รับฟังความเห็นประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการขยายเขตไฟฟ้าหมู่บ้านพัฒนาเพื่อความมั่นคงชายแดน จ.แม่ฮ่องสอน

6 ส.ค.63 นาย พิศิษฐ์ กิจบุญอนันต์ ปลัดจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นประธาน, นายเสกสรร เสริมพงศ์ รองผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เข้ารับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และประชาชน ในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แผนขยายเขตไฟฟ้าให้หมู่บ้านในโครงการหมู่บ้านพัฒนาเพื่อความมั่นคงพื้นที่ชายแดนอันเนื่องมาจากพระราชดำริจังหวัดแม่ฮ่องสอน

นายเสกสรร เสริมพงศ์ รองผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กล่าวว่า ทั้งนี้เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2543 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระมหากรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานแนวทางในการเสริมสร้างความมั่นคงตามแนวชายแดนให้แก่ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น โดยมีพระราโชบายที่จะพัฒนารวมทั้งยกระดับสภาพความเป็นอยู่ของราษฎรให้ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดความมั่นคงของหมู่บ้าน การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จึงได้ทำแผนงานขยายเขตไฟฟ้าให้หมู่บ้านในโครงการหมู่บ้านพัฒนาเพื่อความมั่นคงพื้นที่ชายแดนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดแม่ฮ่องสอนโดยมีระยะเวลาดำเนินแผนงาน 5 ปี (ระหว่าง พ.ศ. 2560-2564)ซึ่งแผนงานดังกล่าว มีพื้นที่ขยายเขตไฟฟ้าในเขตพื้นที่ อ.เมือง อ.ปาย และ อ.ปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน จำนวน 29 หมู่บ้าน11 เส้นทาง ระยะทางประมาณ 161 กิโลเมตร ซึ่งพาดผ่านพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ 1 ระยะทางประมาณ 125กิโลเมตร แต่เนื่องจาก แผนงานขยายเขตไฟฟ้าให้หมู่บ้านในโครงการหมู่บ้านพัฒนาเพื่อความมั่นคงพื้นที่ชายแดน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมีบางช่วงของแนวระบบจำหน่ายไฟฟ้าที่พาดผ่านพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ 1 ระยะทางประมาณ 125 กิโลเมตร ซึ่งเป็นโครงการที่อยู่ในข่ายต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ลงวันที่ 4 มกราคม 2562 เพื่อนำเสนอต่อสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินโครงการ

รองผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ยังได้กล่าวต่อไปอีกว่า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ฐานะเจ้าของโครงการได้ตระหนักถึงความสำคัญต่อการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม จึงมอบหมายให้บริษัท เอ็นริช คอนซัลแตนท์ จำกัด และบริษัท เอ็นไวร์ไซน์จำกัด เป็นผู้ศึกษาและจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ให้ครอบคลุมทั้งด้านทรัพยากรกายภาพ ชีวภาพ การใช้ประโยชน์ของมนุษย์ และคุณภาพชีวิต อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการและสอดคล้องตามแนวทางที่สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กำหนดไว้ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน ตั้งแต่เริ่มต้นศึกษาและดำเนินการโครงกา เพื่อชี้แจงเหตุผล ความเป็นมา วัตถุประสงค์และรายละเอียดโครงการ รวมทั้งขอบเขตการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ต่อทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องพร้อมรับฟังความคิดเห็นและข้อวิตกกังวลต่าง ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ ตัวแทนจากภาคส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถานพยาบาล องค์กรเอกชน ผู้นำภาคประชาสังคมและประชาชนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่โครงการ ได้แสดงความคิดเห็นในฐานะผู้มีส่วนได้เสียในพื้นที่ อันจะนำไปสู่การพัฒนาโครงการอย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อส่วนรวม

สำหรับการสำรวจประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ขั้นตอนในการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบ เพื่อขยายเขตไฟฟ้าให้หมู่บ้านในโครงการหมู่บ้านพัฒนาเพื่อความมั่นคงพื้นที่ชายแดนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน จะเป็นการรวบรวมข้อมูล สำรวจข้อมูลภาคสนาม การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยใช้ระยะเวลาสำรวจผลกระทบสิ่งแวดล้อม 15 เดือน โดยมีลักษณะโครงการเป็นการก่อสร้างระบบจำหน่ายไฟฟ้าขนาด 22 กิโลโวลต์ ปักเสาพาดสายไปกับเสาคอนกรีตชนิดเสาเดี่ยว เป็นเสาคอนกรีตอัดแรง มีทั้งหมด 6 ขั้นตอน ได้แก่ การสำรวจพื้นที่และตำแหน่งวางหมุด การก่อสร้างฐานราก การติดตั้งเสาไฟ การวางเสาผ่านทางโค้ง การปักเสาพาดสายไฟฟ้า และตรวจสอบความเรียบร้อย

เชียงใหม่ยังติดตั้งสะพานแบริ่งเชื่อมเส้นทางเชียงใหม่-เชียงรายไม่เสร็จ คาดวันศุกร์ ที่ 7 ส.ค.ถึงจะเปิดเส้นทางได้แนะช่วงนี้ให้ใช้ทางเลี่ยงเดินทางก่อน

