พ่อเมืองสามหมอกเยี่ยมชมศูนย์วิจัยกัญชาฯแม่สะเรียง แนะขยายผลสู่วิสาหกิจชุมชนนำร่องอำเภอละ 1 แห่ง เชื่อสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจให้ประชาชนได้อย่างมหาศาล

ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนากัญชาทางการแพทย์ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มปลูกและแปรรูปบุกเกษตรอินทรีย์บ้านทุ่งแพม ต.แม่ยวม อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน นายณัฐวรรธน์ วรพนิตกุล ผู้อำนวยการวิสาหกิจชุมชนกลุ่มปลูกและแปรรูปบุกเกษตรอินทรีย์บ้านทุ่งแพม ได้ให้การต้อนรับ นายสุวพงศ์ กิติภัทย์พิบูลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน นางสาวศันสนีย์ ทาสม รองผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน นายสังคม คัดเชียงแสน นายอำเภอแม่สะเรียง พร้อมคณะ ได้เดินทางเยี่ยมชมศูนย์วิจัยและพัฒนากัญชาฯ ในครั้งนี้ นายสุวพงศ์ กิติภัทย์พิบูลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้ พูดคุยกับผู้บริหารศูนย์วิจัยฯ ถึงแนวทางในการขยายการเพาะปลูกกัญชาสู่วิสาหกิจชุมชนในแต่ละอำเภอ นำร่องอำเภอละ 1 วิสาหกิจชุมชน โดยกลุ่มวิสาหกิจฯลงทุนร่วมกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ทำการเพาะปลูก และ ทางศูนย์วิจัยฯเป็นผู้รวบรวมและตรวจสอบมาตราฐานเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงในการนำไปใช้ปรุงยาไทย 16 ตำรับ ซึ่งเชื่อว่าหากมีการขยายผลสู่ชุมชนในแต่ละวิสาหกิจจะสามารถสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจให้กับประชาชนในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนได้อย่างมหาศาล ทั้งนี้ศูนย์วิจัยดังกล่าวได้รับการอนุญาตที่ถูกต้องตามกฎหมายและมีการควบคุมการผลิตได้อย่างมีมาตราฐานทุกประการ

ศูนย์วิจัยและพัฒนากัญชาทางการแพทย์ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มปลูกและแปรรูปบุกเกษตรอินทรีย์บ้านทุ่งแพม ก่อตั้งขึ้น โดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ร่วมกับกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข และวิสาหกิจชุมชนกลุ่มปลูกและแปรรูปบุก เกษตรอินทรีย์บ้านทุ่งแพม อำเภอแม่สะเรียง มีเจตนาร่วมกันวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์กัญชาและกัญชง เพื่อใช้ในทางการแพทย์ โดยร่วมกันวิจัยการสกัดสารสำคัญ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ได้จากกัญชาและกัญชง เพื่อใช้ในทางการแพทย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธกิจของกระทรวงสาธารณสุข ในการยกระดับการใช้ประโยชน์กัญชาสู่ระดับสากล ดำเนินการปลูกกัญชารุ่นแรก เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2563 จำนวน 320 ต้น 4 สายพันธุ์ ประกอบไปด้วย กัญชาสายพันธุ์เพชรบุรี ตะนาวศรี หางกระรอกด้ายแดง และ หางกระรอกอีสาน และได้ ส่งมอบผลผลิตกัญชา ชุดแรก ภายใต้โครงการความร่วมมือวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์กัญชาและกัญชงเพื่อใช้ทางการแพทย์ ประกอบด้วยดอกกัญชาสด จำนวน 14.45 กิโลกรัม กัญชาแห่ง จำนวน 94.32 กิโลกรัม ให้กับกรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2563

“คุซะโนะเนะ”รัฐบาลญี่ปุ่นก่อสร้างอาคารเรียนให้ รร.บ้านห้วยหญ้าไซ อ.แม่สรวย จ.เชียงราย

