๆ จากนกพิราบ ซึ่งทำให้เกิดความสกปรกและกลิ่นเหม็น รวมทั้งเป็นห่วงว่าจะเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคต่างๆ

โดยทางด้านนายทรงศักดิ์ ศรีอำพร ปศุสัตว์อำเภอเมืองเชียงใหม่ กล่าวว่า กรณีปัญหานกพิราบบริเวณประตูท่าแพนั้น ที่ผ่านมามีการลงพื้นที่ตรวจสอบเก็บตัวอย่างมูลนก ขน และน้ำลายไปทำการตรวจหาเชื้อไข้หวัดนก และทำการฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อโรคเพื่อทำความสะอาดอยู่เป็นประจำ ทั้งนี้ แม้ว่าเบื้องต้นจะไม่พบเชื้อไข้หวัดนก อย่างไรก็ตาม การจับหรือสัมผัสตัว ขน น้ำลาย และมูลของนกพิราบระหว่างการให้อาหารนั้นถือว่ามีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อโรคอื่นๆ ที่อาจทำให้ป่วยด้วยโรคท้องร่วงหรืออาหารเป็นพิษได้หากไม่ได้ทำความสะอาดล้างมือแล้วไปหยิบจับอาหารรับประทาน

นอกจากนี้ทางด้านนายณัฐฐ์ชูเดช วิริยดิลกธรรม รองนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ ยอมรับว่า ปัญหานกพิราบดังกล่าวเกิดจากการที่มีประชาชนและนักท่องเที่ยวให้อาหารนกอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ ทำให้ฝูงนกพิราบปักหลักตั้งถิ่นฐานและขยายพันธุ์จำนวนมาก จนส่งผลกระทบทั้งความสะอาด กลิ่นเหม็น และหวั่นเกรงว่าจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรคต่างๆ ซึ่งการดำเนินการนอกจากประสานงานทางสำนักงานปศุสัตว์เข้ามาสำรวจเก็บตัวอย่างไปตรวจหาว่ามีเชื้อโรคใดๆ หรือไม่ และฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อโรคเพื่อทำความสะอาดแล้ว ทางเทศบาลนครเชียงใหม่จะมีการจัดกำลังเทศกิจทำการตรวจตราห้ามขายอาหารนกให้เข้มงวดยิ่งขึ้น

ซึ่งหากพบจะทำการดำเนินคดีและยึดของกลางทั้งหมด ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้มีการดำเนินการจับกุมกลุ่มผู้ พ่อค้า – แม่ค้า ที่ลักลอบจำหน่ายอาหารนกพิราบเพื่อส่งดำเนินคดีในข้อหาจำหน่ายสินค้าในที่และทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535 มาตรา 20 ประกอบกับมาตรา 54 นอกจากนี้ยังได้มีการติดป้ายขอความร่วมมือจากนักท่องเที่ยวให้ช่วยกันงดให้อาหารนกพิราบ โดยจากการดำเนินการต่างๆ หวังว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาลงได้ในที่สุด

ด้านนายพีระพล ไชยเทพ ผู้ช่วยเจ้าหน้าที่เทศกิจเทศบาลนครเชียงใหม่ ได้เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาบนลานเอนกประสงค์ประตูท่าแพ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของเมืองเชียงใหม่ ได้มีกลุ่ม พ่อค้า- แม่ค้า ที่กระทำความผิด แอบลักลอบนำอาหารนกซึ่งเป็นเมล็ดข้าวโพดบด นำมาเร่ขายให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเที่ยวบริเวณดังกล่าว จนทำให้เกิดปัญหานกพิราบที่มีจำนวนมากและเพิ่มปริมาณมากขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าที่ผ่านมาทางเจ้าหน้าที่เทศกิจของเทศบาลนครเชียงใหม่จะเคยดำเนินการจัดระเบียบด้วยการจับนกเหล่านี้ไปปล่อยแล้วก็ตาม แต่ปัจจุบันกลับพบว่ามีจำนวนมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม

ซึ่งที่ผ่านมาทางเจ้าหน้าที่เทศกิจ ก็ได้มีการทำการตักเตือนกลุ่ม พ่อค้า-แม่ค้า เหล่านี้บ่อยครั้งว่าไม่ให้นำอาหารมาจำหน่าย อีกทั้งยังเคยลงโทษด้วยการจับปรับเพื่อไม่ให้มาขายอีก แต่ก็พบว่าหลังจากปล่อยตัวไป กลุ่มพ่อค้าแม่ค้าเหล่านี้ก็ยังกลับมาขายอีก ซึ่งบางครั้งทางเจ้าหน้าที่เทศกิจได้ปฏิบัติตามหน้าที่แต่ก็กลับถูกมองและถูกต่อว่าจากกลุ่มคนเหล่านี้ว่าเป็นการกลั่นแกล้ง ไม่ให้ทำมาหากิน ทั้งๆ ที่ผ่านมานั้นมีการร้องเรียนจากประชาชนรวมทั้งนักท่องเที่ยว เนื่องจากนกพิราบเหล่านี้นั้นอาจส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นพาหะนำโรคหลายชนิด

อีกทั้งบางครั้งกลุ่ม พ่อค้า-แม่ค้า เหล่านี้ยังสร้างความรำคาญใจให้กับประชาชนและนนักท่องเที่ยวด้วย แต่อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ก็ต้องปฏิบัติตามหน้าที่ แม้จะมีการจับกุมแล้วก็ตาม ซึ่งอยากให้ทางเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันหามาตรการและทางออกที่เด็ดขาดเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนต่อไป

