“ม่อนแจ่มต้องจบ” ภายใน3เดือน รื้อ 29 รีสอร์ทของนายทุนและ 84 แห่งของชาวบ้าน ฟื้นฟูปรับสภาพเป็นพื้นที่การเกษตรตามวัตถุประสงค์โครงการหลวง

นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงานจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่ ชุดพยัคฆ์ไพร เจ้าหน้่าทีฝ่ายปกครอง ตำรวจ ได้เดินทางไปตรวจสอบพื้นที่ดอยเดอยม่อนแจ่ม แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังในอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อดูความคืบหน้าการดำเนินการฟื้นฟูสภาพดอยม่อนแจ่ม ในพื้นที่โครงการหลวง ที่มีการบุกรุกแผ้วถางก่อสร้างรีสอร์ทเปิดรับนักท่องเที่ยวกระทั่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีคำสั่งให้รื้อถอนเพราะเป็นการบุรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ

นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่าการมาประชุมติดตามความคืบหน้าในวันนี้ได้ข้อสรุปว่าพื้นที่ดอยม่อนแจ่มในส่วนโครงการหลวงหนองหอย มีการก่อสร้างรีสอร์ทจำนวน 113 แห่งซึ่งผิดกฏหมายทั้งหมด โดยแยกเป็น 29 แห่งเป็นนายทุนนอมินีทั้งต่างชาติและคนไทยเข้ามาดำเนินการ ส่วนอีก 84 แห่งพบว่าเป็นคนพื้นที่ดำเนินการที่มีการก่อสร้างเกินเลยจากข้อกำหนดของโครงการหลวง ซึ่งการดำเนินการทั้ง 29 แห่งนี้จะต้องรื้อถอนทั้งหมดและดำเนินคดีตามกฏหมายอย่างเด็ดขาด

ส่วนอีก 84 รายนั้นจะเรียกมาพูดคุยและให้รื้อถอนเองหรือให้ป่าไม้รื้อถอนให้ เพื่อให้กลับมาเป็นสภาพพื้นที่เกษตรกรรม และโฮมสเตย์ ตามที่โครงการหลวงกำหนด ซึ่งทุกอย่างเราจะเร่งดำเนินการเชื่อว่าภายใน 3 เดือนทุกอย่างจะแล้วเสร็จ ส่วนบ้านพักรีสอร์ทที่ตอนนี้มีการรีวิว เชิญชวนนักท่องเที่ยวขึ้นมาพัก เราก็จะมีการดำเนินการตามกฏหมาย เพราะตอนนี้ป่าไม้มีคำสั่งห้ามเปิดกิจการอยู่ แม้ผู้ประกอบกิจการบางราย ต่อสู้ทางกฏหมายโดยอ้างคำสั่งคสช. ตนอยากเรียนตรงนี้ว่าคำสั่งคสช. นั้นใช้สำหรับพื้นที่ก่อสร้างรีสอร์ท ในพื้นที่ตัวเอง แต่พื้นที่นี้เป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่โครงการหลวง คำสั่งคสช. ไม่มีผลกับพื้นที่แห่งนี้

รพ.เชียงคำ จ.พะเยา ทำพิธีเปิดอาคารผู้ป่วยนอกแห่งใหม่ พร้อมรับมือผู้มาใช้บริการด้านสาธารณะสุข 4 อำเภอ

นายแพทย์ภราดร มงคลจาตุรงค์ ผอ.รพ.เชียงคำ ได้ทำพิธีเปิดอาคารผู้ป่วยนอกแห่งใหม่ขึ้น หลังใช้เวลาในการก่อสร้างกว่า 3 ปี จนแล้วเสร็จ โดยได้เชิญนายแพทย์ธงชัย เลิศวิลัยรัตนพงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 1 มาเป็นประธานในพิธีเปิดอาคารในครั้งนี้ ซึ่งได้มีนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.พะเยา เขต 2 และเหล่าข้าราชการในพื้นที่ของ อ.เชียงคำรวมทั้งชาวบ้านเข้าร่วมพิธีเปิดในครั้งนี้กันอย่างล้มหลาม

โดยนายแพทย์ภราดร กล่าวว่า สำหรับการเปิดอาคารผู้ป่วยนอกแห่งใหม่นี้ก็เพื่อที่จะขยายการให้บริการแก่ประชาชนและผู้ป่วยที่เข้ามาสู่ รพ.เชียงคำแห่งนี้ โดยอาคารหลังนี้ใช้งบประมาณจากพี่น้องประชาชนชาว อ.เชียงคำ ทั้งสิ้น 104 ล้านบาท พร้อมทั้งได้ทำพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 25 เม.ย.61 ที่ผ่านมา หลังจากนั้นก็ได้เริ่มทำการก่อสร้างมาเรื่อย ๆ จนแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 27 มี.ค.63 สร้างความดีใจให้กับเหล่าคณะแพทย์ของ รพ.เชียงคำเป็นอย่างมาก เพราะอาคารหลังเดิมนั้นจากภาพที่ตนเคยเห็นค่อนข้างที่จะเล็กและคับแคบเป็นอย่างมาก