สถานกงสุลใหญ่ญี่ปุ่น ณ นครเชียงใหม่ จัดพิธีส่งมอบอาคารเรียนภายใต้โครงการก่อสร้างอาคารเรียนโรงเรียนบ้านห้วยหญ้าไซ อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ซึ่งสนับสนุนโดยรัฐบาลญี่ปุ่นผ่านโครงการความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจแบบให้เปล่าเพื่อพื้นฐานและความมั่นคงของมนุษย์ (หรือโครงการคุซะโนะเนะ) โดยมี นายฮิโรชิ มัทสึโมะโตะ กงสุลใหญ่ญี่ปุ่น ณ นครเชียงใหม่ เป็นผู้มอบ และ และนายสงคราม มังคะละ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านห้วยหญ้าไซ เป็นผู้รับมอบ

โรงเรียนบ้านห้วยหญ้าไซตั้งอยู่กลางภูเขาในเขตอำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลจนถึงมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งนักเรียนเกือบทุกคนเป็นเด็กชนเผ่าอย่างเผ่าอาข่าหรือเผ่ามูเซอ ที่ไม่ได้ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาแม่ ทางโรงเรียนมุ่งมั่นในการขยายโอกาสทางการศึกษาอย่างจริงจัง เช่น การรับเด็กที่อยู่ห่างไกลเข้าพักที่หอพักของโรงเรียน ซึ่งระยะหลังจำนวนเด็กนักเรียนได้เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการให้โอกาสทางการศึกษาแก่เยาวชนในท้องถิ่นอย่างทั่วถึงและส่งเสริมให้สามารถก้าวสู่สังคมได้อย่างมีคุณภาพ จึงถือเป็นบทบาทที่สำคัญยิ่ง

ขณะที่เด็กนักเรียนมีจำนวนเพิ่มขึ้น แต่สภาพอาคารของโรงเรียนบ้านห้วยหญ้าไซที่มีอยู่นั้นคับแคบและทรุดโทรมไม่สามารถจัดเป็นห้องเรียนที่มีคุณภาพตามจำนวนที่จำเป็น บางชั้นเรียนต้องนั่งเรียนในห้องที่ดัดแปลงมาจากหอพักหรือห้องเก็บของ และนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นต้องใช้ห้องเรียนแคบๆ ที่เคยเป็นห้องเรียนของเด็กปฐมศึกษา

จากสถานการณ์ดังกล่าว รัฐบาลญี่ปุ่นจึงได้ให้การสนับสนุนงบประมาณมูลค่า 5,835,000บาทแก่โรงเรียนบ้านห้วยหญ้าไซ เพื่อก่อสร้างอาคารเรียน 2 ชั้น 1หลัง สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นประกอบด้วยห้องเรียน 4 ห้อง และห้องเอนกประสงค์ ซึ่งการก่อสร้างอาคารเรียนดังกล่าวได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว รัฐบาลญี่ปุ่นหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการสนับสนุนในครั้งนี้จะช่วยให้นักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นของโรงเรียนบ้านห้วยหญ้าไซได้รับการศึกษาท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและปลอดภัยยิ่งขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นมีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการจัดการกับความมั่นคงของมนุษย์โดยผ่านโครงการความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจแบบให้เปล่าเพื่อพื้นฐานและความมั่นคงของมนุษย์ (คุซะโนะเนะ) ต่อไป

“เมืองรถม้า”ลำปางตั้งศูนย์บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จบนห้างเซ็นทรัลพลาซ่า

นายคมกริช เจริญพัฒนสมบัติ หัวหน้าสำนักงานจังหวัดลำปาง เป็นประธานการประชุมโครงการจัดตั้งศูนย์บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จ (Government Center) จังหวัดลำปาง ครั้งที่ 1/2563 โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมฯตามโครงการตั้งศูนย์บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จของจังหวัดลำปาง ทางจังหวัดได้มอบหมายส่วนราชการ หน่วยงาน และศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลำปาง เป็นหน่วยงานรับผิดชอบร่วมกัน เบื้องต้นมีหน่วยงานราชการเข้าร่วม จำนวน 10 หน่วยงาน ได้แก่ ที่ทำการปกครองจังหวัดลำปางงานบริการทำบัตรประชาชน การคัดรับรองทะเบียน สำนักงานพัฒนาสังคมฯงานต่อทะเบียน ต่ออายุ บัตรประจำตัวคนพิการ สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองให้คำแนะนำด้านก่อสร้างอาคาร แบบบ้านเพื่อประชาชน