พลอากาศเอก ประจิน รองนายกรัฐมนตรีฯ เปิดศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขงปลอดภัยเร่งปราบยาเสพติดลุ่มน้ำโขง

พลอากาศเอก ประจิน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขงปลอดภัย ประจำปี 2561 และหารือกับหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศสมาชิกโครงการแม่น้ำโขงปลอดภัย จำนวน 5 ประเทศ เพื่อเร่งแก้ไขปัญหายาเสพติดที่ยังคงเป็นปัญหารุนแรงของหลายๆ ประเทศ

พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขงปลอดภัย (Safe Mekong Coordination Centre – SMCC) ประจำปี 2561 พร้อมด้วย คณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ประกอบด้วย นายพงศธร สัจจชลพันธ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม พลตำรวจโท ต่อศักดิ์ สอาดพรรค นางสาวดวงดาว เกียรติพิศาลสกุล คณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายปวิณ ชํานิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พลโท วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 และพลตำรวจโทพูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5

โดยมี นายศิรินทร์ยา สิทธิชัย เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) นายชลัยสิน โพธิเจริญ รองเลขาธิการ ป.ป.ส. คณะผู้บริหารสำนักงาน ป.ป.ส. ให้การต้อนรับ และหารือกับหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศสมาชิกโครงการแม่น้ำโขงปลอดภัย จำนวน 5 ประเทศ ได้แก่ จีน ลาว เมียนมา กัมพูชา และเวียดนาม ณ ศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขง ปลอดภัย จังหวัดเชียงใหม่

โครงการแม่น้ำโขงปลอดภัย ริเริ่มโครงการฯ โดยสาธารณรัฐประชาชนจีนมาตั้งแต่ปี 2556 และได้ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง มีพัฒนาการของการดำเนินงานมาโดยลำดับ ด้วยความร่วมมือของประเทศสมาชิก ทั้ง 6 ประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ราชอาณาจักรไทย และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยการใช้ยุทธศาสตร์ “ปิดล้อมสามเหลี่ยมทองคำ”

ด้วยมาตรการลดศักยภาพการผลิตยาเสพติดในพื้นที่ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ในลุ่มแม่น้ำโขง และพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ โดยแต่ละประเทศจัดสรรทรัพยากร ทั้งด้านงบประมาณ กำลังพล และเครื่องมืออุปกรณ์เข้ามาดำเนินการ ตามศักยภาพ และกรอบอำนาจอธิปไตยของแต่ละประเทศ มีวัตถุประสงค์มุ่งเน้นการสกัดกั้นสารตั้งต้น เคมีภัณฑ์ และเครื่องมืออุปกรณ์ในการผลิตยาเสพติด ไม่ให้เข้าสู่แหล่งผลิตในสามเหลี่ยมทองคำ

ในขณะเดียวกันก็สกัดกั้นยาเสพติดที่ผลิตจากสามเหลี่ยมทองคำไม่ให้ออกไปแพร่กระจายในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง และภูมิภาคอื่นๆ ของโลก แต่ในปี 2560 ที่ผ่านมา ยังคงมีการลักลอบผลิตยาเสพติดเป็นจำนวนมากในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งเป็นการผลิตที่ไม่มีขีดจำกัดของการผลิตยาเสพติดชนิดสารสังเคราะห์ในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ

เนื่องจากกลุ่มผู้ผลิตยาเสพติดยังคงสามารถหาสารตั้งต้นที่จะนำมาใช้ในการผลิตยาเสพติดได้อย่างไม่จำกัดเช่นกัน โดยประเทศสมาชิก ได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขงปลอดภัยเป็นศูนย์กลางการประสานงานของทุกประเทศ และได้หมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพ ซึ่งประเทศไทยครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 สำหรับการเป็นเจ้าภาพ

โดยการประชุมวันนี้ได้ร่วมหารือในสาระสำคัญ 6 เรื่อง คือ 1. การสร้างเป้าหมายร่วมกันที่จะดำเนินการต่อพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ 2. การยกระดับความร่วมมือในการดำเนินการในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ 3. การให้ความสำคัญของการสกัดกั้นสารตั้งต้น เคมีภัณฑ์ที่ใช้ในการผลิตยาเสพติด 4. การผนึกกำลังร่วมกันของทั้ง 6 ประเทศในการกำหนดเครือข่ายการผลิตและค้ายาเสพติดที่สำคัญในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ 5. การกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน และ 6. อนาคตของความร่วมมือกันของ 6 ประเทศ ซึ่งจะต้องมีการทำแผนความร่วมมือในการสกัดกั้นและแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำต่อไปอีก

เชียงใหม่เตรียมจัดงานมหกรรมไม้ดอกไม้ประดับอย่างยิ่งใหญ่ ใต้แนวคิด “หมื่นแสนมวลบุปผา งามตาทั่วเวียงพิงค์”

จังหวัดเชียงใหม่ เตรียมจัดงานมหกรรมไม้ดอกไม้ประดับ ครั้งที่ 42 อย่างยิ่งใหญ่ ภายใต้แนวคิด “หมื่นแสนมวลบุปผา งามตาทั่วเวียงพิงค์”