ซึ่งผู้ป่วยที่มาใช้บริการนั้นไม่ได้มีแค่เฉพาะในพื้นที่ อ.เชียงคำเท่านั้น ยังมีผู้ป่วยจาก อ.จุน อ.ปง อ.เชียงม่วนและอ.ภูซาง ที่เข้ามาใช้บริการกันอยู่บ่อย ๆ นอกจากนี้ยังมีพี่น้องจาก สปป.ลาว เดินทางมาใช้บริการของ รพ.เชียงคำด้วยเช่นกัน จึงทำให้พื้นที่ให้บริการนั้นไม่เพียงพอ จนในที่สุดในวันนี้รพ.เชียงคำของเราก็ได้มีอาคารหลังใหม่ไว้รองรับผู้ป่วยที่จะหลั่งไหลมาใช้บริการกันอย่างไม่ขาดสาย

และถึงอย่างนั้นตนมองว่าการที่ผู้ป่วยหลั่งไหลมานั้นก็ไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่ แต่ที่จะดีคือชาวบ้านประชาชนไม่มีโรคมารุมเร้ากับตัวเองเลยจะดีที่สุด และควรรักษาร่างกายให้ห่างไกลจากโรคต่าง ๆ จะดีกว่าจึงจะทำให้ภาพของคนป่วยนั้นน้อยลงและพบว่ามีชาวบ้านที่มีสุขภาพดีมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นในปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงในเรื่องของการเจ็บป่วยที่เข้ามาหาตัวเองได้ ทั้งนี้รพ.เชียงคำจึงเป็นสถานที่ที่จะพร้อมรองรับผู้ป่วยที่จะเข้ามาใช้บริการให้อย่างเต็มที่

รวบแล้วหนุ่มใหญ่ฉกของพ่อค้าแม่ค้าในตลาดเมืองใหม่ อ้างตกงานช่วงโควิด19 จึงหลงผิดขโมยของไปขายหาเงินกินข้าว

พ.ต.อ.กิตติพงษ์ เพ็ชรมุณี ผกก.สภ.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ พร้อมชุดสืบสวน จับกุม ขี่นายกิตติพงษ์ (ขอสงนนามสกุล) อายุ 31 ปี ชาว ต.ท่าศาลา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ตามหมายจับศาลจังหวัดเชียงใหม่ ที่ จ.423/2563 ลงวันที่ 11 ก.ค.2563 ในข้อหา”ร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม” พร้อมของกลางกะทิสำเร็จรูป จำนวน 12 กล่องรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า สีขาวแดง หมายเลขทะเบียน จคม-895 เชียงใหม่ จำนวน 1 คัน

 

สืบเนื่องมาจากเมื่อช่วงเย็นวันที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมาได้มีคนร้ายเป็นชาย 2 คนขับรถจยย. ตระเวณในลานจอดรถตลาดเมืองเชียงใหม่ พอพ่อค้าแม่ค้าเผลอ ได้ขโมยไส้อั่ว น้ำหนัก 6 กิโลกรัม นม 1 กล่อง กะทิ อีก 12 ตำรวจสืบสวนสอบสวนจากกล้องวงจรปิด คนร้านคือนายกิตติพงษ์ จึงขออนุมัติศาลออกหมายจับ จับกุมได้ที่บ้านพักพร้อมของกลาง สอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าช่วงโควิด 19 ตกงาน เพื่อนสนิทที่เป็นกระเทยชวนกันมาขโมยแล้วนำไปขายตลาดดอีกแห่งที่อ.สารภี ได้เงินมาก็นำไปกินข้าวประทังชีวิตรอได้งานทำใหม่จนถูกจับกุมดังกล่าว

โครงการพัฒนาป่าไม้ตามแนวพระราชดำริบ้านทุ่งป่าคา มอบพันธุ์บุก 5 พันต้น 2 กลุ่มวิสาหกิจชุมชนทุ่งป่าคาและห้วยไก่ป่า ส่งเสริมปลูกพืชเศรษฐกิจทำเงิน หวัง พัฒนาคุณภาพชีวิตต่อยอดรายได้ให้ยั่งยืน