สำนักงานจัดหางานจังหวัด จัดหางานแก่ผู้ว่างงาน รับขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน สำนักงานประกันสังคม ตรวจสอบข้อมูลผู้ประกันตน บริการต่างๆ สำนักงานแรงงานจังหวัด บริการข้อมูลข่าวสารด้านแรงงาน ตำรวจภูธรจังหวัดรับแจ้งความ เอกสารหาย ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดรับเรื่องราวร้องเรียน ร้องทุกข์ การประปาส่วนภูมิภาค รับชำระค่าน้ำประปา ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับน้ำประปา บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) รับชำระค่าบริการโทรศัพท์ การบริการติดตั้งโดยศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลำปาง ได้จัดสรรพื้นที่ตั้งศูนย์บริการฯ อยู่บริเวณชั้น 3 หน้าลิฟท์ โซนโรงภาพยนตร์ ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการประชาชนภายในเดือนตุลาคมนี้

ถนนเชียงใหม่-เชียงราย ผ่านได้แล้วอนุญาติเฉพาะรถน้ำหนักไม่เกิน 20 ตัน สิบล้อให้ไปใช้สาย อ.งาว จ.ลำปาง

7 ส.ค.63 นายคมสัน สุวรรณอัมพา รอง ผวจ.เชียงใหม่ เปิดเผยว่า อำเภอดอยสะเก็ด ได้รายงานความคืบหน้า การซ่อมแซมถนนทางเบี่ยง สาย เชียงใหม่ – เชียงราย จำนวน 6 แห่ง ที่ขาดชำรุด เนื่องจากน้ำป่าไหลหลาก พื้นที่ ต.ป่าเมี่ยง ตั้งแต่วันที่ 2 สค..-วันนี้ 6 สค.63 ดังนี้

1 ถนนทางเบี่ยง 6 แห่ง ที่ขาดชำรุดตั้งแต่ 2 สค..บัดนี้วันที่ 6 สค.63 แขวงการทาง ชม. 2 ได้ซ่อมแซมนำสะพานเหล็กเบลีย์ มาติดตั้งจุดที่ 2 จุดที่ 5 จุดที่ 6 เสร็จเรียบร้อยแล้ว สำหรับจุดที่ 1 จุด 3 จุด 4ได้วางแนวท่อเพิ่มขึ้นจาก 3 แถว เป็น 5 แถวเพื่อให้น้ำไหลระบายคล่องตัว

2 รถเล็ก เก๋ง ปิคอัพ น้ำหนักไม่เกิน 20 ตัน ทั้งขาขึ้นและขาล่อง จากเชียงใหม่ – เชียงราย แขวงการทางได้เปิดการจราจรแล้วสามารถใช้เส้นทางได้ตามปกติแล้ว ตั้งแต่ วันที่ 6 สค.63 เวลา 14.00 น.แต่ในขณะขับผ่านสะพาน ควรระมัดระวังใช้ความเร็วไม่เกิน 30 กม/ชมเพราะสะพานแคบรถเดินทางเดียวต้องตีธง ที่ละฝั่งสำหรับรถบรรทุก 10 ล้อ รถพ่วงเพื่อความปลอดภัยไม่อนุญาตผ่าน ให้ใช้เส้นทาง อ.งาว จ.ลำปาง แทน

แม่ฮ่องสอนหวังมีไฟฟ้าใช้ครบทุกหมู่บ้าน

ที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอแม่สะเรียง พลโทสุรพล ตาปนานนท์ ประธานอาสาร่วมพัฒนาแม่ฮ่องสอน นางนันทิยา วงศ์วานิชย์ นายกสมาคมสตรีจังหวัดแม่ฮ่องสอน พร้อมด้วย ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำชุมชน 3 อำเภอสายใต้จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้เดินทางพบ นายเสกสรร เสริมพงษ์ รองผู้ว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อหารือแนวทางการผลักดันให้ทุกหมู่บ้านพื้นที่ห่างไกลได้มีไฟฟ้าใช้

โดยประเด็นหลักๆ คือ หลายหมู่บ้านไม่มีไฟฟ้าใช้เนื่องจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคไม่สามารถปักเสาพาดสายผ่านเข้าไปในเขตป่าได้ จึงได้มีการหารือแนวทางร่วมกัน ทำอย่างไรที่จะสามารถปักพาดเสาไฟฟ้าไปตามเส้นทางต่างๆ ที่ต้องผ่านเขตป่า เข้าสู่หมู่บ้านได้อย่างถูกต้อง ถูกกฎหมาย ตามระเบียบของหน่วยงานนั้นๆ เพื่อให้ทุกหมู่บ้านในจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้มีกระแสไฟฟ้าใช้ครอบคลุมทุกพื้นที่