นายปวิณ ชำนิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานแถลงข่าวการจัดงานมหกรรม ไม้ดอกไม้ประดับ ครั้งที่ 42 ประจำปี 2561 โดยมีนายมนัส ขันใส ปลัดจังหวัดเชียงใหม่ นายอดิศร กำเนิดศิริ ที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ นายทัศนัย บูรณุปกรณ์ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ นายจักรพงษ์ สิทธิหล่อ นักวิเคราะห์นโยบายและแผน สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ นายสมพล แสนคำ เกษตรจังหวัดเชียงใหม่ ผู้แทน ผกก.สภ.เมืองเชียงใหม่ ผู้แทน ผกก.กลุ่มงานจราจรตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมแถลงข่าว ที่สวนสาธารณะหนองบวกหาด อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

นายปวิณ ชำนิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า การจัดงานมหกรรมไม้ดอกไม้ประดับจังหวัดเชียงใหม่ มีวัตถุประสงค์เพื่อเชิดชูและคงไว้ซึ่งขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรมของจังหวัดเชียงใหม่ เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ตลอดจนสามารถสร้างอาชีพและสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรชาวสวนที่ปลูกไม้ดอกไม้ประดับ โดยจังหวัดเชียงใหม่ร่วมกับภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชน เข้ามามีส่วนร่วม เพื่อยกระดับงานและวางแผนการดำเนินงาน Roadmap for Chiang Mai flower fest ให้ภาพรวมของงานทั้งหมดน่าสนใจ

 

พร้อมกับได้นำเอาวิทยากรและผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์มาให้ความรู้ แนวทางพัฒนาเพื่อนำไปสู่การต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละอำเภอ ให้ออกมาโดดเด่นบ่งบอกถึงขนบธรรมเนียม ประเพณี และเอกลักษณ์ในพื้นที่ของตนเอง ซึ่งจะทำให้สร้างความประทับใจ และดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศให้เข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่เพิ่มมากขึ้น และยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืนต่อไป

สำหรับงานมหกรรมไม้ดอกไม้ประดับจะถือเอาวันศุกร์ เสาร์และอาทิตย์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ เป็นห้วงระยะเวลาจัดงาน ซึ่งปีนี้กำหนดจัดขึ้นวันที่ 2 – 4 กุมภาพันธ์ 2561 ณ บริเวณสวนสาธารณะหนองบวกหาด ลานเอนกประสงค์ข่วงประตูท่าแพ และเชิงสะพานนวรัฐ อำเภอเมืองเชียงใหม่ โดยจะมีพิธีเปิดในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 19.00 น. ณ เวทีกลางภายในสาธารณะหนองบวกหาด ซึ่งการจัดงานปีนี้ภายใต้แนวคิด “หมื่นแสนมวลบุปผา งามตาทั่วเวียงพิงค์”

ในวันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 08.00 น. ณ บริเวณเชิงสะพานนวรัฐ จะมีการปล่อยขบวนรถบุปผชาติชิงถ้วยพระราชทานของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งจะเคลื่อนไปจอดยังบริเวณสวนสาธารณะหนองบวกหาด เพื่อให้ประชาชนได้ชื่นชมความงาม


ทั้งนี้ กิจกรรมหลักจะแบ่งออกเป็น 8 กิจกรรม ได้แก่ 1.) การจัดนิทรรศการการประกวดไม้ดอกไม้ประดับและการจัดสวน ณ สวนสาธารณะหนองบวกหาด ประกอบด้วย การประกวดกล้วยไม้ บอนไซต์ การจัดสวน ซุ้มถ่ายภาพ ฯลฯ 2.) การประกวดขบวนรถบุปผชาติ (วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2561) จากเชิงสะพานนวรัฐไปถึงบริเวณสวนสาธารณะหนองบวกหาด โดยมีขบวนจำนวนทั้งสิ้น 24 คัน แยกตามประเภทการประกวด ได้แก่ ประเภทสวยงาม, ประเภทอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม และประเภทความคิดสร้างสรรค์ 3.) การแสดงและจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชน โดยเชิญทุกอำเภอจัดทำร้านเพื่อแสดงสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชน OTOP

4.) การแสดงดนตรีในสวน ณ บริเวณเวทีกลาง สวนสาธารณะหนองบวกหาด เวลา 19.00 – 23.00 น. 5.) การแสดงดนตรีของสถาบันการศึกษา ซึ่งจะมีการบรรเลงดนตรีและแสดงศิลปวัฒนธรรมประเพณีล้านนาของเยาวชนจากสถาบันการศึกษาในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ณ เวทีลานเอนกประสงค์ข่วงประตูท่าแพ เวลา 18.00 – 22.00 น. 6.) การตกแต่งเส้นทาง/การทำถนนดอกไม้/การจัดสวน โดยดำเนินการบริเวณรองคูเมืองเชียงใหม่ ลานเอนกประสงค์ข่วงประตูท่าแพ และเส้นทางที่ขบวนรถบุปผชาติผ่าน ตลอดจน ถนนสายสำคัญในตัวเมืองเชียงใหม่ 7.) การจัดสวนไม้ดอกไม้ประดับ ณ สวนสาธารณะหนองบวกหาด

แบ่งการจัดสวนเป็น 4 โซน ได้แก่ โซน A “หมื่นแสนมวลบุปผา งามตาทั่วเวียงพิงค์”, โซน B “ต้องมนต์ทุ่งทิวลิป”, โซน C “ดินแดนอุโมงค์ไม้ดอก”, โซน D “มหัศจรรย์คัลเลอร์ฟูล” 8) การประกวดนางงามบุปผชาติเชียงใหม่/นางงามบุปผชาตินานาชาติ ซึ่งจะจัดการประกวดในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2561 ณ เวทีกลาง สวนสาธารณะหนองบวกหาด