นายมาโนช กิ่งเมือง เจ้าพนักงานป่าไม้ชำนาญการ / หัวหน้าโครงการพัฒนาป่าไม้ ตามแนวพระราชดำริบ้านทุ่งป่าคา อ.แม่ลาน้อย จ.แม่ฮ่องสอน ได้ทำพิธีมอบกล้าพันธุ์บุก 5000 ต้น ให้กับกลุ่มวิสาหกิจบ้านทุ่งป่าคา 3000 ต้น และ กลุ่มวิสาหกิจบ้านห้วยไก่ป่า 2,000 ต้น ราษฏร 30 ราย ตามโครงการแม่ฮ่องสอน modle ที่ได้มีการสำรวจตรวจสอบพื้นที่ ที่ผ่านการสำรวจสิทธิของชาวบ้านที่ครอบครองพื้นที่อย่างถูกต้อง ก่อน 30 มิย. 41 ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการสร้างอาชีพให้กับราษฏรนอกเหนือจากการทำการเกษตรเพียงอย่างเดียว โดยทางโครงการพัฒนาป่าไม้ ตามแนวพระราชดำริบ้านทุ่งป่าคา ได้สนับสนุนพันธุ์บุก ซึ่งถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีตลาดรองรับ ประกอบกับ จังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นพื้นที่ที่เอื้อต่อการปลูกบุกที่มีคุณภาพตามที่ตลาดต้องการ ซึ่งการส่งเสริมและสนับสนุนพันธุ์บุกถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตราษฏร

บุก เป็นพืชล้มลุกที่เจริญเติบโตตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องรดน้ำ ไม่ต้องให้ปุ๋ย ไม่ต้องตัดแต่งกิ่งใดๆ และชอบดินร่วนปนทราย รวมถึงการอยู่ในที่ร่มแสงแดดรำไร ดังนั้น การปลูกบุกแซมในร่องสวนหรือปลูกร่วมกับพืชชนิดอื่นจึงทำได้ ไม่ต้องเสียพื้นที่ การปลูก ควรเริ่มลงปลูกในช่วงเดือนพฤษภาคม เป็นต้นไป เมื่อนำต้นกล้าที่เพาะจากไข่บุกมาปลูก ก็ขุดหลุมลงไปเพียงนิดเดียว เอาดินกลบ หากขุดหลุมลึกเกินไปจะทำให้หัวเน่าและการขุดเก็บทำได้ยาก การปลูกแซมสามารถทำได้ในทุกๆ พื้นที่ และปลูกร่วมกับพืชได้ทุกชนิด

ทำฝนหลวงช่วยเหลือพี่น้องชาวนาใน จ.พะเยา หลังนาข้าวได้รับความเสียหายจากภัยแล้ง 5หมื่นไร่

วันที่ 11 ก.ค.63 นายรังสรรค์ บุศย์เมือง ผอ.ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ ได้เดินทางที่ อบต.น้ำแวน อ.เชียงคำ จ.พะเยา เพื่อเข้าร่วมการประชุมและรับทราบถึงปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นใน 3 อำเภอซึ่งประกอบไปด้วย อ.จุน อ.เชียงคำและ อ.ภูซาง โดยมีนายต่วนกฤษ จันทนะ ประธานสภา อบต.น้ำแวน นายบุญสินธ์ มังคลาด ส.อบจ.เขตอำเภอเชียงคำ เขต 3 รวมถึงผู้นำชุมชนใน ต.น้ำแวน เข้าร่วมรับฟังและให้ข้อมูลในเรื่องนี้

โดยนายรังสรรค์ กล่าวว่า จากการเข้าร่วมประชุมและลงพื้นที่ของ ต.น้ำแวน บริเวณทุ่งลอ ม.11 นั้นพบเบื้องต้นว่าบริเวณพื้นที่ดังกล่าวเป็นช่วงลมแหวกเมฆ ซึ่งลมดังกล่าวจะมีลักษณะค่อนข้างแรงจึงไม่พัดให้กลุ่มเมฆมารวมตัวเป็นฝนตกลงจุดนี้ได้ อีกทั้งบริเวณดังกล่าวอากาศร้อนพอสมควรจึงทำให้เมฆไม่มาก่อตัว ทั้งนี้จึงรู้จุดแก้ไขเบื้องต้นแล้ว โดยวันอาทิตย์นี้ตนเองจะได้เริ่มลงมือในการแก้ไขปัญหาภัยแล้งด้วยการโปรยฝนเทียมลงสู่พื้นที่ที่แห้งแล้ง แต่จะให้ฝนไปตกทุกพื้นที่นั้นก็อาจจะเป็นไปได้ยาก เพราะในแต่ละพื้นที่ขนาดภูเขาช่องลมจะไม่เหมือนกัน นอกจากนี้ตนเองจะใช้วิธีการดึงเมฆข้ามเขาให้มารวมกลุ่มกันซึ่งการดึงเมฆ 1 ครั้งจะมีขนาด 50 ตร.กม. แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องคำนวณของทิศทางลมด้วยเช่นกันว่าจะสามารถทำได้มากน้อยเพียงใด สำหรับในการทำฝนหลวงนั้นจะใช้เวลาในการทำไม่เกิน 3 ครั้ง บางพื้นที่ 2 ครั้งก็สำเร็จแบบง่ายดาย แต่สำหรับพื้นที่บริเวณนี้ที่มีอากาศค่อนข้างร้อนนั้นอาจจะต้องทำถึง 3 ครั้งจึงจะเกิดผลที่ตามมา เพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวเกษตรกรที่ข้าวแห้งตายกว่า 5 หมื่นไร่ ให้ได้รับน้ำจากจากการทำฝนหลวงในครั้งนี้