โปลิศเมืองสามหมอก ระดมปล่อยแถวกวาดล้างอาชญากรรมในพื้นที่

ที่บริเวณหน้าสถานีตำรวจภูธรเมืองแม่ฮ่องสอน พ.ต.อ.ศิริพงศ์ ศรีพันฐ์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นประธานปล่อยแถวเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรเมืองแม่ฮ่องสอน ทหารจาก ฉก.ร.17 ตชด.336 ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง พยาบาล ขนส่งจังหวัด กองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัด และ อาสาสมัครอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอนกว่า 80 นาย ในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม และการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน ยาเสพติด คดีประทุษร้ายต่อทรัพย์ คดีเกี่ยวกับชีวิต ร่างการเพศ และหมายจับค้างเก่า รวมทั้งการลักลอบเล่นการพนันทุกชนิด

การออกกวาดล้างในครั้งนี้ เป็นการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ตลอดจนการรักษาความปลอดภัยให้แก่ประชาชนในอาคารบ้านเรือน การตรวจรถยนต์ จักรยานยนต์ หรือเหตุที่ต้องสงสัย ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจภูธรภาค 5 ได้มอบหมายให้ตำรวจภูธรจังหวัดแม่ฮ่องสอนออกแผนให้เพิ่มความเข้มในการปฏิบัติให้มากยิ่งขึ้น โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติภารกิจนี้ให้บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ตามนโยบายของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

“บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ยาหอมรับปากช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกลำไยภาคเหนือราคาตกต่ำ วางงบ 2พันล้านบาท ไว้เยียวยา พร้อมพิจารณาเปิดประเทศให้พ่อค้าจีนเข้ามารับซื้ออีกทาง

14.00 น.วันที่ 6 ส.ค. 63 ที่ศูนย์ประชุมนานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระรวงเกษตรและสหกรณ์ และคณะได้เดินทางมาประชุมติดตามการดำเนินงานด้านสถานการณ์อุทกภัย และความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกลำไย เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยมีนายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือ เกษตรกร และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมให้การต้อนรับและเข้าประชุม ในการประชุมทางด้าน พลเอก ประวิตร ได้มอบนโยบายให้กับผู้ว่าราชการจังหวัด 8 จังหวัดภาคเหนือ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในด้านการดูแล ป้องกันอุทกภัยในพื้นที่ พร้อมการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนหลังจากนั้น พลเอก ประวิตรได้เดินทางเข้าพบกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือ เพื่อรับฟังปัญหาและมอบแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกร

นายมานพ จินะนา ประธานสภาอาชีพเกษตรกร (สอก.) กล่าวว่าเกษตรกรผู้ปลูกลำไยภาคเหนือตอนบนและอีก 25 จังหวัดทั่วประเทศไทย ได้รับผลกระทบโดยตรงจากโรคระบาดร้ายแรงโควิด- 19 (Covid- 19) โดยในฤดูกาลผลิตลำไย ปี 2563 ผลผลิตลำไยได้ออกสู่ตลาดช่วงปลายเดือน มินายน-กลางเดือนกันยาย 2563 ซึ่งช่วงที่ผลผลิตออกมากที่สุดคือเดือน กรกฎาคม-สิงหาคม นับตั้งแต่เดือนแรกที่ผลผติตลำไยออกสู่ตลาด ราคาผลผลิตลำไยตกต่ำเป็นอย่างมาก ลำไยคุณภาพชนิดกรด AA กิโลกรัมละ 17 บาท เกรด A กิโลกรัมละ 8 บาท เกรด B กิโลกรัมละ 4 บาท ซึ่งราคาซื้อขายลำไยปีนี้ตกต่ำเนื่องด้วยมีปัญหาการส่งออกสินค้าลำไยไปต่างประเทศไม่สามารถส่งออกได้ เนื่องจากมาตรการป้องกันโรคระบาดของทุกประเทศ และปัญหากลไกภายในล้งผู้รับซื้อลำไยกดราคารับซื้อผลผถิตในราคาที่ต่ำเกินจริง ประกอบกับเกษตรกรชาวสวนไยประสบกับปัญหาภัยแล้ง วัสดุอุปกรณ์มีราคาเพิ่มสูงขึ้นทำให้ต้นทุนการผลิตลำไยคุณภาพมีต้นทุนสูง