ขนส่งเชียงใหม่จัดประมูลป้ายทะเบียนรถเลขสวยต้อนรับตรุษจีนและวาเลนไทน์

ขนส่งเชียงใหม่จัดประมูลป้ายทะเบียนรถเลขสวยต้อนรับตรุษจีนและวาเลนไทน์ มุ่งเป้าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้ในกองทุนป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน

นายชาญชัย กีฬาแปง ขนส่งจังหวัดเชียงใหม่เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการเปิดฉลองพุทธศักราชใหม่ 2561 และเทศกาลตรุษจีน รวมทั้งเพื่อเป็นของขวัญในวันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์ 2561 สำนักงานขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ กำหนดจัดการประมูลเลขทะเบียนรถสวยรถยนต์นั่งไม่เกิน 7 คน (รถเก๋ง) ครั้งที่ 21 ในหมวดอักษร “ขล” จำนวน 301 หมายเลข ในวันเสาร์ – อาทิตย์ที่ 10 – 11 กุมภาพันธ์ 2561 ที่ศูนย์ประชุมนานาชาติเอ็มเพรส โรงแรมดิเอ็มเพรส จังหวัดเชียงใหม่ ถือว่าเป็นจังหวัดที่มีจำนวนครั้งของการเปิดประมูลสูงที่สุดในประเทศ ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 21 ใน 22 หมวดอักษร

จังหวัดเชียงใหมได้จัดประมูลแผ่นป้ายทะเบียนรถเลขสวยรถเก๋งมาแล้ว จำนวน 20 ครั้ง 21 หมวดอักษร นำรายได้โดยไม่หักค่าใช้จ่ายเข้ากองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) จำนวนรวมทั้งสิ้น 457,430,774 บาท ทั้งนี้เพื่อนำไปใช้ในกิจกรรมการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนทั่วประเทศ สำหรับจังหวัดเชียงใหม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณจาก กปถ. ในโครงการต่างๆ อาทิเช่น โครงการจัดซื้อเครื่องมือตรวจจับความเร็วรถ, เครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์, กล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV), โครงการรถโมบายออกใบอนุญาตขับขี่เคลื่อนที่,

 

โครงการปลูกฝังเด็กไทย ใส่ใจวินัยจราจร, โครงการสนามจราจรเยาวชนเสริมสร้างจิตสำนึกความปลอดภัย, โครงการขนส่งสัญจรสอนน้องใช้รถใช้ถนน, โครงการตรวจรถฟรีขับขี่ปลอดภัย, โครงการขนส่งห่วงใยใส่ใจผู้ประสบภัยจากรถ โดยมอบอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้พิการจากอุบัติเหตุจากการใช้รถใช้ถนนเป็นประจำทุกปี โครงการสื่อประชาสัมพันธ์ข่าวสารและข้อมูลด้านความปลอดภัยในการใช้รถ ใช้ถนนผ่านจอ LED และโครงการมั่นใจทั่วไทย รถใช้ GPS เป็นต้น

ทั้งนี้ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ชนะการประมูลป้ายเลขสวยทั้ง 301 หมายเลข สำนักงานขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ได้นำแผ่นป้ายทะเบียนรถทั้งหมด ประกอบพิธีเสริมศิริมงคลเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2560 ณ ห้องประชุมเวียงพิงค์ สำนักงานขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีพระครูโอภาสปัญญาคม รองเจ้าคณะอำเภอสะเมิง เจ้าอาวาสวัดดับภัย เป็นประธานในพิธีเสริมศิริมงคล พร้อมด้วยพระเถระชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 9 รูป สำหรับผู้ชนะการประมูลป้ายเลขสวย

ได้แก่หมายเลข ขล 1, ขล 8899, ขล 1111, ขล 2222, ขล 3333, ขล 4444, ขล 5555, ขล 6666, ขล 7777, ขล 8888 และ ขล 9999 จะได้รับมอบผ้ายันต์นารายณ์ทรงครุฑที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของพระพรหมมังคลาจารย์ (เจ้าคุณธงชัย) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหารเพื่อความเป็นสิริมงคลอีกด้วย

โอกาสนี้ สำนักงานขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ จึงขอเชิญชวนผู้ใจบุญร่วมทำบุญสร้างกุศล โดยการประมูลหมายเลขทะเบียนรถสวยหมวดอักษร ขล ซึ่งมีความหมายว่า “ขับรถเลขสวย ร่ำรวยโชคลาภ” ในวันเสาร์-อาทิตย์ที่ 10 – 11 กุมภาพันธ์ 2561 ณ โรงแรมดิเอ็มเพรสเชียงใหม่ สำหรับการประมูลครั้งที่ผ่านมา อักษร “ขร” มีรายได้ทั้งสิ้น 14,857,000 บาท สำหรับการประมูลครั้งนี้ คาดว่าจะมีรายได้ไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท

โลกเปลี่ยน ตุ๊กตุ๊ก เชียงใหม่ต้องปรับเปลี่ยนด้วยไม่อย่างงั้นอยู่ลำบาก

หากพูดถึงรถตุ๊กตุ๊ก หรือชื่อเรียกทางราชการว่า สามล้อเครื่อง หลายคนอาจจะทราบกันดีว่าเป็นรถโดยสารสาธารณะที่มีลักษณะเป็น รถบรรทุกสามล้อ มีไฟหน้าหนึ่งดวงมีหลังคาผ้าใบ และมีที่จับบังคับเหมือนรถจักรยานยนต์ ด้านหัลงจะมีเบาะนั่งไว้คอยรับส่งผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของการท่องเที่ยวของประเทศไทย ที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหากเดินทางมายังประเทศไทยเมื่อไหร่ ก็ต้องขอลองใช้บริการรถตุ๊กตุ๊กไทยสักครั้งหนึ่ง