ด้านนายบุญสินธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากที่พา ผอ.ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือลงพื้นที่ แล้วนั้น รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่เจ้าหน้าที่ไม่ทอดทิ้งชาวบ้านผู้เป็นเกษตรกรและถือได้ว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาติ เพราะช่วงนี้ทาง อ.เชียงคำโดยเฉพาะของ ต.น้ำแวน เกิดวิกฤตภัยแล้งอย่างหนักโดยเฉพาะรอยต่อของ 3 อำเภอทั้งจุน เชียงคำและภูซาง ซึ่งมีพื้นที่ไร่นาที่ได้รับความเสียหายกว่า 5 หมื่นไร่ทั้งนี้หากยังไม่มีฝนลงมาอีกพื้นที่นาข้าวที่แห้งแล้งก็จะขยายเป็นบริเวณวงกว้างออกไปอีก บางพื้นที่นาข้าวที่ปลูกนั้นต้นข้าวเริ่มเหลืองตายไปมากแล้วอีกทั้งวัชพืชก็เริ่มขึ้นในแปลงข้าวจนดูไม่ออกเลยว่าอันไหนต้นข้าวอันไหนต้นวัชพืช ซึ่งการที่ผอ.ศูนย์ฯ ลงพื้นที่ในครั้งนี้ต้องขอขอบคุณไปยัง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์และนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.พะเยา เขต 2 ที่ร่วมกันช่วยเหลือพี่น้องชาวเกษตรกรในพื้นที่ อ.เชียงคำ

ชมรมผู้ค้ารถเชียงคำ ปันน้ำใจน้องๆ มอบทุนการศึกษาเด็กนักเรียนเรียนดีแต่ยากจน

11 ก.ค.63 ที่บริเวณ หจก.แอ๊ดเจริญยนต์ อ.เชียงคำ จ.พะเยา โดยการนำของ พ.ต.ต.วีรศักดิ์ ชาวริม อดีตประธานชมรมผู้ค้ารถเชียงคำ นายสมพร สนชาวไพร ประธานชมรมฯพร้อมสมาชิกชมรมกว่า 20 คนได้จัดให้มีการมอบทุนการศึกษาจำนวน 38 ทุน ทุนละ1,000 บาทให้กับเด็กนักเรียนผู้ยากไร้และด้อยโอกาสในพื้นที่ของ อ.เชียงคำและ อ.ภูซาง จ.พะเยา

พ.ต.ต.วีรศักดิ์ กล่าวว่า กิจกรรมในการแจกทุนการศึกษาในครั้งนี้สืบเนื่องมาจาก นายธนิต ธนเกียรติสกุล ประธานคนแรกผู้ก่อตั้งชมรมผู้ค้ารถเชียงคำ ได้หารือในที่ประชุมกับสมาชิกทุกคนในเรื่องของอยากให้มีกิจกรรมแจกทุนการศึกษาให้กับเด็ก ๆ นักเรียนที่ยากจนในพื้นที่ของ อ.เชียงคำและอ.ภูซาง ตนเองจึงได้เสนอไปว่าหลาย ๆ คนได้กำไรจากการขายรถยนต์มือสองกันมามากและส่วนใหญ่ไม่ได้นำเงินเหล่าที่ได้จากการทำไปอย่างอื่น ตนเองจึงได้เสนอในที่ประชุมว่าควรนำเงินเหล่านั้นบางส่วนออกมาช่วยเหลือสังคมกันจะดีกว่า ทั้งนี้ก็ได้มีสมาชิกในชมรมต่างเห็นด้วยเป็นอย่างมากจึงได้เกิดกิจกรรมนี้ขึ้นมาและในเกณฑ์การคัดเลือกเด็ก ๆ นั้นก็จะแยกเป็นกำพร้าพ่อแม่ พ่อแม่หย่าร้างและรวมไปถึงพิการยากจนด้วย ซึ่งในส่วนของตนเองในสมัยก่อนกับภรรยาก็เคยเป็นเด็กยากจนมาก่อนที่จะมาถึงจุดนี้ได้บางวันก็ต้องไปรับจ้างหักข้าวโพด ปลูกนา เพื่อนำเงินที่ได้มาซื้อข้าวกิน ตนจึงเข้าใจหัวอกของเด็ก ๆ เหล่านี้ที่มีฐานยะยากจน สำหรับทุนการศึกษาที่พวกตนเองได้มอบให้นั้นก็อยากให้เด็ก ๆ นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนเองให้มากที่สุดด้วยเช่นกัน

ด้าน ด.ญ.จตุรพร สีวัง อายุ 13 ปี นักเรียนชั้น ป.6 อนุบาลเชียงคำ ได้กล่าวว่า ตนเองรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่มีโครงการแจกทุนการศึกษานี้ขึ้นมา เพราะแม่ของตนเองนั้นในทุกวันนี้แทบจะไม่มีงานทำเลยต้องวิ่งหางานอยู่ตลอดบางครั้งแม่ของตนเองยังไม่มีเงินที่จะมาจ่ายค่าเล่าเรียนให้กับตนเอง แต่ในวันนี้ผู้ใหญ่ทางชมรมผู้ค้ารถเชียงคำกลับเห็นความสำคัญของเด็ก ๆ ที่ยากจนและได้มอบทุนการศึกษามาให้ ทั้งนี้ตนเองสัญญาว่าจะตั้งใจเรียนและเป็นเด็กดีต่อไป