5 ส.ค. 63 นายคมสัน สุวรรณอัมพา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า สถานการณ์จากพายุ “ซินลากู” เมื่อวันที่ 2 – 4 ส.ค. ที่มีฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำให้เส้นทางถนนสายเชียงใหม่-เชียงราย ถูกตัดขาด และต้องใช้เส้นทางเลี่ยง เมื่อวันที่ 4 ส.ค. ที่ผ่านมา ทางกรมทางหลวงได้เร่งติดตั้งสะพานแบริ่ง และทำการถมดินเพื่อให้รถขนาดเล็กสามารถสัญจรผ่านไปมาได้ในจุดที่ไม่เกิดความเสี่ยง ส่วนเรื่องการติดตั้งสะพานแบริ่ง พบว่าต้องดำเนินการในหลายจุดและต้องเสริมความแข็งแรงให้กับสะพานด้วย เพื่อเตรียมรับมือพายุเข้ามาอีก 1 ลูก และอยู่ในช่วงการติดตามว่าจะมีผลกระทบต่อประเทศไทยหรือไม่ แต่ทั้งนี้ก็ต้องเตรียมความพร้อมและการป้องกันไว้

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวต่อไปอีกว่า เบื้องต้นจากการประชุมแนวทางการแก้ไขเส้นทางวันนี้ ได้มีการปรับเปลี่ยนการติดตั้ง โดยสะพานแบริ่งย้ายตำแหน่งไปติดตั้งบริเวณสะพานตัวที่ 5 ซึ่งจะแล้วเสร็จในวันนี้ และตัวที่ 6 จะติดตั้งแล้วเสร็จวันที่ 6 ส.ค. ส่วนสะพานตัวที่ 3 และ 4 ได้ปรับแผนเทคอนกรีตทับหน้าบนสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กในเส้นทางหลักให้รถวิ่งได้เลย และจะเปิดให้รถขนาดเล็กหรือรถบรรทุกที่น้ำหนักไม่เกิน 20 ตันใช้ได้ในบ่ายวันศุกร์ที่ 7 ส.ค. 63 นี้ต่อไป ในห้วงระหว่างนี้ให้ใช้เส้นทางเลี่ยงไปก่อน แม้ว่าเส้นทางบางจุดรถเล็กสามารถวิ่งผ่านได้ในบางจุด แต่ก็ยังไม่สะดวก เพราะยังมีการก่อสร้างอยู่ จึงแนะนำให้ใช้ทางเลี่ยงแทนก่อน

แม่สะเรียง เปิดงานมหกรรมสินค้าเกษตรและสินค้าราคาถูกเพื่อประชาชน

ที่บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอแม่สะเรียง นายสังคม คัดเชียงแสน นายอำเภอแม่สะเรียง เป็นประธาน เปิดงานมหกรรมสินค้าเกษตรและสินค้าราคาถูก โดยมีพี่น้องเกษตรกรได้นำพืชผักผลไม้เกษตรอินทรีย์ สินค้าแปรรูป สินค้าโอทอป ของกินของใช้พื้นบ้าน และ สินค้าราคาถูก มาจัดจำหน่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือพี่น้องประชาชนภาคการเกษตร ให้ได้นำสินค้าผลผลิตมาจัดจำหน่ายอีกทั้งยังเป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับสินค้าของเกษตรกร เป็นการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร ผู้ผลิตในท้องถิ่น และ เพื่อให้ประชาชนกลุ่มผู้บริโภคได้มีทางเลือกในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพ ราคาถูกพร้อม จัดให้มีการประกวดผลผลิตทางการเกษตร การประกวดทำอาหารจากผลผลิตการเกษตร การประกวดผ้าสืบสานอนุรักษ์ศิลป์ผ้าถิ่นไทย ดำรงไว้ในแผ่นดิน เป็นต้น ซึ่งกิจกรรมจะมีตั้งแต่วันที่ 3 – 12 สิงหาคม 2563

ทั้งนี้การจัดกิจกรรมดังกล่าว เป็นไปตามนโยบายของทางกระทรวงมหาดไทยที่มอบหมายให้ทางกรมการปกครองจัดทำรายงานข้อมูลผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตราการป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ประกอบกับอำเภอแม่สะเรียง ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ ผลผลิตไม่สามารถจัดจำหน่ายได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ไขบรรเทาความเดือดร้อนอำเภอแม่สะเรียงจึงได้จัดโครงการนี้ขึ้นมา

นอภ.เชียงคำ ลงพื้นที่บ้านคะแนง จัดรถกระบะยกสูงรับ-ส่ง นักเรียน ไปกลับโรงเรียนก่อนช่วงนี้ เร่งซ่อมทางขาดให้เสร็จโดยเร็วที่สุด