สำหรับประวัติความเป็นมาของเจ้ารถประเภทนี้นั้น เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อปีพ.ศ. 2503 เมื่อได้มีประกาศห้าม รถสามล้อถีบวิ่งในเขตกรุงเทพมหานครเนื่องจากเห็นว่าเป็นรถที่แล่นช้า เกะกะกีดขวางทางจราจร ทำให้เกิดวิวัฒนาการในการนำเอารถสามล้อเครื่องกระบะบรรทุกจากญี่ปุ่น เข้ามาดัดแปลง โดยเอามาต่อหลังคาเพิ่มไว้สำหรับนั่งโดยสารและขนของได้ โดยเรียกชื่อว่า สามล้อเครื่อง แต่ชาวต่างชาติที่มาเที่ยวเมืองไทยไม่รู้จะเรียกรถสามล้อเครื่องว่า อะไร เลยอาศัยเรียกชื่อตามเสียงท่อไอเสียของรถ กลายเป็นชื่อ “รถตุ๊กตุ๊ก” ซึ่งเป็นชื่อเรียกที่ติดปากมาถึงวันนี้

นายศุภกิต สงวนทรัพย์ หนึ่งในคนขับ รถตุ๊กตุ๊ก ในจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า รถตุ๊กตุ๊ก ถือเป็น สัญลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทย เนื่องด้วยเอกลักษณ์ และความแปลก จึงทำให้นักท่องเที่ยวนิยมใช้บริการและมักจะถ่ายรูปไปโชว์ให้กับเพื่อนๆชาวต่างชาติ จนทำให้รถตุ๊กตุ๊กเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เมื่อมาเที่ยวเชียงใหม่ หรือเมืองไทยก็ขอลองนั่งสักครั้งในชีวิต โดยราคาจะขึ้นอยู่กับระยะทาง ในการเดินทาง โดยในแต่ละวันสามารถสร้างรายได้มากถึงวันละ 500-1,000 บาท และยิ่งถ้ายิ่งเป็นในช่วงเทศกาลที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมาก จะสามารถสร้างรายได้มากถึงวันละ1,000-3,000 บาท

แต่ในปัจจุบันกลับพบว่าจำนวนรถสามล้อเครื่องรับจ้างกลับลดลง เนื่องจกาหลายสาเหตุโดยสาเหตุหลักเกิดจากในปัจจุบันได้มีระบบขนส่งมวลชนทางเลือกอย่าง อูเบอร์ และแกร็บคาร์ ส่งผลทำให้นักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการลดลง จากที่เคยมีรายได้กว่าวันละพันบาท กลับลดลงเหลือเพียงไม่กี่ร้อยบาท จนหลายคนต้องเลิกขับรถตุ๊กตุ๊กไปเนื่องจากรายได้ไม่เพียงพอที่จะไปจุนเจือครอบครัว และต้องได้หาประกอบอาชีพใหม่ในที่สุด

ด้านนายศุภกิจ ลอมจิตต์ ประธานสหกรณ์สามล้อเครื่องลานนา ได้เปิดเผยถึงสาเหตุว่า แต่เดิมรถสามล้อเครื่องรับจ้างในจังหวัดเชียงใหม่ ได้มีการขึ้นทเบียนกับกรมการขนส่งทางบกมากถึงกว่า 1,400 คัน แต่ภายหลังเมื่อปี 2535 กระทรวงคมนาคมได้มีการประกาศงดจดทะเบียนรถสามล้อเครื่องรับจ้าง ทำให้ปริมาณรถสามล้อเครื่องรับจ้างลดลง สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากบางคันมีสภาพทรุดโทรมจนไม่สามารถนำไปวิ่งได้ และสาเหตุอีกส่วนหนึ่งนั้นเกิดจากในปัจจุบันได้มีระบบขนส่งมวลชนทางเลือก ซึ่งได้แย่งส่วนแบ่งของลูกค้าจากรถในระบบขนส่งมวลชนสาธารณะไป แม้จะมีการป้องกันและปราบปราม ยังไม่ได้ผลมากนัก

จึงส่งผลทำให้ผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะมีรายได้ลดลงเกินกว่าครึ่ง หลายคนจึงเลิกประกอบกิจการขับรถสามล้อเครื่องรับจ้างเนื่องจากรายได้ไม่สามารถจุนเจือครอบครัวได้ ทำให้จำนวนรถสามล้อเครื่องรับจ้าง ในปัจจุบันลดลงเหลือเพียงประมาณ 1,100 คัน ซึ่งหลังจากที่ได้มีการศึกษาปัญหา ทางสหกรณ์สามล้อเครื่องลานนา ก็ได้พยายามดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย ทั้งในเรื่องของการปรับลดราคา รวมไปถึงการจัดระเบียบรถ หากผู้ขับขี่รถแสดงมารยาทที่ไม่ดีต่อผู้โดยสารหรือผู้ใช้รถใช้ถนนก็จะได้มีบทลงโทษตามความเหมาะสม

 