ด่วนเดือดร้อนหนัก ชาวบ้านพ่อค้าแม่ขายตลาดเมือง โวยสองโจรอาละวาดขี่จักรยานยนต์ตระเวณฉกดะไม่เว้นแม้ไส้อั่ว กระทิ น้ำปลา เตือนระวังซื้อข้าวของอาหารในตลาดหิ้วไม่ไหวแขวนหรือวางไว้ที่รถมีสิทธิหายได้ทุกเวลา

วันที่ 10 กรกฎาคม 2563 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียน ได้มีคนร้ายตระเวนก่อเหตุลักทรัพย์เป็นวัตถุดิบในการทำอาหารของประชาชนหลังจากซื้อของมาแล้วหิ้วไมไหวนำไปแขวนหรือวางไว้ที่รถจักรยานยนต์ เหตุเกิดที่บริเวณตลาดเมืองใหม่ ซึ่งเป็นตลาดค้าส่งผักและอาหารสดแหล่งใหญ่ที่สุดของจังหวัดเชียงใหม่ ตั้งอยู่อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ จนทำให้ชาวบ้าน พ่อค้า แม่ค้าได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก

นายประมวล เดชชัยกุล อายุ 65 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของลานจอดรถรุ่งเรือง หลังตลาดเมืองใหม่ ได้เปิดเผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้นจริง โดยในวันที่ 8 กรกฎาคมที่ผ่านมา ในช่วงเช้าได้มีลูกค้า มาใช้บริการบริเวณลานจอดรถของตนเอง และได้มีการนำกะทิกล่องวางไว้หลังรถ จากนั้นได้มีชาย 2 คน ขับขี่รถจักรยาน Honda Scoopy เข้ามาวนอยู่ในลานจอดรถ ซึ่งตอนแรกตนก็ไม่ได้เอะใจอะไร จากนั้น ไม่มีชายคนหนึ่งลงจากรถแล้วมาหยิบกะทิกล่อง จากท้ายรถที่จอดอยู่ไปนอกจากนี้ยังทราบว่าในวันเดียวกัน คนร้ายๆดังกล่าวยังได้มีการเข้าไปขโมยไส้อั่วของแม่ค้าอีกราย และยังได้วนเวียนอยู่ในตลาดเป็นประจำ เมื่อสบโอกาสก็จะก่อเหตุลักษณะดังกล่าว อยากให้เจ้าหน้าที่ส่วนที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลความปลอดภัยให้กับชาวบ้าน เนื่องจากตอนนี้ได้รับความเดือดร้อนกันเป็นอย่างมาก

ด้าน นายปัณณธร เดชชัยกุล อายุ 38 ปี ลูกชายของนายประมวล กล่าวว่า คนร้ายก็ไม่เกรงกลัวกล้าลงมือกลางวันแสกๆ โดยอาศัยช่วงที่มีการชุลมุน หรือเมื่อเห็นของวางทิ้งไว้ก็ก่อเหตุทันที โดยไม่สนว่าของนั้นจะเป็นอะไร ซึ่งตนคาดว่าเมื่อคนร้ายได้ของที่ขโมยไปนั้นก็น่าจะนำไปขายวันเกิดเหตุนั้นตนก็ได้พยายามขับรถไล่ตามคนร้ายแต่ก็ไม่ทัน จึงได้เพียงภาพถ่ายและป้ายทะเบียนรถของคนร้ายเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม อยากให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการตรวจสอบและติดตามจับกุมตัวคนร้ายที่ก่อเหตุมาดำเนินคดีให้ได้ เนื่องจากเกรงว่าคนร้ายทั้ง 2 คนนี้จะตระเวนก่อเหตุอย่างต่อเนื่อง จนสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน และบรรดา พ่อค้า-แม่ค้า อย่างไรก็ตามในส่วนของตนก็กำลังรวบรวมหลักฐานและพยานรวมทั้งผู้เสียหายเพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับคนร้ายอีกครั้ง

 

กองกำลังผาเมืองผุด 5 มาตการ สกัดเข้มต่างด้าวลักลอบเข้าชายแดนไทย-เมียนมา อ.แม่สาย จ.เชียงราย