กระทรวงพาณิชย์ได้รายงานราคาจำหน่ายลำไยในปี 2562 ลำไยชนิดเกรด AA ราคากิโลกรัมละ 32-35 บาท และลำไยชนิดกรด A ราคากิโลกรัมละ 23-27 บาท เมื่อเปรียบเทียบกับราคาจำหน่ายลำไยคุณภาพในระดับเดียวกันของปี 2562 กับผลผลิตลำไยคุณภาพในปี 2563 ราคาจำหน่ายมีมูลค่าลดลงถึงร้อยละ 6 จากปีก่อน ทำให้เกษตรกรผู้ปลูกลำไยประสบกับการขาดทุนและ ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก ประกอบกับการพัฒนาผลผลิตลำไยคุณภาพมีต้นทุนที่สูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการปลูกลำไยแบบดั้งเดิม กล่าวคือ ในการผลิตลำไยคุณภาพในปี 2563 ต้นทุนการผลิตต่อไร่มีค่าใข้จ่ายอยู่ที่ 23.61 บาทต่อลำไย 1 กิโลกรัม เมื่อราคาขายผลผลิตลำไยคุณภาพชนิดเกรด AA ขณะนี้ (14 ก.ค. 63) ราคารับซื้ออยู่ที่กิโลกรัมละ 17 บาทเท่านั้น เป็นสาเหตุทำให้เกษตรกรขาดทุนอย่างรุนแรง จึงจำเป็นที่ต้องขอการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเยียวยาบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรผู้ปลูกลำไย ทั้งนี้ ขอรัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีจ่ายเงินชดเชยให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกลำไย ไร่ละ 2,000 บาท รายละไม่เกิน 25 ไร่ ซึ่งจะใช้งบประมาณทั้งสิ้นไม่เกิน 1,800 ล้านบาท ให้การช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวเกษตรกร จำนวน 196,655 ครอบครัว พื้นที่ปลูกลำไย 1,200,879 ไร่ ผลผลิตลำไยปี 63 จำนวน 1,044,000 ตัน

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังรับฟังปัญหาของพี่น้องเกษตรกรว่า ผลกระทบจากการส่งออกและการรับซื้อลำไยจากพ่อค้าประเทศจีน รัฐบาลมีความห่วงใยพี่น้องเกษตรกรที่ปลูกลำไย โดยมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตรขับเคลื่อนโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกลำไยปี 2563 จำนวน 5 โครงการได้แก่ 1.คณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาเกษตรกรอันเนื่องมาจากผลผลิตการเกษตร ระดับจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบโครงการ 3 โครงการ คือ โครงการสนับสนุนจุดรวบรวมและคัดคุณภาพลำไยเพื่อกระจายออกนอกแหล่งผลิตปี 2563 โครงการสนับสนุนจุดรวบรวมลำไยสดเพื่อแปรรูปปี 2563 และโครงการแก้ไขปัญหาผลผลิต ผลไม้ออกสู่ตลาดมากในปี 2563 โดยกรมการค้าภายในเป็นผู้ดำเนินการ

รวมถึงแนวทางการชดเชยดอกเบี้ยให้กลุ่มเป้าหมาย ดำเนินการโดยกรมการค้าภายในและ ธกส. จะช่วยกัน พร้อมกับมีการเชื่อมโยงตลาดสินค้าจากห้างสรรพสินค้า ปั๊มน้ำมัน ปตท. และตลาดออนไลน์ เป็นการเพิ่มช่องทางในการจำหน่ายสินค้า ในเรื่องการชดเชยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเกษตรผู้ปลูกลำไย ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยจะเยียวยาให้เกษตรกร ไร่ละ 2,000 บาท ไม่เกินรายละ 25 ไร่ และขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักในการนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาในการช่วยเหลือ และขอยืนยันว่ารัฐบาลจะช่วยเหลือเกษตรกรจนสุดความสามารถ เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้นำมาชดเชย แล้วให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยเตรียมงบประมาณ 2,000 ล้านบาท ที่เตรียมไว้สำหรับการเยียวยาเกษตรกรในครั้งนี้ ส่วนเรื่องตลาดจีนที่เข้ามาในประเทศไม่ได้ ทางรัฐบาลก็จะพิจารณาให้เข้ามาตามมาตรการป้องกันโควิด-19 ซึ่งอาจจะพิจารณาให้เข้ามาในประเทศได้ 3 – 5 วัน ตามกรอบความปลอดภัย เพื่อให้เข้ามารับซื้อผลผลิตลำไย และผลผลิตทางการเกษตรของพี่น้องเกษตรกรได้