จากกรณีพายุซินลากูพัดถล่มในหลายพื้นที่ของภาคเหนือจนเป็นเหตุให้ทางเบี่ยงข้ามน้ำลาวของบ้านคะแนง หมู่ม.10 ต.แม่ลาว อ.เชียงคำ จ.พะเยา ขาดจนทำให้ผู้ปกครองที่ส่งบุตรหลานไป โรงเรียนบ้านน้ำมิน ต้องอุ้มข้ามน้ำกันแบบยากลำบากและมีครูของช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา ล่าสุดทางด้านนายกนก ศรีวิชัยนันท์ นายอำเภอเชียงคำ พร้อมด้วยนายรุ่งทะวี แก้วคำปา ปลัดอำเภอและกำลัง อส.อีก ส่วนหนึ่ง ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบความเสียพบรถแบคโฮของทีมงานผู้รับเหมาก่อสร้างสะพานใหม่นั้นกำลังซ่อมแซมทางเบี่ยงอยู่ และน้ำในลำน้ำลาวก็เริ่มลดลงอย่างต่อเนื่องจนรถยนต์และรถจักรยานยนต์ขับข้ามผ่านได้ตามจุดที่ซ่อมทางเบี่ยง

โดยนายกนก กล่าวว่า สำหรับพื้นที่บ้านคะแนง ตรงจุดที่ทางเบี่ยงขาดนั้นก็เนื่องจากว่าตอนที่มีพายุซินลากูพัดผ่านเข้ามาจนทำให้ฝนตกหนักตลอดระยะเวลา 2-3 วัน จนน้ำป่าได้พัดท่วมทำลายทางเบี่ยงจนขาด ซึ่งเป็นเหตุให้ชาวบ้านในพื้นที่ทั้งบ้านน้ำมินและบ้านคะแนง ไม่สามารถไปมาหาสู่กันได้โดยเฉพาะเด็กนักเรียนซึ่งต้องไปเรียนอย่างยากลำบาก ทั้งนี้ตนเองได้ขอความร่วมมือให้ผู้ใหญ่บ้านคะแนง และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านได้จัดเวรยามขอรถยนต์ที่เป็นแบบยกสูงและขับข้ามผ่านลำน้ำลาวที่ลดในช่วงนี้ให้สามารถพาเด็ก ๆ นักเรียนข้ามทั้งไปและกลับได้จนกว่าทางเบี่ยงจะซ่อมเสร็จและมีการเริ่มก่อสร้างสะพานต่อ นอกจากนี้ยังได้ประสานไปยัง ชรบ.ของหมู่บ้านให้มาอำนวยความสะดวกในช่วงที่มีการรับส่งเด็กข้ามผ่านลำน้ำด้วย เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

ด้านนายณัฐฐศรัณฐ์ พรหมเผ่า ผอ.ร.ร.บ้านน้ำมิน กล่าวเสริมว่า หลังจากที่นายอำเภอเชียงคำลงพื้นที่ในบ่ายวันนี้นั้นก็ได้เห็นแล้วว่าทางตัวท่านมีความห่วงใยต่อชาวบ้านในพื้นที่จริง ๆ เพราะบ้านคะแนงเป็นหมู่บ้านท้ายสุดของ ต.แม่ลาว ซึ่งมีทางเข้าออกได้ทางเดียวเท่านั้น ทั้งนี้สะพานใหม่ที่สร้างนั้นก็ยังสร้างไม่แล้วเสร็จดี ด้วยช่วงนี้มีน้ำป่าซัดมาตลอดและฝนตกหนักจนทำให้การก่อสร้างต้องหยุดชะงักไปบ้าง แต่หลังจากนี้เมื่อไม่มีพายุเข้ามาทางทีมผู้รับเหมาก็น่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างต่อได้แล้ว

เร่งตั้งสะพานแบริ่งคาดเย็นนี้ขนคนติดค้างถนนเชียงใหม-เชียงราย ออกได้หมด พรุ่งนี้เปิดถนนได้ เชียงใหม่ สรุป 11 อำเภอ 21 ตำบล 42 หมู่บ้านได้รับผลกระทบเร่งเยียวยาเต็มที่