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) ส่งผลกระทบให้แรงงานต่างด้าวเดินทางกลับประเทศผ่านด่านพรมแดนถาวรในพื้นที่จังหวัดเชียงรายที่ถูกต้องตามกฎหมายจำนวนประมาณกว่าสามพันคน และภายหลังจากที่มีการประกาศผ่อนคลายมาตรการระยะที่ 5 ของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า (ศบค.) แรงงานต่างด้าวบางส่วนพยายามที่จะลักลอบเข้ามาในเขตไทยตามช่องทาง ท่าข้ามธรรมชาติโดยไม่ผ่านกระบวนการกักตัว (State Quarantine) ตามขั้นตอนของประเทศไทย ส่งผลให้เกิดความหวั่นวิตกของคนภายในประเทศตามที่มีสื่อโซเชียลได้นำเสนอข่าวไปนั้น ทั้งนี้แรงงานต่างด้าวพยายามที่จะลักลอบเข้ามาทางด้านชายแดนอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เนื่องจากผู้ประกอบการในพื้นที่ อำเภอแม่สายฯ มีความต้องการแรงงานเข้ามาดำเนินกิจการของตนเอง เช่น แรงงานในการก่อสร้าง แรงงานด้านการเกษตร และลูกจ้างตามสถานประกอบการต่างๆ เป็นต้น

แต่เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีการเปิดด่านพรมแดนถาวรในพื้นที่ อำเภอแม่สายฯ จึงทำให้แรงงานต่างด้าวมีความพยายามในการลักลอบเข้ามาตามช่องทางธรรมชาติที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายดังนั้น กองกำลังผาเมือง จึงได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เพิ่มมาตรการเข้มข้นในการสกัดกั้นแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ตามมาตรการ 5 ด้าน ดังนี้ 1. การประสานความร่วมมือไปยังประเทศเมียนมาผ่านคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น หรือ TBC ในการสกัดกั้นแรงงานต่างด้าว 2. การสกัดกั้นตามช่องทางตามแนวชายแดน โดยการเพิ่มเติมกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร จำนวน 25 ชุดปฏิบัติการ เพื่อเพิ่มความถี่ในการลาดตระเวนเฝ้าตรวจ พร้อมทั้งได้ใช้อากาศยานไร้คนขับ (โดรน) บินลาดตระเวนเฝ้าตรวจ ตามช่องทาง/ท่าข้ามที่ล่อแหลม, การติดตั้งไฟส่องสว่างแบบโซล่าเซลล์ พร้อมกล้องวงจรปิด (CCTV) เพื่อเพิ่มศักยภาพ ในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ จำนวน 17 จุด, การทำเครื่องกีดขวางโดยการติดตั้งรั้วลวดหนามเพิ่มเติม 8 จุด และปรับปรุงลวดหนามที่มีอยู่เดิม จำนวน 14 จุด ให้มีความแข็งแรง ทนทาน โดยเฉพาะในช่องทาง/ท่าข้ามที่ล่อแหลม 3. การตั้งจุดตรวจ/จุดสกัด บนเส้นทางหลัก/เส้นทางรอง และจัดกำลังร่วมกับชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) เพื่อป้องกันการลักลอบหลบหนีจากบริเวณพื้นที่ตามแนวชายแดนเข้ามายังพื้นที่ตอนในของประเทศ
4. การปิดล้อมตรวจค้นแหล่งหลบซ่อน/พักพิง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ตามแหล่ง ที่พักพิงชั่วคราวในบริเวณพื้นที่หมู่บ้านตามแนวชายแดน และ5. การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ โดยการจัดชุดปฏิบัติการด้านกิจการพลเรือน จำนวน 5 ชุดปฏิบัติการ ลงพื้นที่เสริมสร้างการรับรู้ให้กับผู้นำชุมชน และประชาชนในหมู่บ้านตามแนวชายแดน ในการให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ทั้งการแจ้งเบาะแส และการกระจายข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง


ในวันนี้ ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง ได้ร่วมกับนายอำเภอแม่สาย ผู้แทนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย, ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย, ผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงราย, ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดเชียงราย, ผู้นำท้องถิ่น/ท้องที่ และประชาชน ร่วมกันวางแนวลวดหนาม และสร้างเครือข่ายแนวร่วม ในการช่วยเป็นหูเป็นตาสอดส่องดูแลในหมู่บ้านตามแนวชายแดน เพื่อป้องกันไม่ให้มีการลักลอบหลบหนีเข้ามาของแรงงานต่างด้าวตามช่องทาง/ท่าข้ามธรรมชาติ

โดยห้วงตั้งแต่ 18 เมษายน ที่ผ่านมา กองกำลังผาเมือง สามารถจับกุมแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้ามาตามช่องทาง/ท่าข้ามธรรมชาติ จำนวน 34 ครั้ง ผู้ต้องหา 125 คน (เมียนมา 113 คน, ลาว 10 คน, จีน 2 คน) ซึ่งหน่วยได้ร่วมกับด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศพรมแดนแม่สายในการคัดกรองก่อนที่จะผลักดันกลับประเทศต้นทาง ตามกระบวนการของเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงราย ทั้งนี้ กองกำลังผาเมือง จะยังคงเพิ่มความเข้มข้นในการปฏิบัติการสกัดกั้นแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบหลบหนี เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่องต่อไป