นอกจากนี้ยังได้มีการนำรถสามล้อไฟฟ้า หรือรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า มาใช้ในการรับส่งผู้โดยสารแทนสามล้อคเรื่องรูปแบบเดิม เพื่อเป็นการลดมลพิษ อีกทั้งยังเป็นการลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ ให้สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น และเป็นการนำเอาเอกลักษณ์ของรถตุ๊กตุ๊กมาผสมผสานเทคโนโลยี เพื่อประยุกต์ใช้ให้เขากับยุคสมัยใหม่ให้ทันกับโลกเพื่อจะยื้อต่อลมหายใจสร้างรายได้ให้กับคนขับรุตุ๊กตุ๊กในเชียงใหม่ต่อไป

เชียงใหม่เปิดตัวครั้งแรก “โมไบค์” จักรยานอัจฉริยะใช้โทรศัพท์ปลดล็อครถจักรยานได้เพื่อการท่องเที่ยว

เชียงใหม่ เปิดตัวครั้งแรกรถ “โมไบค์” จักรยานอัจฉริยะใช้โทรศัพท์ปลดล็อครถจักรยานได้เพื่อการท่องเที่ยว

นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกันแถลงข่าว เปิดตัว “MOBIKE IN เจียงใหม่” ที่บริเวณลานด้านหน้าพิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โดยมี ผู้บริหารโมไบค์ (Mobike) บริษัทผู้ให้บริการจักรยานสาธารณะอัจฉริยะ สำนักงานการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลเชียงใหม่ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และผู้บริหารเครือข่ายโทรศัพท์เอไอเอส เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้

นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า จังหวัดเชียงใหม่ ในปี 60 ที่ผ่านมา ได้รับการคัดเลือกให้เป็นต้นแบบเมืองอัจฉริยะ(Smart City) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการขับเคลื่อนจากรัฐบาล การดำเนินงานของเราในการส่งเสริมให้เป็นเมืองที่มีการเชื่อมโยงอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนสู่เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการสุขภาพ เชื่อมโยงสู่เมืองท่องเที่ยวนั้นกำลังไปได้ด้วยดี เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับ โมไบค์ มายังเชียงใหม่ในฐานะผู้ร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์ของเราในครั้งนี้

จักรยานสาธารณะอัจฉริยะจะช่วยเชื่อมโยงคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวไปกับวัฒนธรรมอันดีงามของชุมชนเรา และเรารู้สึกยินดีที่ได้มีระบบขนส่งเช่นนี้ในจังหวัดเชียงใหม่ โดยบริการจักรยานสาธารณะอัจฉริยะ( bikeshare ) ในขณะนี้เปิดให้ใช้งานฟรีด้วย เพื่อเป็นการทดลองในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่

วิธีการเข้าใช้ก็เพียงแค่นำโทรศัพท์มือถือ หรืออุปกรณ์แทปเล็ต มาสแกนคิวอาร์โค้ด หรือค้นหาคำว่า “MOBIKE” ในเพลย์สโตร์ ของระบบแอนดรอยด์ หรือใน iTunes ของระบบ iOS หลังจากโหลดแอปพลิเคชันมาติดตั้งเสร็จ ก็จะมีการส่งข้อความมาให้และนำไปกรอกลงในระบบ ก็สามารถจะปลดล็อครถจักรยานได้ ซึ่งจะมีแถบคิวอาร์โค้ดติดไว้ 2 จุด บนจักรยาน สามารถสแกนจุดไหนก็ได้ เมื่อปั่นจักรยานเสร็จ ก็จอดไว้ที่ไหนก็ได้ จะมีเจ้าหน้าที่ดำเนินการเก็บกลับมา

 

แต่หากใครอยากจะนำไปคืนที่จุด ก็ไม่ต้องย้อนกลับมาจุดเดิม แต่จะมีเส้นทางบอกว่าจุดจอดจักรยานที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ไหน หากจอดตรงจุด ผู้ใช้ก็จะเหมือนได้แต้มการใช้เพิ่มด้วย ซึ่งขณะนี้ในส่วนของจังหวัดเชียงใหม่ ก็ได้เริ่มเปิดอย่างเป็นทางการแล้ว และให้บริการฟรีด้วย เพื่ออำนวยความสะดวกในการสัญจรให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยวในพื้นที่ ลดมลพิษทางอากาศ กระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรให้มีความเจริญก้าวหน้า ทันสมัย บรรลุเป้าหมายการเป็นเมืองต้นแบบการส่งเสริมสุขภาพและสังคมสีเขียวเทียบเท่ากับเมืองท่องเที่ยวชั้นนำทั่วโลก

รองผู้ว่าฯ เชียงใหม่สรุปผลประเมินสถานประกอบการและแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับมาตรฐานมีเพียง 15 แห่ง

จังหวัดเชียงใหม่ สรุปผลการประเมินสถานประกอบการและแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับมาตรฐานการท่องเที่ยว มีเพียง 15 แห่งเท่านั้น โดยทางสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ ได้ดำเนินกิจกรรมการสำรวจ ประเมิน เพื่อรับรองสถานประกอบการมาตรฐานกรมการท่องเที่ยว เพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานทั้ง รองรับนักท่องเที่ยว AEC เสริมสร้างความมั่นใจในการใช้บริการให้แก่นักท่องเที่ยว และเป็นการสร้างงาน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่

โดยที่ลานกิจกรรม ชั้น G ห้างสรรพสินค้าเมญ่า ไลฟ์สไตล์ช็อปปิ้งเซ็นเตอร์ จังหวัดเชียงใหม่ นายประจวบ กันธิยะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานแถลงข่าวถึงผลการประเมินสถานประกอบการและแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับมาตรฐานการท่องเที่ยว ของกรมการท่องเที่ยว ซึ่งมีสถานประกอบการสปา โรงแรม ที่พัก และแหล่งท่องเที่ยว เข้าร่วมงานด้วย