วันที่ 4 ส.ค.นายสราวุธ ทรงวิไล อธิบดีกรมทางหลวง ลงพื้นที่ตรวจสอบสภาพความเสียหายทางขาด บริเวณจุดก่อสร้างสะพาน ทางหลวง 118 กิโลเมตรที่ 32 บ้านแม่หวาน ต.ป่าเมี่ยง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ที่ถูกน้ำป่าพัดจนทางเบี่ยงขาดเสียหาย เปิดเผยว่าเหตุการณ์น้ำป่าครั้งนี้ ทำให้ถนนเชียงใหม่ – เชียงราย ขาดเสียหายทั้งหมด 6 จุด โดยเฉพาะจุดนี้ ทางขาดค่อนข้างห่าง โดยคาดว่าพรุ่งนี้ก่อนเที่ยงจะวางสะพานชั่วคราวเสร็จ ส่วนอีกหนึ่งจุด บริเวณกิโลเมตรที่ 40 คาดว่าจะแก้ไขซ่อมแซมและเปิดใช้เส้นทางได้ประมาณ 15.00 น. วันนี้ ซึ่งจะทำให้ประชาชนที่ตกค้างอีกประมาณ 40 คน ผ่านจุดนี้ออกไปทางจังหวัดเชียงรายได้ ยืนยันเย็นนี้ประชาชนจะออกไปได้ทั้งหมด และในวันพรุ่งนี้จะเปิดใช้เส้นทางทั้งหมดได้ และแนวทางการแก้ปัญหาระยะยาวหลังจากนี้ เนื่องจากจุดก่อสร้างสะพานกิโลเมตรที่ 32 และ กิโลเมตรที่ 40 มีช่องน้ำใหญ่ กรมทางหลวงจะวางสะพานเหล็กไว้ทั้งสองจุด และ กำชับให้แขวงทางหลวงเชียงใหม่ที่ 2 หาทางป้องกัน เพื่อไม่ได้เส้นทางถูกตัดขาดอีก ก่อนหน้านี้โครงการก่อสร้างถนนในช่วงนี้มีปัญหาเรื่องการก่อสร้าง ทั้ง กฎหมายพื้นที่ป่า จึงทำให้ให้ล่าช้า แต่ล่าสุด รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม ได้กำชับให้เร่งก่อสร้างให้แล้วเสร็จ ปัจจุบันงานก่อสร้างคืบหน้า สะพานแม่หวานและสะพานทุกตัวไม่เกินสองเดือนจะต้องเสร็จ หากเสร็จแล้วก็จะไม่เกิดปัญหาทางขาดจากน้ำป่าอีก เพราะที่ผ่านมาปัญหาเกิดขึ้นกับทางเบี่ยง และ การก่อสร้างถนนเส้นนี้จะเสร็จสมบูรณ์ประมาณเดือนเมษายน 2564

ส่วนที่ห้องประชุม 4 ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ว่าที่ร้อยตรี ณัฐพงค์ ฐิตวิกรานต์ หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่าภาวะฝนตกหนักในพื้นที่เชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 2 – 3 ส.ค. 63 ส่งผลกระทบและเกิดความเสียหายทั้งหมด 11 อำเภอ 21 ตำบล 42 หมู่บ้าน ประกอบด้วย อ.ดอยสะเก็ด, สันทราย, ฝาง, ไชยปราการ, พร้าว, สะเมิง, แม่แจ่ม, แม่อาย, เวียงแหง, เชียงดาว และแม่แตง มีพื้นที่การเกษตร 309 ไร่ บ่อปลา 2 บ่อ ปศุสัตว์ สะพานพังเสียหาย 3 แห่ง คอสะพาน 3 แห่ง พนังกั้นน้ำ 2 แห่ง ฝายประชาอาสา 1 แห่งโดยทาง ปภ.เชียงใหม่ ได้ประสานเจ้าหน้าที่แขวงทางหลวงเชียงใหม่ ในการติดตั้งสะพานแบริ่ง เพื่อให้ประชาชนสามารถเดินทางได้ ตั้งแต่ช่วงเย็นของวันที่ 3 ส.ค. ที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่แขวงทางหลวงเชียงใหม่ ก็ได้ดำเนินการลำเลียงสะพานเบริ่งลงจากรถบรรทุกเพื่อนำมาติดตั้ง ถนนบริเวณ กม.ที่ 32 ทางหลวงหมายเลข 118 ถนนสายเชียงใหม่-เชียงราย ในพื้นที่บ้านแม่หวาน ตำบลป่าเหมี้ยง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งถูกน้ำป่ากัดเซาะจนถนนขาด ตั้งแต่ช่วงค่ำของวันที่ 2 สิงหาคม โดยคาดว่าจะติดตั้งแล้วเสร็จในช่วงค่ำวันนี้ ส่วนบริเวณ กม.ที่ 39 ซึ่งเป็นอีกจุดที่ถนนถูกตัดขาด เจ้าหน้าที่ได้ซ่อมแซมโดยการวางท่อระบายน้ำและถมดินทับ จนรถขนาดเล็กสามารถสัญจรผ่านได้แล้ว ต้องยอมรับว่าช่วงที่ผ่านมาฝนตกหนักถึง 240 มม. ซึ่งปกติเพียงแค่ 100 มม. ก็เกิดการท่วมขังได้แล้ว เมื่อเจอปริมาณฝนมาก จึงส่งผลกระทบกับจุดที่ยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ ทำให้ถนนและสะพานขาด หลังจากนี้จากการคาดการณ์ของศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ พบว่าปริมาณฝนจะน้อยลง แต่ก็ยังคงมีตกลงมาบ้าง หากฝนทิ้งช่วงหรือตกน้อยกว่านี้ และระดับน้ำลดลงก็คาดว่าน่าจะซ่อมแซมให้ทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติได้ในเร็วๆนี้ สำหรับประชาชนที่ตกค้างไม่สามารถเดินทางออกมาหลังจากเกิดน้ำท่วมในพื้นที่ได้ ในช่วงแรกมีประมาณ 60 กว่าคน แต่มีบางส่วนได้ใช้เส้นทางอ้อมเดินลงมา จึงทำให้เหลือเพียง 36 คน เจ้าหน้าที่ได้เร่งเข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งเรื่องอาหาร ยารักษาโรค และการจัดเตรียมที่พักเพื่อรองรับไว้ โดยมีทางเจ้าหน้าที่อำเภอ ฝ่ายปกครอง เทศบาล อบต. หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงชาวบ้านในพื้นที่เข้าไปช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง

ส่วนนายคมสัน สุวรรณอัมพา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า สถานการณ์ในพื้นที่ทั้ง 2 จุดเริ่มคลี่คลายแล้ว ส่วนประชาชนและนักท่องเที่ยวที่ติดอยู่ระหว่างถนนที่ขาดกว่า 200 คน ตั้งแต่ช่วงค่ำวันที่ 2 สิงหาคม โดยที่ กม. 39 เจ้าหน้าที่ได้จัดให้พักที่โรงเรียนบ้านปางแฟน ล่าสุดสามารถเดินทางออกจากพื้นที่ได้แล้วบางส่วน คงเหลือตกค้างอยู่อีกประมาณ 20 คน ส่วนผู้ที่ติดค้างอยู่บริเวณ กม. 32 ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้จัดให้พักที่อุทยานแม่ตะไคร้ ยังเหลืออยู่อีกจำนวน 36 คน และรถยนต์ประมาณ 20 คัน คาดว่าหลังติดตั้งสะพานเบริ่งเสร็จ ประชาชนและยานพาหนะจะสามารถเดินทางออกจากพื้นที่ได้ ขณะที่นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้ สั่งให้จัดตั้งโรงครัวพระราชทาน เพื่อประกอบอาหารเลี้ยงผู้ประสบภัยในพื้นที่ โดยมีทหาร จาก พล.ร.7 และ ป.พัน 7 เข้ามาช่วยลำเลียงกล่องอาหารโดยใช้รถแบคโฮ และรอก ไปมอบให้ประชาชนที่ตกค้างทั้ง 2 จุดได้รับประทานด้วย

ต่อมาเวลา 14.30 น.วันที่ 4 ส.ค. 63 นายคมสัน สุวรรณอัมพา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า สะพานแห่งที่ 2 กม.32+940 อยู่ในระหว่างติดตั้งสะพานแบรี่ คาด 20.00 น.วันนี้จะแล้วเสร็จพร้อมเปิดการจราจรในวันพรุ่งนี้ ขณะที่ทางเบี่ยงบริเณสะพานแห่งที่ 3, 4, 5 ขาเข้าเมืองเชียงใหม่ และทางเบี่ยงบริเณสะพานแห่งที่ 6 กม.39+900 เขตจังหวัดเชียงใหม่ ได้ทำการปรับผิวดินลูกรังให้รถเล็กสัญจรชั่วคราวแล้วเสร็จ

ปัจจุบันไม่มีผู้ติดค้างและยานพาหนะอยู่ในพื้นที่แล้ว โดยได้ใช้เส้นทางเทพเสด็จ และปางแฟน เดินทางเข้าเชียงใหม่และลำปางได้แล้วทั้งหมด ขณะเดียวกัน โรงครัวพระราชทานยังคงสนับสนุนอาหารประกอบเลี้ยงให้กับเจ้าหน้าที่ชุดติดตั้งสะพานแบริ่งจนกว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ อย่างไรก็ดีหากทางเบี่ยงสะพานอีก 2 แห่งในเขตจังหวัดเชียงรายแล้วเสร็จ อาจเปิดเส้นทางสาย 118 ให้รถเล็กผ่านได้เฉพาะในเวลากลางวันหรือฉุกเฉินเท่านั้นในช่วงแรกนี้ ซึ่งอธิบดีกรมทางหลวงได้เข้าพื้นที่พร้อมทั้งสั่งการให้สำรวจทุกสะพานทั้งในเขตจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายเพื่อพิจารณาจัดวางสะพานแบริ่งชั่วคราวเสริมในตำแหน่งที่เสี่ยงน้ำพัดขาดต่อไปแล้ว

 

รมช. เกษตรและสหกรณ์ เปิดโครงการจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กลุ่มอาชีพสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ผลักดันอาชีพสร้างรายได้

ที่ศูนย์ประชุมเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดเชียงใหม่ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดโครงการจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กลุ่มอาชีพสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี และกิจกรรมปลูกเพื่อป(ล)อด สู่อ้อมกอดของแผ่นดิน เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2563 เพื่อเทิดพระเกียรติและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่มีต่อปวงชนชาวไทย พร้อมมอบโล่รางวัลและเกียรติบัตร เชิดชูเกียรติแก่สตรีจำนวน 62 รางวัล โดยมีนายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยนายวิรุฬ พรรณเทวี นายรัฐพล นราดิศร รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นำผู้นำสตรีทุกภาคส่วนของจังหวัดเชียงใหม่ จาก 25 อำเภอ เข้ารวมกิจกรรมกว่า 800 คน