ขอบคุณ.ข้อมูล-ภาพ กองกำลังผาเมือง

ช้ำใจเสียเงินหลายแสนจ้างบริษัททำวีซ่ากลับไม่ได้บินออสเตรเลียตามฝันโร่แจ้งความขอเงินคืน ด้านบริษัทแจงวีซ่าไม่ผ่านเงินใช้หมดแล้วโดนพิษโควิด19 เล่นงานจึงยังไม่มีคืนให้

9 ก.ค.63 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายณัฐพงษ์ แซ่ฟ่าน อายุ 44 ปี เจ้าของบ้านทะเลหมอก อ.ปง จ.พะเยา ได้พาญาติพี่น้องที่เป็นผู้เสียหายทั้ง 4 คนคือ นายณัฐชานนท์ กิตติคุณธนพัฒน์ อายุ 33ปี นายเลาจง แซ่ห่าง อายุ 34 ปี น.ส.กันตาภา ศาสน์บุญณินท์ อายุ 24ปี และนายพินิจ แซ่พ่าน อายุ 33 ปี เดินทางมาที่ สภ.เชียงคำ จ.พะเยา เพื่อเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนว่าถูกเจ้าของบริษัทรับทำวีซาแห่งหนึ่งซึ่งอ้างว่าสามารถทำวีซ่าให้ผ่านเข้าต่างประเทศได้ แต่เรื่องดำเนินนานถึง 2 ปี กลับไม่สามารถไปต่างประเทศตามที่ได้ตกลงกันไว้ได้

โดยนายเลาจง ในผู้เสียหายได้เล่าว่า เมื่อปี2561 ตนเองและญาติ ๆ ได้เดินทางมาที่บริษัทรับทำวีซ่าแห่งนี้ตามคำชักชวนของญาติที่อยู่ประเทศออสเตรเลียว่าบริษัทนี้สามารถพาพวกตนเข้าประเทศออสเตรเลียได้ จึงได้พากันมาทำโดยคนที่จะไปมีทั้งหมด 5 คนด้วยกัน เมื่อมาถึงบริษัทเจ้าของบริษัทได้ชี้แจงเรื่องเงินค่าดำเนินการต่าง ๆ โดยจะตกอยู่ที่คนละประมาณ 250,000 – 300,000 บาท ซึ่งจะไม่จ่ายทั้งหมดเลยทีเดียว แต่จะมาขอเบิกเป็นงวด ๆ ไปซึ่งแต่ละงวดจะไม่เท่ากัน บางครั้ง 80,000 บาท บ้าง บางครั้ง 70,000 บาทบ้าง โดยทางเจ้าของบริษัทได้รับประกันว่าหากวีซ่าไม่ผ่านทางบริษัทนี้จะคืนเงินให้เต็มจำนวนทั้งหมด แต่หลังจากนั้นล่วงเลยระยะเวลามา 2 ปี กลับไม่เป็นตามที่พูดคุยกันไว้ โดยเมื่อต้นเดือน ก.พ.63 ที่ผ่านมาพวกตนได้เดินทางมาที่บริษัทแห่งนี้เพื่อติดตามทวงถามเกี่ยวการขอวีซ่าไปประเทศออสเตรเลีย แต่สุดท้ายกลับถูกเจ้าของบริษัทตอบมาเพียงสั้น ๆ ว่า วีซ่าไม่ผ่าน
พวกตนจึงได้ขอเงินคืนแต่ก็ถูกเจ้าของบริษัทบ่ายเบี่ยงไม่ยอมคืน จึงได้มีการมาลงบันทึกประจำวันครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 ก.พ.63 ที่ สภ.เชียงคำ และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พูดไกล่เกลี่ยกันทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งฝ่ายของบริษัทรับทำวีซ่ายินดีจะชดใช้งวดแรกคืนให้ภายใน 6 เดือนโดยจะครบกำหนดวันที่ 30 มิ.ย.63 ที่ผ่านมาและงวดที่ 2 ภายในเดือน ธ.ค.63 แต่ทางเจ้าของบริษัทขอหักค่าดำเนินการทั้ง 5 คนคนละ 100,000 บาท โดยทุกคนก็ยินยอมให้หัก ซึ่งหลังจากนั้นล่วงเลย 6 เดือนพวกตนยังไม่ได้เงินตามที่ตกลง เมื่อโทรศัพท์ไปทวฃถามกลับได้รับคำตอบเพียงสั่นว่า ยังไม่มีให้ จึงได้สร้างความไม่พอใจให้พวกตนเป็นอย่างมาก เพราะตกลงกันไว้แต่ทำไม่ได้ตามที่พูดมา ทั้งนี้พวกตนทั้งหมดจึงได้เดินทางมาที่ สภ.เชียงคำ อีกครั้งเพื่อขอแจ้งความดำเนินคดีทั้งทางอาญาและทางแพ่งกับเจ้าของบริษัทรับทำวีซ่าแห่งนี้