ภาพ-ข่าว สังคม

ผศ.อาคม ตันตระกูล ที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และทีมงาน ปชส.ของคณะแพทยศาสตร์ เป็นผู้แทน ศ.นพ.บรรณกิจ โลจนาภิวัฒน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ร่วมแสดงความยินดีกับหนังสือพิมพ์ไทยนิวส์ในโอกาสครบรอบย่างเข้าสู่ปีที่ 51 โดยมีนางอุบลนัดดา สุภาวรรณ ผู้อำนวยการ ให้การต้อนรับ ณ สำนักงานหนังสือพิมมพ์ไทยนิวส์ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2563

ภาพ-ข่าว สังคม

ที่หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ อ.เมืองจ.เชียงใหม่ นายวิรุฬ พรรณเทวี รอง ผวจ.เชียงใหม่ เป็นประธานเปิดการประชุมโครงการพัฒนาศักยภาพสตรีจังหวัดเชียงใหม่ ประจำปี 2563 โดยมีนางศรีพรรณ์ เขียวทอง ประธานคณะกรรมการพัฒนาสตรีจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวรายงาน

กองกำลังผาเมืองร่วมกับตำรวจปราบยาเสพติด จับกุม 4 ผู้ต้องหาขนยาบ้า 6 แสนเม็ด ในพื้นที่ อ.ฝาง จ. เชียงใหม่

6 ส.ค. 63 เจ้าหน้าที่ทหาร ร้อย.ม.3 ฉก.ม.4 กองกำลังผาเมือง ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดผ่านเข้ามาในพื้นที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ จึงได้ประสานการปฏิบัติกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปส.3 บช.ปส.จัดกำลังร่วมกันทำการลาดตระเวณเฝ้าตรวจและตั้งจุดตรวจสกัดกั้น ตามเส้นทางถนนหลวงหมายเลข 1249 อ.ฝาง – ดอยอ่างขาง บริเวณ บ้านแม่งอนน้อย ต.แม่งอน อ.ฝาง

จนกระทั่งเวลา 02.45 น ได้ตรวจพบรถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นรีโว่ สีดำ ทะเบียน ผจ 2179 เชียงราย มีโครงเหล็กบรรทุกของด้านหลัง ลักษณะต้องสงสัย จึงได้ส่งสัญญาณให้หยุดเพื่อขอตรวจสอบ ปรากฎว่าตรวจพบชาย จำนวน 4 คน ขับขี่และโดยสารมากับรถยนต์คันดังกล่าว ทราบชื่อคือ นายคาอู แสงคำ อายุ 18 ปี เป็นคนขับนายจะโบ ลอยย่า อายุ 48 ปี นายนิยม แสงคำ นายณัฐวุฒิ แซ่กล อายุ 15 ปี โดยทั้ง 4 คนมีภูมิลำเนาในหมู่บ้าน ห้วยทราย หมู่ 7 ต.ต้นผึ้ง อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง พร้อมทั้ง ตรวจพบกระสอบเป้บรรจุยาเสพติด จำนวน 4 เป้ ซุกซ่อนบริเวณที่พักเท้าห้องโดยสาร แค็ป จำนวน 3 เป้ และบริเวณที่พักเท้าเบาะนั่งโดยสารข้างคนขับ จำนวน 1 เป้ ทำการตรวจสอบเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า )จำนวนประมาณ 600,000 เม็ด จึงควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย พร้อมของกลาง มาทำการสอบสวน ณ บก.ปส.๓ บช.ปส. เพื่อขยายผลการจับกุมและดำเนินคดีคามกฏหมายต่อไป