จากนั้น ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เดินทางมายังบริเวณตลาดประชารัฐศูนย์ราชการจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเยี่ยมเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ และให้กำลังใจกลุ่มอาชีพสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีอีกด้วย ซึ่งโครงการจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กลุ่มอาชีพสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมกลุ่มอาชีพสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีที่ได้รับงบประมาณสนับสนุน ประเภทเงินทุนหมุนเวียนในการพัฒนาอาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ เสริมสร้างความเข้มแข็งทางด้านเศรษฐกิจให้แก่สตรีและองค์กรสตรี ระหว่างวันที่ 3 – 4 สิงหาคม 2563

“พิษซินลากู “ถล่มเมืองสามหมอก สะพานบ้านเมืองแพมขาดชาวบ้านเดือดร้อนหนัก

แม่ฮ่องสอนกระทบหนัก พิษสงของซินลากู ทำให้เกิดน้ำท่วมหนักในหลายพื้นที่ สะพานที่บ้านเมืองแพม ต.ถ้ำลอด อ.ปางมะผ้า ขาดไม่สามารถสัญจรผ่านไปมาได้ ขณะที่ระดับแม่น้ำในสายต่าง ๆ เพิ่มระดับขึ้นอย่างรวดเร็วและไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่การเกษตร

3 สิงหาคม 2563 นายจ่าแหม ลาภวนารักษ์ นายกองค์บริหารส่วนตำบลถ้ำลอด นายเสริมศักดิ์ มงคลชัยวารี กำนันตำบลถ้ำลอด อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอนเปิดเผยว่า เมื่อคืนวันที่ 2 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา ได้เกิดฝนตกหนักในพื้นที่ ตำบลถ้ำลอด และตำบลปางมะผ้า วัดปริมาณน้ำฝนได้ถึง 190 มิลลิเมตร ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากในเขตพื้นที่ตำบลปางมะผ้าพื้นที่การเกษตรเสียหาย น้ำท่วมขังที่นาของราษฎร รวมไปถึงคอสะพานบ้านเมืองแพม หมู่ 5 ต.ถ้ำลอด อ.ปางมะผ้า ได้รับความเสียหาย ถูกน้ำป่ากัดเซาะจนทำให้ยานพาหนะทุกชนิด ไม่สามารถวิ่งผ่านไปมาได้ นอกจากนั้น ตลิ่งในหมู่บ้านและที่นา ในหมู่บ้านเมืองแพม พังเสียหาย ถนนดินชำรุด และดินต้นไม้สไลด์ถมถนนทางเข้าหมู่บ้านแม่ละนา และบ้านน้ำฮูผาเสื่อ หมู่ 4 ต.นาปู่ป้อม เบื้องต้นนายชรินทร์ จรรยาไพจิตรกำนันตำบลปางมะผ้าได้นำราษฎรตัดไม้ขวางถนนขุดดินออก รถยนต์ไม่สามารถผ่านไปมาได้ และรถจักรยานยนต์ เท่านั้นที่สามารถผ่านเข้าออกได้ขณะนี้ กำลังอยู่ระหว่างการประสานกับ อบต.ปางมะผ้าจัดหารถไถมาปรับเกรดถนนเพื่อให้รถยนต์สามารถผ่านเข้าออกได้

นอกจากพื้นที่อ.ปางมะผ้า และ ที่ อ.ปาย ระดับน้ำในแม่น้ำปาย เริ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และหลากเข้าท่วมพื้นที่ทางการเกษตรของราษฎรเป็นจำนวนมาก ส่วนที่ถ้ำปลา แหล่งท่องเที่ยวในอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน ระดับน้ำในลำน้ำแม่สะงี ได้เพิ่มระดับสูงขึ้นเช่นกัน นายบุญยิ่ง คีรีสัตยานนท์ ใหญ่บ้านท่าโป่งแดง ต.ผาบ่อง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า ระดับน้ำในแม่น้ำปาย ที่ท่าเรือบ้านท่าโป่งแดง ได้เพิ่มระดับสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มที่จะไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่การเกษตรและบ้านเรือนของประชาชน ในเบื้องต้นได้แจ้งให้กับราษฎรที่อาศัยอยู่ติดแม่น้ำปาย ให้เคลื่อนย้ายสิ่งของสำคัญขึ้นไว้ในที่สูงแล้ว

นอภ.แม่สะเรียง ชี้แจง การจัดงานหน้าที่ว่าการอำเภอแก้วิกฤตเศรษฐกิจโควิด ช่วยเหลือเกษตรกรและให้ราษฏรได้ซื้อสินค้าราคาถูก เป็นไปตามนโยบายกระทรวงมหาดไทย

นายสังคม คัดเชียงแสน นายอำเภอแม่สะเรียง ได้ชี้แจงผ่านสื่อมวลชนในพื้นที่ เพื่อทำความเข้าใจกับพ่อค้า ประชาชนในพื้นที่ อ.แม่สะเรียง ภายหลังเปิดให้มีการจัดงานมหกรรมสินค้าเกษตรและสินค้าราคาถูก ขึ้น ในวันที่ 3 – 12 สิงหาคม 2563 ที่บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอแม่สะเรียง โดยกำหนดให้มีการเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 4 สิงหาคม 2563 ซึ่งมีกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าในพื้นที่หวั่นจะส่งผลกระทบเหมือนในอดีตที่ผ่านมา