ในครั้งนี้รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้กล่าวว่า เชียงใหม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาจำนวนมาก ปีหนึ่งไม่ต่ำกว่า 13 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นคนไทย 3 ล้านคน นักท่องเที่ยวจีน 3 ล้านคน ส่วนที่เหลือเป็นนักท่องเที่ยวสัญชาติอื่นๆ ซึ่งจังหวัดเชียงใหม่ มีจุดแข็งด้านประเพณี วัฒนธรรม และแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม และยังได้รับการโหวตให้เป็นที่หนึ่งในด้านแหล่งท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย ที่ผ่านมาสร้างรายได้ให้กับสถานประกอบการ และร้านค้าต่างๆ มากมาย แต่สถานประกอบการก็ต้องดูแล และผลักดันให้ได้มาตรฐานด้านการบริการและด้านความปลอดภัยด้วย

การจัดกิจกรรมในวันนี้ ถือว่าเป็นการกระตุ้นด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว มีการออกบูธของสถานประกอบการต่างๆ ที่ลานกิจกรรม ชั้น G ห้างสรรพสินค้าเมญ่า ไลฟ์สไตล์ช็อปปิ้งเซ็นเตอร์ จังหวัดเชียงใหม่ เชื่อว่าจะเป็นการกระตุ้นรายได้ทางด้านเศรษฐกิจการ่องเที่ยวได้มากขึ้น และอยากให้สถานประกอบการพัฒนาตนเองเพื่อให้มาตรฐาน รองรับนักท่องเที่ยว AEC และเสริมสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว เพราะหากนักท่องเที่ยวมั่นใจก็จะมีรายได้เข้ามายังประเทศและจังหวัดมากขึ้นด้วย

นายจักรพงษ์ สิทธิหล่อ นักวิเคราะห์นโยบายและแผนปฏิบัติการ ผู้แทนสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ กล่างถึงภาพรวมของการดำเนินงานในกิจกรรมครั้งนี้ ว่ากิจกรรมครั้งนี้ครอบคลุมการดำเนินงานหลายส่วน ตั้งแต่ การจัดประชุมชี้แจงสถานประกอบการ ในเดือนพฤษภาคม 2560 การแต่งตั้งคณะกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อลงพื้นที่ ประเมิน คัดเลือก สถานประกอบการ และแหล่งท่องเที่ยว ที่จะดำเนินการพัฒนาคุณภาพด้านการท่องเที่ยว เพื่อยกระดับให้ได้มาตรฐานการท่องเที่ยว ของกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

ด้วยการลงพื้นที่เพื่อให้คำแนะนำในการพัฒนาสถานประกอบการ และแหล่งท่องเที่ยว เพื่อยกระดับให้ได้มาตรฐานการท่องเที่ยว มีการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์สถานประกอบการและแหล่งท่องเที่ยว ที่ได้รับมาตรฐานของกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประกอบด้วย การจัดทำทำเนียบผู้ประกอบการและแหล่งท่องเที่ยวที่ผ่านมาตรฐานของกรมการท่องเที่ยว แผ่นพับแสดงจุดสถานประกอบการและแหล่งท่องเที่ยวที่ผ่านมาตรฐานในรูปแบบแผนที่ การประชาสัมพันธ์ผ่านเว็บไซต์ และการผลิตสื่อวีดีทัศน์ภาพรวมเกี่ยวกับสถานประกอบการและแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับมาตรฐานของกรมการท่องเที่ยว

รวมไปถึง การจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์สถานประกอบการและแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับมาตรฐานการท่องเที่ยวไทย เพื่อให้ผู้ประกอบการและแหล่งท่องเที่ยวที่ผ่านการรับรองฯ มาจัดแสดงข้อมูลศักยภาพด้านการตลาด ระหว่างวันที่ 16 – 17 มกราคม 2561 ณ ลานชั้น G ห้างสรรพสินค้าเมญ่า ไลฟ์สไตล์ช็อปปิ้งเซ็นเตอร์

ด้านนายธนกร สมฤทธิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด ที่ปรึกษาโครงการฯ ได้กล่าวถึงรายละเอียดของการดำเนินกิจกรรมในโครงการฯ เพิ่มเติมว่า กลุ่มสถานประกอบการที่มีความพร้อมและขอรับการประเมินมาตรฐานของกรมการท่องเที่ยวผ่านกิจกรรมฯ ของเรา ได้แก่ กลุ่มสถานประกอบการสปา คือ โอเอซิสสปาลานนา , วารีสปา , ศิราสปา และสมาคมไทยล้านนาสปา กลุ่มที่สอง กลุ่มสถานประกอบการโรงแรม รีสอร์ท ที่พัก คือ โรงแรมดวงตะวัน เชียงใหม่ , โรงแรมรติล้านนา ริเวอร์ไซด์ สปารีสอร์ท เชียงใหม่ , โรงแรมเชียงใหม่รัตนโกสินทร์ และ รงแรมยูเรเซียเชียงใหม่

กลุ่มที่ 3 แหล่งท่องเที่ยว  ชุมชน  Homestay กิจกรรมท่องเที่ยว คือ ปางช้างแม่แตง , โฮมสเตย์บ้านเหล่าพัฒนา และชุมชนม้งบ้านแม่สาใหม่ ส่วนกลุ่มที่ 4 บริษัทนำเที่ยว/สถานที่จำหน่ายของระลึก คือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เชียงใหม่ เจเจ ทราเวล , ห้างหุ้นส่วนจำกัด เชียงใหม่ ยูยู ทราเวลดด , บริษัท นอร์ทเทริน อันซีนทราเวล จำกัด และ บริษัท สยามศิลาดล พอตเทอรี่ จำกัด