ทางด้านบริษัทรับทำวีซ่าที่ถูกกลุ่มผู้เสียหายแจ้งความได้กล่าวว่า เวลานี้ตนเองทราบเรื่องราวที่ทางฝ่ายผู้เสียหายไปแจ้งความไว้ที่ สภ.เชียงคำ แล้ว แต่ก็อยากให้ฟังทางตนเองบ้าง โดยก่อนหน้านั้นตนเองได้พาผู้เสียหายเหล่านี้ไปดำเนินการตามขั้นตอนของการทำวีซ่าจริงทุกขั้นตอน แต่ในระยะหลัง ๆ ที่ผ่านมา เกิดสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาด บริษัทของตนกลับไม่มีงานเหมือนเมื่อก่อน ทำให้เวลานี้ยังไม่มีเงินคืนผู้เสียหายทั้งหมดนี้ แต่ตนยืนยันว่าบริษัทของตนเองเปิดมาได้ 10 กว่าปีแล้ว ทั้งรับทำวีซ่าและยังรับแปลหนังสือจากต่างประเทศด้วย ซึ่งพักหลังเมื่อเกิดเหตุการณ์โรคระบาด งานไม่มีสถานภาพการเงินขาดสภาพคล่องโดยตนเองก็ยังได้ไปกู้เงินมาจาก ธ.ออมสิน เพื่อมาใช้จ่ายภายในบริษัทของตน ทุกวันนี้ตนเองกินข้างเพียงวันละมื้อและยังค้างจ่ายค่าน้ำค่าไฟอีกต่างหาก ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ตนเองก็อยากขอความเป็นธรรมบ้าง โดยเรื่องราวทั้งหมดนี้ตนเองจะขอไปสู้คดีในชั้นศาลต่อไปพร้อมขอบอกว่าตนเองไม่เคยคิดจะโกงแต่ว่าขณะนี้ไม่มีจริงๆเลยยังไม่ได้คืนเงินให้กับกลุ่มผู้เสียหาย

ชาวเชียงคำตกใจ ปลาลอยตายเกลื่อนเต็มคูเมือง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณลำน้ำลาวของคูเมืองเชียงคำ ม.4 ต.หย่วน อ.เชียงคำ จ.พะเยา ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นโดยพบว่าปลาในน้ำไม่ว่าจะเป็นปลานิล ปลาดุก ปลาตะเพียน ลอยตายเกลื่อน นอกจากนี้ยังพบว่า ชาวบ้านที่ทราบว่ามีปลาลอยตายในน้ำต่างมาแย่งตักเอาไปทำอาหารและขายทำกำไรเข้ากระเป๋าตัวเอง โดยไม่ทราบเลยว่าสาเหตุที่ปลาลอยตายในน้ำนี้เพราะอะไร

นายอดินันท์ ศุภการกำจร นายกเทศมนตรีเทศบาลเชียงคำ ได้กล่าวว่า ตนได้ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้วซึ่งปลาเหล่านี้ได้ลอยตายมาตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว แต่พบว่ามีชาวบ้านจำนวนมากได้มาแห่ตักปลาเอาไปทำกินรวมทั้งเอาไปขายนำเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง แต่เมื่อตนเองได้ลงพื้นที่ตรวจสอบพบว่ากลิ่นของน้ำในคูเมืองอบอวลไปด้วยกลิ่นของคลอรีน อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปลาลอยตายเกลื่อนเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ในพื้นที่ของ หมู่4 ต.เวียง ก็พบว่ามีปลาลอยตายเช่นกัน ทั้งนี้ตนเองได้ส่งตัวอย่างน้ำลาวในคูเมืองนี้ให้ทางเจ้าหน้าที่กรมประมง อ.เมือง จ.พะเยา นำไปตรวจสอบว่าภายในน้ำนี้มีอะไรปนมาบ้าง นอกจากนี้จากการที่ตนเองได้สังเกตนั้นพบว่าอีกกรณีหนึ่งช่วงที่ฝนตกหนักในพื้นที่ต้นน้ำของ อ.เชียงคำ น้ำฝนอาจจะชะล้างเอาสารเคมีไม่ว่าจะเป็นหญ้าฆ่าหญ้าที่ชาวบ้านละแวกนั้นทำการฉีดพ่นอาจจะพัดลงสู่ลำน้ำแล้วก็ไหลมาที่นี่จนทำให้ปลาตายก็เป็นได้

ทั้งนี้ตนเองอยากขอฝากเตือนชาวบ้านในพื้นที่นี้ว่าเวลานี้ขอให้งดการนำปลาไปบริโภคก่อนเพราะทางเทศบาลเชียงคำกำลังหาสาเหตุที่แท้จริงว่า ปลาที่ลอยตายในน้ำนี้แห่งนี้จริง ๆ แล้วเป็นเพราะอะไร หากผู้ใดที่นำไปบริโภคนั้นอาจจะเกิดอันตรายต่อตนเองก็เป็นได้” นายอดินันท์ กล่าวทิ้งท้าย