นายสังคม ระบุว่า การจัดงาน มหกรรมสินค้าเกษตรและสินค้าราคาถูก ในครั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายของกระทรวงมหาดไทยที่มอบหมายให้กรมการปกครองจัดทำรายงานข้อมูลผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตราการป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทั้งนี้ อำเภอแม่สะเรียง ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ ผลผลิตไม่สามารถจัดจำหน่ายได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ไขบรรเทาความเดือดร้อนอำเภอแม่สะเรียงจึงได้จัดโครงการตามนโยบายฯ เพื่อจัดจำหน่ายสินค้าทางภาคเกษตร และ สินค้าราคาถูก เพื่อให้ราษฏรได้นำสินค้าเกษตรมาวางจำหน่วย อาทิเช่น สินค้าเกษตรตามฤดูกาล สินค้าแปรรูป สินค้าโอทอป สินค้าเกษตรอินทรีย์ และจับจ่ายซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ของกิน ของใช้ ในราคาที่ถูก ทั้งนี้การจัดมหกรรมสินค้าเกษตรและสินค้าราคาถูก มีเป้าหมาย เพื่อ ช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ที่ได้รับความเดือนร้อน ให้ประชาชนได้มีทางเลือกในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพราคาถูก ประชาชนในพื้นที่ได้ประโยชน์อย่างแน่นอน นายอำเภอแม่สะเรียงกล่าวในที่สุด

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ได้มีการร้องขอให้มีการยุติการขายสินค้าราคาถูกหน้าที่ว่าการอำเภอ มาแล้วครั้งหนึ่งโดยกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าที่ได้รับผลกระทบได้รวมตัวกันเรียกร้อง โดย นายสุวพงศ์ กิติภัทย์พิบูลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้ลงพื้นที่อำเภอแม่สะเรียง เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2562 เพื่อร่วมรับฟัง และ แก้ไขปัญหาความเดือดร้อน ของ ผู้ประกอบการ พ่อค้าแม่ค้า และ ประชาชนชาวอำเภอแม่สะเรียง พร้อม ยุติปัญหา ไม่อนุญาตให้คาราวานสินค้าใช้พื้นที่ราชการ (หน้าอำเภอ)ขายของมาแล้วครั้งหนึ่ง จนกระทั่งมาเกิดโครงการนี้ขึ้นอีกครั้ง

กองกำลังผาเมือง จัดกำลังลาดตระเวนเฝ้าตรวจสกัดกั้น แรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย จำนวน 18 ราย ในพื้นที่ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย

กองกำลังผาเมือง โดย หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อย ตามลำน้ำโขงเขตเชียงราย ได้รับแจ้งข่าวจากประชาชน ว่าพบ กลุ่มคนพร้อมกระเป๋าสัมภาระ บริเวณหลังร้านอาหารครัวไทย จึงได้จัดกำลังชุดปฏิบัติการข่าว ชุดลาดตระเวน เข้าทำการตรวจสอบ โดยประสาน และบรูณาการร่วมกับ หน่วยงานในพื้นที่ ตรวจสอบและสามารถจับกุมบุคคลดังกล่าวได้ จำนวน 18 คน โดยกล่าวหาว่าเป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามา ในราชอาณาจักร โดยไม่ได้รับอนุญาตไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อหรือผู้ว่าจังหวัด ตามมาตรา 35 (1) พ.ร.บ. ควบคุมโรค พ.ศ. 2558 หน่วยจึงได้คุมตัวผู้ต้องหาส่ง จนท.ตม.เชียงแสนฯ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป

กลุ่มชาติพันธุ์ร่วมกันจัดมหกรรมไร่หมุนเวียนและการสถาปนาพื้นที่วัฒนธรรมพิเศษจังหวัดแม่ฮ่องสอน ครบรอบ 10 ปี

1 ส.ค.63 ที่ห้องประชุมสหกรณ์ออมทรัพย์ครูแม่ฮ่องสอน อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน นายนพดล พลเสน ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการจัดโครงการมหกรรมไร่หมุนเวียนและการสถาปนาพื้นที่วัฒนธรรมพิเศษจังหวัดแม่ฮ่องสอน ครบรอบ 10 ปี ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 ซึ่งจัดขึ้นโดย มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือร่วมกับเครือข่ายองค์กรชุมชนจัดการทรัพยากรลุ่มน้ำจังหวัดแม่ฮ่องสอน และกลุ่มชาติพันธุ์ภาคเหนือ และชนเผ่ากะเหรี่ยงจากจังหวัดต่าง ๆ ในภาคเหนือ และจังหวัดเพชรบุรี ส่วนราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ,องค์การบริหารส่วนจังหวัดแม่ฮ่องสอน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดแม่ฮองสอน มีผู้เข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 450 คน โดยมี นายสุวพงศ์ กิติภัทย์พิบูลย์ ผวจ.แม่อ่องสอน , นายปัญญา จีนาคำ สส.แม่ฮ่องสอน พรรคพลังประชารัฐ ให้การต้อนรับ