 

มูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ ผุดโครงการปั่นไปไม่ทิ้งกันคนตาดีช่วยคนตาบอดปั่นจักรยานกรุงเทพฯ-เชียงใหม่

มูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ ผุดโครงการปั่นไปไม่ทิ้งกัน คนตาดีช่วยคนตาบอดปั่นจักรยานกรุงเทพฯ -เชียงใหม่ 867 กิโลเมตร 9 วัน 9 จังหวัด สมทบทุนสร้างศูนย์ฝึกอาชีพคนพิการอาเซียน

นายประหยัด ทรงคำ ประธานมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการสาขาภาคเหนือ เปิดเผยว่ามูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ ได้จัด “โครงการปั่นไปไม่ทิ้งกัน” ครั้งแรกในประเทศไทย ปั่นสามัคคีคนตาดีช่วยคนตาบอด จากกรุงเทพ – เชียงใหม่ 9 วัน 9 จังหวัด ระยะทาง 867 กิโลเมตร เริ่มวันแรก 28 มกราคม 2561 จากรุเทพ จะสิ้นสุดวันที่ 5 กุมภาพพันธ์ 2561 ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อสนับสนุนการสร้างศูนย์ฝึกอาชีพคนพิการอาเซียน ที่ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ สร้างโอกาสให้กับคนพิการ ในการฝึกอาชีพ และหารายได้ ตลอดจนเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้แก่คนพิการอย่างยั่งยืน

การปั่นครั้งนี้เพื่อระดมทุนครั้งใหญ่ นำไปใช้ก่อสร้างศูนย์คนพิการโดยนักปั่นจักรยานจะมีนักปั่นตาดีร่วมปั่นจักรยานสามัคคีกับนักปั่นตาบอดจำนวน 20 คนเริ่มจากจังหวัดกรุเทพ สุพรรณบุรี ชัยนาท นครสวรรค์ พิษณุโลก อุตรดิตถ์ แพร่ ลำปางและจังหวัดเชียงใหม่ขอเชิญชวนคนไทยทุกคนร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ร่วมกับผู้พิการในการที่จะร่วมกันขยายและสร้างโอกาสให้คนพิการ สานต่องานที่พ่อทำ ด้วยการช่วยเหลือให้ผู้พิการสามารถก้าวข้ามความยากจน มีอาชีพที่ยั่งยืน เพื่อที่จะเปลี่ยนผู้พิการที่ถูกสังคมมองว่าเป็นภาระ ให้กลายเป็นอีกหนึ่งพลังในการสร้างสรรค์และพัฒนาสังคม

ส่วนผู้ที่ต้องการสนับสนุน โครงการปั่นไปไม่ทิ้งกัน สานต่องานที่พ่อทำ No One Left Behind ด้วยการบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนการก่อสร้างศูนย์ฝึกอาชีพคนพิการอาเซียน ครั้งนี้สามารถร่วมบริจาค ผ่านช่องทางต่างๆ ดังต่อไปนี้ ช่องทางที่ 1 : บริจาค 100 บาท ผ่านโทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย กด*948*6666*100# แล้วโทรออก

ช่องทางที่ 2 : พิมพ์ Y100 แล้วส่ง SMS ไปที่หมายเลข 4899666 แล้วกดโทรออก เพื่อบริจาค 100 บาท สำหรับทุกเครือข่าย ช่องทางที่ 3 : โอนเงินเข้าบัญชีกระแสรายวัน ธนาคารกรุงเทพ 162-3-07772-2, ธนาคารกรุงไทย 196-6-00208-4 ธนาคารไทยพาณิชย์ 264-3-001530 ธนาคารกสิกรไทย 758-1-01398-6 ธนาคารกรุงศรี 494-0-00140-9 ชื่อบัญชีมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ

และร่วมสมทบทุนซื้อของที่ระลึก (เสื้อ) จากโครงการปั่นไปไม่ทิ้งกัน No One Left Behind ตามจุดกิจกรรมต่างๆ หรือ Facebook ของมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการช่องทางที่ 4 : บริจาค 100 TruePoint แทนเงิน 10 บาท ผ่านแอปทรูยู หรือ กด *878*2828# โทรออกฟรี เฉพาะเครือข่ายทรูมูฟเอชเท่านั้นช่องทางที่ 5 : ร่วมบริจาคผ่านแอปพลิเคชั่นบนมือถือ “ทรูมันนี่ วอลเล็ท” ได้ตลอด24 ชม ดาวน์โหลดแอปฟรีทาง App Store และ Play Store คุณก็สามารถทำดีง่ายๆ ด้วยปลายนิ้ว ผ่านแอปทรูมันนี่ วอลเล็ท

 

และสามารถติดตามกิจกรรมและความเคลื่อนไหวของ โครงการปั่นไปไม่ทิ้งกัน No One Left Behind ได้ทาง Facebook : มูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ (Facebook.com / Universalfoundation) หรือ www.wiriya.org และร่วมส่งแรงใจสนับสนุนนักปั่นผู้พิการทางสายตาด้วยการติดแฮชแท็คที่กำหนด #ปั่นไปไม่ทิ้งกัน #NoOneLeftBehind.

ขอบคุณ.ภาพจากมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