โดยกิจกรรมดังกล่าวที่จัดขึ้น เนื่องเมื่อวันที่ 3 ส.ค.53 หรือ 10 ปีที่แล้ว คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวนโยบายและหลักปฏิบัติในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ตามที่กระทรวงวัฒนธารรมเสนอ เพื่อรณรงค์ผลักดันการประกาศพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษ ฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงและชาติพันธุ์อื่น ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ให้เป็นพื้นที่ต้นแบบทั้งจังหวัด พร้อมกานำเสอนรูปธรรมการจัดการในชุมชน ด้านการศึกษา การจัดการทรัพยากร วัฒนธารรม สถานะและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ สรุปบทเรียนการขับเคลื่อนพื้นที่ทางวัฒนธรรม ปัญหาและอุปสรรคที่เกิดจากการดำเนินการในช่วงที่ผ่าน รณรงค์ให้มติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวเป็นที่รับทราบต่อสาธารณะ และผลักกันให้มีมาตรการปกป้องและคุ้มครองวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ พร้อมนำเสนอปัญหาและอุปสรรคไปสู่การแก้ไขเชิงนโยบาย ตลอดจนผลักดันฟื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษ ฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงเป็นพื้นที่ต้นแบบทั้งจังหวัด

นายอุดม ก่อนแสงวิจิตร นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่กิ๊ อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน / ประธานคณะกรรมการเครือข่ายการจัดการทรัพยากรธรรมชาติจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้นำกลุ่มชาติพันธุ์ อ่านปฏิญญาแม่ฮ่องสอน ว่าด้วยการสืบทอดภูมิปัญญาระบบไร่หมุนเวียนและการจัดการทรัพยากรโดยชุมชน ว่า พวกเราขอยืนยันว่าจะยังดำรงไว้ซึ่งความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ความเป็นชาติพันธุ์ ไร่หมุนเวียนเป็นการใช้วิถีชีวิตร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน และขอเรียกร้องให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 53 ว่าด้วยแนวนโยบายและหลักปฏิบัติใตการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง โดยการเพิกถอนฟื้นที่ป่าของรัฐออกจากชุมชนดั้งเดิมที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว การสร้างความเข้าใจเรื่องไร่หมุนเวียน การยุติการคุกคาม จับกุม ดำเนินคดี ยึดพื้นที่ชุมชนชาวกะเหรี่ยง การผลักดันให้มีการประกาศพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษ และการผลักดันให้ไร่หมุนเวียนได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมต่อไป

จากนั้นได้มีกลุ่มเครือข่าย 3 องค์กร ได้ยื่นหนังสือ ถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผ่านผู้ช่วยรัฐมนตรี ประกอบด้วย นายอุดม ก่อนแสงวิจิตร นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่กิ๊ อ.ขุนยวม จ.แม่อ่องสอน ประธานคณะกรรมการเครือข่ายการจัดการทรัพยากรธรรมชาติจังหวัดแม่ฮ่องสอน ขอให้มีหนังสือสั่งการอย่างเป็นทางการให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบทำการแก้ไขปรับปรุงแนวเขตรอบแปลงที่ดินบนแผนที่ให้ตรงกับข้อเท็จจริงโดยดำเนินการร่วมกับผู้นำชุมชนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้นในอนาคต , ให้พิจารณาขยายกำหนดระยะเวลาสำรวจการครอบครองที่ดินจาก 240 วัน ออกไป เพื่อให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติมีอำนาจสำรวจหรือแก้ไขความผิดพลาดได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย และการพิจารณาของคณะกรรมการเพื่อสำรวจการครอบครองทีดินให้ครอบคลุมถึงพื้นที่ของบุคคลที่ยังไม่ได้รับสัญญาติไทยด้วย

นายสะท้าน ชีววิชัยพงศ์ เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำยวม เงา เมยและ สาละวิน ขอคัดค้านโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล ในเขตพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนและจังหวัดตาก เนื่องจากชุมชนเกรงว่าแนวคิดโครงการผันน้ำสาละวินลงสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาของกรมชลประทานจะเกิดการสูญเสียที่ดินทำกินและน้ำท่วมที่อยู่อาศัยที่ดินทำกิน

นายพงศ์ศักดิ์ ต้นน้ำเพชร ตัวแทนชุมชนบ้านบางกลอย ต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ได้ยื่นหนังสือขอให้เร่งรัดดำเนินการพิสูจน์สิทธิชาวบ้าน บ้านบางกลอยบนหรือใจแผ่นดินที่เป็นชุมชนดั้งเดิมตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ให้ได้รับสิทธิกลับไปยังพื้นที่บรรพบุรุษเดิม ขอให้มีการเพิกถอนการดำเนินคดีต่อชาวบ้านทั้ง 4 ราย โดยมีเอกสารหลักฐานยืนยัน